กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม จังหวัดภูเก็ต 2567
13 ธ.ค. 2567
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ออก “ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. 2567” เพื่อใช้แทนฉบับเดิม พ.ศ. 2560 ประกาศฉบับนี้ได้กำหนดอายุใช้บังคับ 5 ปี คือตั้งแต่ 14 ธ.ค. 2567 ถึง 13 ธ.ค. 2572 มีการปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมข้อกำหนดในรายละเอียดบางอย่าง พอสรุปในส่วนที่น่าสนใจโดยเน้นในส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ดังนี้
พื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการกำหนดบริเวณ
ประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่ยังคงกำหนดเขตพื้นที่ที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมได้แก่ เขตอนุรักษ์ เขตผังเมืองรวม เขตควบคุมอาคาร และเขตควบคุมมลพิษในจังหวัดภูเก็ต ส่วนการแบ่งบริเวณได้แบ่งออกเป็น 8 บริเวณ จากเดิม 9 บริเวณ บริเวณที่ตัดออกไปคือ บริเวณที่ 5 เดิม ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่ของอาคารหรือสถานที่บางแห่งและพื้นที่ในระยะ 100 เมตรโดยรอบ ส่วนบริเวณที่ 6 ถึง 9 เดิม เปลี่ยนเป็น บริเวณที่ 5 ถึง 8 ตามลำดับ
กรณีต้องห้ามและข้อยกเว้น
เดิมมีข้อกำหนดห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางประเภท ได้แก่ โรงงาน โรงฆ่าสัตว์ ฌาปนสถาน สุสาน คลังน้ำมันและสถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่สาม คลัง สถานที่บรรจุ และสถานที่เก็บรักษาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และอาคารเลี้ยงนกแอ่นกินรัง โดยมีข้อกำหนดยกเว้นบางประการ แต่ในประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่ ข้อ 5 ไม่มีการกำหนดห้ามดังกล่าวแล้ว เว้นแต่ อาคารเลี้ยงนกแอ่นกินรัง ซึ่งย้ายไปกำหนดเป็นการกระทำการหรือการประกอบกิจกรรมต้องห้าม แต่มีการกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมว่าจะต้องจัดให้มีเครื่องจักรหรืออุปกรณ์เพื่อควบคุมมลพิษหรือแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และมีที่ว่างน้ำซึมผ่านได้และพื้นที่สีเขียวยั่งยืนตามที่กำหนด
ข้อกำหนดโดยทั่วไป
ข้อกำหนดโดยทั่วไปเกี่ยวกับความสูงสำหรับแต่ละบริเวณในข้อ 6 ของประกาศกระทรวงฯ ไม่แตกต่างจากเดิม แต่ข้อกำหนดเกี่ยวกับที่ว่างในบางบริเวณซึ่งส่วนใหญ่กำหนดเท่ากับที่ว่างตามกฎหมายควบคุมอาคารอยู่แล้ว ถูกตัดออกไปและแทนที่ด้วยข้อกำหนดเรื่องที่ว่างน้ำซึมผ่านได้ และพื้นที่สีเขียวยั่งยืน ตามแนวทางของกฎหมายการผังเมือง และกฎหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
สำหรับบริเวณที่ 4 ซึ่งมีส่วนหนึ่งเป็นเขตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรม หรือย่านอาคารเก่าในเขตพื้นที่เมืองเก่าภูเก็ต ได้เปลี่ยนการเรียกชื่อจาก “รูปแบบสถาปัตยกรรมชิโน – โปรตุกีส” เป็น “รูปแบบสถาปัตยกรรมชิโนยูโรเปียนหรือรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบผสมผสาน” ส่วนในเขตหนาแน่นมากและเขตหนาแน่นสูงมาก ซึ่งยังคงกำหนดจำกัดความสูง F.A.R. และที่ว่างไว้เช่นเดิม แต่เพิ่มความไว้ด้วยว่า ในเขตที่มีการบังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคารหรือกฎหมายการผังเมือง ความสูงของอาคารให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎหมายนั้น
สำหรับบริเวณที่ 7 ซึ่งได้แก่ พื้นที่ในเกาะภูเก็ตและเกาะบริวารต่างๆ แม้จะได้กำหนดจำกัดความสูงไว้ไม่เกิน 23 เมตรเหมือนเดิม ก็ระบุเพิ่มไว้ด้วยเช่นกันว่า ในเขตที่มีการบังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคารหรือกฎหมายการผังเมือง ความสูงของอาคารให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎหมายนั้น
ข้อกำหนดตามความลาดชัน
เดิม มีข้อกำหนดสำหรับพื้นที่ที่มีความลาดชันตั้งแต่ร้อยละ 20 ถึงร้อยละ 35 ในประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่ ข้อ 7 เป็นการกำหนดสำหรับพื้นที่ลาดเชิงเขาโดยไม่ระบุตัวเลขความลาดชัน ส่วนข้อกำหนดต่างๆ ยังคงเดิม นอกจากนี้ เดิมมีการกำหนดห้ามปรับสภาพพื้นที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงในพื้นที่ที่มีความลาดชันเกินกว่าร้อยละ 35 ในประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่ ไม่มีเรื่องการปรับสภาพพื้นที่แล้ว
วิธีการวัดความสูงของอาคาร
หลักเกณฑ์การวัดความสูงของอาคารในข้อ 8 ของประกาศกระทรวงฯ ว่าวัดจากจุดใดถึงจุดใด ยังคงกำหนดไว้เช่นเดิม แต่ระบุเพิ่มในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดเรื่องบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร ให้วัดจากระดับพื้นดินถึงส่วนที่สูงสุดของอาคาร
ข้อกำหนดสำหรับโรงแรม อาคารอยู่อาศัยรวม อาคารชุด
เดิมมีข้อกำหนดสำหรับการติดตั้งป้ายหรือการก่อสร้างสิ่งใดๆ ที่สร้างขึ้นสำหรับเพื่อติดตั้งป้าย ในประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่ได้ตัดออกไป ส่วนกรณีการก่อสร้าง ดัดแปลง (เฉพาะการขยายขนาดหรือเพิ่มจำนวนห้องพัก) หรือเปลี่ยนการใช้อาคารเป็นโรงแรม อาคารอยู่อาศัยรวม และอาคารชุด ที่อยู่ห่างจากแนวชายฝั่งทะเลหรือแนวชายเกาะ (กรณีไม่มีชายฝั่งทะเล) เกินกว่า 50 เมตร และมีจํานวนห้องพักตั้งแต่ 11-49 (เดิม 10-29 ห้อง) ต้องดําเนินการตามข้อกําหนดท้ายประกาศฯ ด้วย ซึ่งประกอบด้วย มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่จะต้องปฏิบัติระหว่างการก่อสร้าง มาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม การจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว
การจัดทำ IEE หรือ EIA
สำหรับประเภทอาคารหรือประเภทโครงการที่จะต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) หรือ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ในกรณี EIA ไม่ได้เปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ ส่วนในกรณีที่จะต้องจัดทำ IEE มีความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ที่น่าสนใจ เช่น
– โรงแรม อาคารอยู่อาศัยรวม อาคารชุด ที่มีจำนวนห้องพัก 50-79 ห้อง (เดิม 30-79 ห้อง) หรือมีพื้นที่ใช้สอยของทุกอาคารรวมกันตั้งแต่ 2,500 ตร.ม. (เดิม 1,500 ตร.ม.) แต่ไม่ถึง 4,000 ตร.ม. ต้องทำ IEE (จะเห็นได้ว่า ข้อกำหนดได้ผ่อนคลายลงตามลำดับ จากแต่เดิม 10-79 ห้อง เป็น 30-79 ห้องในประกาศกระทรวงฯ ฉบับปี 2560 และมาเป็น 50-79 ห้องในประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่นี้)
– เดิมมีการกำหนดสำหรับกิจการที่นำบ้านพักอาศัย ห้องแถว ตึกแถว หรือบ้านแถว ไปให้บริการเป็นสถานที่พักในลักษณะโรงแรม ข้อกำหนดส่วนนี้ถูกตัดออกไป เข้าใจว่า การกำหนดสำหรับโรงแรมครอบคลุมไว้แล้ว
– โรงพยาบาล เดิมกำหนดที่มีเตียงสำหรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน 10-29 เตียง ในประกาศกระทรวงฯ ฉบับใหม่ กำหนดจำนวนเตียงเท่าเดิมแต่เป็นในกรณีตั้งอยู่ใกล้ฝั่งทะเลหรือชายหาดในระยะ 50 เมตร และเพิ่มกรณีห่างจากชายหาดเกิน 50 เมตรเป็น 10-59 เตียง
– การจัดสรรที่ดิน ก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน จากเดิมที่กำหนดจำนวนแปลงที่ดินตั้งแต่ 30 แปลง แต่ไม่ถึง 500 แปลง หรือมีเนื้อที่ 1.8-100 ไร่ เป็นตั้งแต่ 100 แปลง แต่ไม่ถึง 500 แปลง หรือมีเนื้อที่ตั้งแต่ 19 ไร่ แต่ไม่ถึง 1,000 ไร่
ข้อกำหนดควบคุมชายฝั่งทะเลจังหวัดภูเก็ต
ในการใช้บังคับตามประกาศฯฉบับนี้ หากมีกฎหมายอื่นที่กำหนดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเรื่องใดไว้โดยเฉพาะและเป็นมาตรการที่ไม่ต่ำกว่าหรือดีกว่าที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ ก็ให้เป็นไปตามมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ดังนั้น นอกจากประกาศกระทรวงทรัพยากรฯฉบับนี้ซึ่งเป็นการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามกฎหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีกฎกระทรวงควบคุมอาคาร ซึ่งควบคุมเรื่องการก่อสร้างฯ ในจังหวัดภูเก็ตเช่นกัน ได้แก่ กฎกระทรวงฉบับที่ 15 (พ.ศ. 2529)ฯ ซึ่งครอบคลุมชายฝั่งทะเลหาดป่าตอง และ กฎกระทรวงฉบับที่ 20 (พ.ศ. 2532)ฯ ซึ่งครอบคลุมชายฝั่งทะเลฝั่งตะวันตกของเกาะภูเก็ต นอกเหนือจากหาดป่าตอง ซึ่งจะต้องถูกนำมาพิจารณาร่วมกับประกาศกระทรวงตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับนี้ด้วย
ดาวน์โหลด: eqa\ma67-04.pdf