พ.ศ. 2559

อาคารตึกแถวริมถนนมหาราช บริเวณท่าเตียน

อ่านเพิ่มเติม

อาคารตึกแถวริมถนนมหาราช บริเวณท่าเตียน

  • ที่ตั้ง ถนนมหาราช แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ สถาปนิกผู้ออกแบบ: พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ กรมพระสมมตอมรพันธุ์
  • สถาปนิกผู้บูรณะ: นายชวลิต ตั้งมิตรเจริญ และนางสาวกรกมล ตันติวานิช
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
  • ปีที่สร้าง พุทธศักราช 2454

ประวัติ

พื้นที่บริเวณท่าเตียนในอดีตเป็นพื้นที่การค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ เป็นสถานที่รวบรวมสินค้าที่ขนส่งทางเรือจากทั่วประเทศมาค้าขายในพื้นที่ อีกทั้งเป็นแหล่งศูนย์กลางการสัญจรทางเรือที่สำคัญ ได้แก่ ท่าเรือเมล์แดงรับส่งผู้โดยสารตั้งแต่ท่าเตียน – ปากน้ำโพ ท่าเรือเมล์เขียวรับส่งผู้โดยสารตั้งแต่ท่าเตียน – นครสวรรค์ และท่าเรือยนต์ข้ามฝากท่าเตียนซึ่งเป็นท่าเรือยนต์เพียงแห่งเดียวที่สามารถข้ามจากฝั่งพระนครไปยังวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดอรุณ) สำหรับตลาดท่าเตียนที่อยู่ในที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ประกอบไปด้วยอาคาร 3 ส่วน คือ อาคารตึกแถวริมถนนมหาราช จำนวน 55 คูหา เป็นตึกแถวที่มี 3 ด้านเป็นรูปตัวยู (U) ล้อมรอบตลาด 1 หลัง และตึกแถวริมน้ำรูปตัวไอ (I) โดยผู้เช่าได้ใช้อาคารเป็นที่พักอาศัยและประกอบการค้าเรื่อยมา จนกระทั่งในพุทธศักราช 2555 – 2558 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ดำเนินการปรับปรุงฟื้นฟูอาคารรูปตัวยู และได้ส่งมอบอาคารคืนให้แก่ผู้เช่าเดิมเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยและประกอบการค้าเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา ทำให้ระบบเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ และสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ดีขึ้น

อาคารตึกแถวริมถนนมหาราช บริเวณท่าเตียน จำนวน 55 คูหา แต่ละคูหาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ด้านหน้าเป็นอาคารสูง 2 ชั้น พื้นที่ชั้นล่างใช้ประกอบการค้า มีประตูบานเฟี้ยมไม้เปิดได้กว้างตลอด พื้นที่ชั้นบนเป็นที่พักอาศัย ส่วนด้านหลังอาคารเป็นอาคารชั้นเดียวใช้ประกอบการค้า พื้นที่ระหว่างอาคารทั้ง 2 หลังจัดแบ่งเป็นห้องน้ำและลานซักล้าง รูปแบบสถาปัตยกรรมของอาคารเป็นแบบนีโอคลาสสิค ผนังก่ออิฐถือปูนหนารับน้ำหนัก มีการตกแต่งผนังเซาะร่องคล้ายการเรียงหิน (rustication) ทั้งชั้นล่างและชั้นบน เสาหน้ามุขตกแต่งเป็นเสาทรงเหลี่ยมบริเวณซุ้มชั้นบนในขณะที่ชั้นล่างเป็นเสากลมหัวเสาตกแต่งแบบดอริก มีการเน้นคูหาตรงกลางด้วยการยื่นระเบียงมุข มีการทำหน้าจั่วตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น (เรียก “ซุ้มสกัดตัดตอน”) ที่ท่าเตียนมีการเน้นอาคารตรงกลางแถวเป็นซุ้มเพียงคูหาเดียว แต่มีการเน้นแบบเดียวกันกับแนวตึกแถวทั้ง 3 ด้าน ซุ้มคูหานี้ชั้นล่างเปิดโล่งใช้เป็นทางเข้าตลาด เรียก “ช่องโพรง” หน้าจั่วเป็นรูปสามเหลี่ยม (pointed) ยกเชิงเช่นกัน ชั้นบนเป็นห้อง ช่องแสงของหน้าต่างชั้นบนเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ มีการทำกรอบหน้าต่างที่ซับซ้อน กล่าวคือมีซุ้มโค้งใหญ่เป็นกรอบภายนอก ภายในซุ้มแบ่งเป็นชุดหน้าต่างสองชุดเหมือนกัน ที่ซุ้มใหญ่ตกแต่งด้วยปูนปั้นวงกลมมีลวดลายเป็นช่องลม ช่องแสงเหนือหน้าต่างบานเล็กเป็นไม้คล้ายรูปพัดแกะสลักอย่างประณีตสวยงาม

อาคารตึกแถวริมถนนมหาราช บริเวณท่าเตียน เป็นตัวอย่างของการอนุรักษ์ที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของผู้เช่าอาคาร จึงเปิดโอกาสให้ผู้เช่าอาคารมีส่วนร่วมในการออกแบบพื้นที่การใช้สอยภายในอาคารของตนเอง เพื่อที่ผู้เช่าสามารถใช้ประโยชน์จากอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรงต่อรูปแบบการใช้งานมากที่สุด โดยรูปแบบสถาปัตยกรรมภายนอก ได้รับคำแนะนำถึงรูปแบบ เทคนิค และวิธีการอนุรักษ์จากผู้ทรงคุณวุฒิในด้านงานอนุรักษ์ และจากกรมศิลปากรเพื่อให้เป็นไปตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับสภาพของอาคาร


บ้านสี่แยกหัวตะเข้

อ่านเพิ่มเติม

บ้านสี่แยกหัวตะเข้

  • ที่ตั้ง เลขที่ 162 ชุมชนตลาดเก่าหัวตะเข้ เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ นายเซี๊ยะฮั่ง แซ่อึ้ง
  • ผู้บูรณะ: นายชวลิต สัทธรรมสกุล
  • ผู้ครอบครอง นายสันติ รงค์สวัสดิ์
  • เช่าโดย: นายชวลิต สัทธรรมสกุล
  • ปีที่สร้าง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

ประวัติ

บ้านสี่แยกหัวตะเข้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนตลาดเก่าหัวตะเข้ซึ่งเป็นย่านการค้าของชาวไทยเชื้อสายจีนที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมากว่า 100 ปี บ้านหลังนี้ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกที่คลองประเวศบุรีรมย์และคลองลำปลาทิวตัดผ่านกัน เดิมชั้นล่างเป็นร้านขายส่ง และของชำ เช่น ผัก ผลไม้ กะปิ น้ำปลา มะขามเปียก และน้ำมัน เป็นต้น ส่วนชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัว สมัยนั้นนายเซี๊ยะฮั่งเดินทางโดยเรือเพื่อไปข้าวซื้อของในย่านคลองผดุงกรุงเกษมและนำมาจำหน่ายที่ร้าน สำหรับลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนที่อยู่อาศัยริมคลอง ชาวสวน และชาวบ้านในชุมชนบริเวณนี้ การค้าขายของนายเซี๊ยะฮั่งมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับ จนกระทั่งมีการพัฒนาถนนอ่อนนุชให้มีสภาพดีขึ้น มีการสร้างตลาดและตึกแถวค้าขายริมถนน มีสินค้าและบริการที่มีความหลากหลายมากขึ้นทั้งชนิดและปริมาณ ลูกค้าเดิมของนายเซี๊ยะฮั่งหันไปเลือกซื้อสินค้าที่ตึกแถวใหม่เหล่านี้ ทำให้กิจการของนายเซี๊ยะฮั่งค่อยๆ ซบเซาลง จนเมื่อพุทธศักราช 2528 กิจการของนายเซี๊ยะฮั่งจึงปิดตัวลง ต่อมาได้มีการปรับปรุงเรือนแถวไม้หลังนี้ให้เป็นบ้านเช่า จนกระทั่งผู้เช่ารายสุดท้ายได้ย้ายออกในเดือนสิงหาคม พุทธศักราช 2556 หลังจากนั้น นายชวลิต สัทธรรมสกุล ได้ทำสัญญาเช่าอาคารจากนายสันติ รงค์สวัสดิ์ หลานชายนายเซี๊ยะฮั่ง และเริ่มปรับปรุงฟื้นฟูอาคาร โดยนายชวลิต สัทธรรมสกุล เล่าว่า “…..แรงบันดาลใจที่ทำให้ตัดสินใจมาเช่าเรือนแถวไม้หลังนี้ เนื่องจากเป็นคนในพื้นที่ใกล้เคียงกับชุมชนตลาดเก่าหัวตะเข้ สมัยเป็นเด็กเรียนที่โรงเรียนศึกษาพัฒนา และวิทยาลัยช่างศิลป์ ทำให้คุ้นเคยกับชุมชนนี้เป็นอย่างดี รวมทั้งได้เข้ามามีส่วนร่วมกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนหลายครั้ง ทำให้มองเห็นถึงความเป็นไปได้ในการปรับปรุงฟื้นฟูอาคารหลังนี้ เพื่อใช้เป็นร้านขายเครื่องดื่ม และที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว…..” การปรับปรุงฟื้นฟูบ้านสี่แยกหัวตะเข้แล้วเสร็จในเดือนตุลาคม พุทธศักราช 2557 และเปิดให้บริการตั้งแต่นั้นเรื่อยมา

บ้านสี่แยกหัวตะเข้เป็นเรือนแถวไม้สองชั้น โครงสร้างไม้ หลังคาชั้นบนจั่วมุงด้วยสังกะสี พื้นที่ชั้นล่างแบ่งเป็นร้านอาหาร ห้องครัว ห้องนอน ห้องเก็บของ โถงบันได และห้องน้ำ ด้านหน้าและด้านข้างที่ติดคลองมีระเบียงไม้โดยรอบ พื้นที่ชั้นบนแบ่งเป็นห้องพัก 3 ห้อง และห้องโถงบันได 1 ห้อง ด้านหน้าอาคารชั้นบนมีระเบียงไม้ ราวกันตกและลูกกรงเป็นไม้ มีหลังคาปีกนกมุงด้วยสังกะสีโดยรอบอาคารชั้นล่าง ผนังภายนอกอาคารทั้งหมดเป็นผนังไม้ตีซ้อนเกล็ดตามนอน เหนือผนังมีช่องลมยาวตลอดแนว ผนังภายในเป็นผนังไม้ บานประตูชั้นล่างเป็นบานเฟี้ยม เหนือประตูมีช่องลมยาวตลอดแนว ส่วนหน้าต่างเป็นบานไม้เปิดคู่

บ้านสี่แยกหัวตะเข้แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันระหว่างเจ้าของอาคาร ผู้เช่าอาคาร นักวิชาการ และนักศึกษาในการสำรวจ การบันทึกข้อมูล การระบุคุณค่าความสำคัญในด้านต่างๆ แนวทางการวางแผนอนุรักษ์และพัฒนา จนนำไปสู่การปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ ทำให้บ้านสี่แยกหัวตะเข้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และกลายเป็นต้นแบบให้กับเจ้าของอาคารหลายหลังในชุมชนตลาดเก่าหัวตะเข้ได้เริ่มปรับปรุงฟื้นฟูอาคารของตนเอง


อาคารพาณิชย์ สี่แยกประตูน้ำเข้ม

อ่านเพิ่มเติม

อาคารพาณิชย์ สี่แยกประตูน้ำเข้ม

  • ที่ตั้ง เลขที่ 494 – 496 ถนนสุมนเทวราช ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อ
  • ผู้ครอบครอง ศาสตราจารย์ ดร. สุรางค์ โค้วตระกูล และพี่น้อง
  • เช่าโดย: นางดวงตา ลิมปะพันธุ์
  • ปีที่สร้าง พุทธศักราช 2471

ประวัติ

อาคารพาณิชย์ สี่แยกประตูน้ำเข้ม ตั้งอยู่ในย่านพาณิชยกรรมของเทศบาลเมืองน่าน บริเวณสี่แยกซึ่งเป็นจุดเด่นของเมือง สร้างโดยเจ้าราชวงศ์สุทธิสาร (ทายาทเจ้าผู้ครองนครน่าน) เพื่อให้เช่าทำกิจการร้านค้า ต่อมาได้ตกเป็นของนายจือกวาง และนางบุญปัญญ์ โค้วตระกูล เปิดกิจการชื่อว่า “ห้างยู่เซ่งเชียง” หลังจากนั้นในพุทธศักราช 2552 คุณศรีวิชชา รักจำรูญ ได้ปรับปรุงอาคารให้มีสภาพดีขึ้น และมีเอกชนมาขอเช่าเป็นบริษัทรับจองตั๋วโดยสารเครื่องบินและบริการการท่องเที่ยว ชื่อว่า “บ้านท่องเที่ยว” ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นร้านอาหารเช้าแบบพื้นเมือง ชื่อว่า “Sweety 9” โดยเจ้าของร้าน คือ นางดวงตา ลิมปะพันธุ์ ได้สนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมทางสังคม และกิจกรรมศิลปวัฒนธรรมบนพื้นที่ชั้นสองของร้านร่วมกับกลุ่มคนทำงานสร้างสรรค์และศิลปินในพื้นที่ โดยมีแนวคิดในการฟื้นชีวิตชีวาให้กับอาคารเก่า ดึงดูดคนในชุมชนและนักท่องเที่ยวให้เข้ามาสัมผัส เข้ามาใช้งาน และจัดกิจกรรมในบริเวณบ้าน พร้อมทั้งยินดีให้คนในท้องถิ่นเข้ามาใช้พื้นที่ในการรวมกลุ่มสนใจต่างๆ เข้ามาทำกิจกรรมร่วมกัน เนื่องด้วยตัวอาคารอยู่ในถนนสายสำคัญและเป็นย่านธุรกิจ มีความคับคั่งของผู้คน รอบข้างมีโรงแรม และร้านค้าหลายแห่ง

อาคารพาณิชย์ สี่แยกประตูน้ำเข้ม เป็นอาคารไม้สองชั้น จุดเด่น คือ ด้านหน้าร้านเป็นทางเดินอยู่ใต้พื้นชั้นบนซึ่งช่วยกันแดดและฝนได้เป็นอย่างดี ประตูชั้นล่างเป็นบานเฟี้ยม เหนือประตูบานเฟี้ยมมีช่องระบายอากาศยาวตลอดแนว หลังคาปั้นหยามุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว ถือเป็นอาคารในย่านตลาดเก่าหนึ่งในไม่กี่หลังที่ยังหลงเหลือจากเหตุการณ์ไฟไหม้ตลาดราชพัสดุครั้งใหญ่เมือหลายสิบปีก่อน มีการปรับปรุงใช้งานมาเป็นระยะจนถึงปัจจุบัน จัดอยู่ในกลุ่มอาคารเก่าเมืองน่านที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ โดยมีการประกาศอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน พุทธศักราช 2559 ที่ผ่านมา ในงานวันอนุรักษ์มรดกไทยที่จัดขึ้น ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน

อาคารพาณิชย์ สี่แยกประตูน้ำเข้ม เป็นตัวอย่างของการรักษาอาคารไม้ดั้งเดิมไว้ได้อย่างน่าชื่นชมโดยยังรักษาสภาพรูปแบบดั้งเดิม แต่เสริมความแข็งแรงเพื่อรองรับการใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจที่สอดคล้องกับตัวอาคารท่ามกลางกระแสของการพัฒนาเมืองและสภาพเศรษฐกิจของเมืองน่านปัจจุบัน ทำให้เจ้าของอาคารเก่าหลายๆ หลังในพื้นที่เห็นถึงคุณค่าของการอนุรักษ์อาคารแทนการรื้อถอน


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้