3 ธ.ค. 2557
เรียบเรียงจาก นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ฉบับวันที่ 4-6 ธ.ค. 2557
2 โปรเจ็กต์ใหญ่กลางกรุงสะดุดคำสั่งศาลปกครองฯ “ดี เมโมเรีย-พหลโยธิน 8” ตีมึนไม่เบรกการขาย ด้านสผ.รับเป็นความผิดของบริษัทที่ปรึกษาอีไอเอ ลงโทษระงับใบอนุญาต 6 เดือน ส่วน “โรงแรมดิ เอทัส ซอยร่วมฤดี” ผอ.เขตปทุมวันขอรอคำพิพากษาจากศาลก่อน หากเอกชนผิดจริงต้องรื้อถอนให้ถูกต้องพ.ร.บ.อาคาร แต่คาดเจ้าของโรงแรมอาจยื้อสู้
กรณีแรกศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างโครงการ ดี เมโมเรีย พหลโยธิน 8 เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาโดย บริษัท ดี เวล แกรนด์ แอสเสท จำกัด เหตุจากสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนพร้อมประชาชนในพื้นที่รวม 22 คนได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 ว่าบ้านเรือนของประชาชนที่อยู่โดยรอบโครงการได้รับผลกระทบจากการก่อสร้าง จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือนประชาชนไม่อาจพักอาศัยอยู่ได้ โดยยื่นฟ้องผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการเขตพญาไท, เลขาธิการสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) ที่พิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการดี เมโมเรีย-พหลโยธิน 8 ฐานละเลยปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด
จากการสอบถามไปยังสำนักงานขายโครงการ ดี เมโมเรีย-พหลโยธิน 8 ยังเปิดขายตามปกติ ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วถึง 80% โดยโครงการนี้มีมูลค่าโครงการ 580 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 1-0-9.5 ไร่ อาคารสูง 8 ชั้น และที่จอดรถใต้ดิน 1 ชั้น จำนวน 123 ยูนิต ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 1-1.5 แสนบาทต่อตร.ม. สำหรับความคืบหน้าโครงการปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของงานฐานราก, งานตัดหัวเข็ม และงานชั้นใต้ดิน
ด้านนายเกษมสันต์ จิณณวาโส เลขาธิการสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้กล่าวชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า โครงการดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคชก.ให้ดำเนินการก่อสร้างไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 โดยไม่ผิดเงื่อนไขอีไอเอ ซึ่งคชก.ก็ยังคงยืนกรานตามคำตัดสินเดิม แต่จากการไต่สวนพบข้อผิดพลาดบางประการ ในส่วนของบริษัทที่ปรึกษาจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม พบว่า ได้มีการระบุสถานะของบ้านผู้เสียหาย ซึ่งติดกับโครงการก่อสร้างว่าเป็นบ้านร้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านที่เพิ่งซื้อจากธนาคาร และอยู่ระหว่างการปรับปรุง จึงทำให้ไม่อยู่ในขั้นตอนการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนในพื้นที่ แต่บริษัทที่ปรึกษากลับระบุว่าเป็นบ้านร้าง ซึ่งผิดความหมายโดยสิ้นเชิง โดยทางสผ.ได้ลงโทษบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าวด้วยการสั่งพักใบอนุญาตเป็นเวลา 6 เดือน ในฐานความผิดประมาทเลินเล่อ
ส่วนกรณีที่ 2 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลางให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ให้รื้อถอนอาคารโรงแรมดิเอทัส ซอยร่วมฤดี เนื่องมาจากมีประชาชนผู้อาศัยในซอยร่วมฤดีได้ยื่นฟ้อง บริษัท ลาภประทานฯ และบริษัท ทับทิมทร จำกัด ได้ก่อสร้างอาคารสูงใหญ่เกินกว่ากฎหมายกำหนดและมีซอยกว้างไม่เกิน 10 เมตร โดยต้องดำเนินการภายใน 60 วันหลังศาลมีคำตัดสิน (วันที 2 ธันวาคม 2557)
นายสิทธิชัย ท้วมสกนธ์ ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน กล่าวว่า ต้องรอคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่เป็นลายลักษณ์อักษรส่งมายังสำนักงานกฎหมายและคดี กรุงเทพมหานคร จากนั้นสำนักงานกฎหมายฯจึงส่งเรื่องมายังสำนักงานเขต พร้อมแนวทางการดำเนินการคำพิพากษาให้เจ้าของโครงการโรงแรมดิ เอทัส รื้อถอนอาคารตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร สำหรับขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมาจะมีเวลาภายใน 60 วัน
กรณีนี้คาดว่าทางเจ้าของอาคารจะอุทธรณ์คำสั่งการรื้อถอนกับกทม. ตามคำสั่งของกทม.ที่ให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แต่ยังคงต้องรอแนวทางของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในช่วงนั้นว่าจะเป็นอย่างไร หากภายใน 60 วันเจ้าของอาคารไม่ปฏิบัติตาม กทม.ก็สามารถเข้าไปดำเนินการแทน แล้วมีการเก็บค่าใช้จ่ายกับเจ้าของอาคาร