พ.ศ. 2532

สถานกงสุลอังกฤษ เชียงใหม่ (เดิม)

อ่านเพิ่มเติม

สถานกงสุลอังกฤษ เชียงใหม่ (เดิม)

  • ที่ตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง นายสุระ จันทร์ศรีชวาลา
  • ปีที่สร้าง ประมาณ พ.ศ. 2456 – 2458
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2532

ประวัติ

สถานกงสุลอังกฤษ เชียงใหม่ หลังเดิมเป็นอาคาร 2 ชั้น สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ชั้นล่างล้อมรอบด้วยทิวเสา มีห้องอยู่ภายใน ชั้นบนเป็นระเบียงรอบ กล่าวกันว่าลักษณะเหมือนอาคารโคโลเนียลในประเทศอินเดีย ภาพรวมดูเรียบง่าย ตรงไปตรงมา และมีบรรยากาศที่สบายน่าอยู่ อาคารนี้ก่อสร้างขึ้นในราวปีพ.ศ. 2456 สมัยที่นายวิลเลียม อัลเฟรด เร วูด (William Alfred Rae Wood) เข้ามารับตำแหน่งเป็นกงสุลใหญ่ ท่านผู้นี้ต่อมาได้มีส่วนในการวางผังและแนวความคิดในการออกแบบสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษที่กรุงเทพฯด้วย เมื่อแรกสร้างสถานกงสุลนี้ประกอบด้วย บ้านพัก ที่ทำการ ห้องพิจารณาคดี เรือนคนใช้ และคอกช้าง ซึ่งท่านได้เลี้ยงไว้ 4 เชือก สำหรับการเดินทางในสมัยนั้น สถานกงสุลนี้ได้เปิดทำการเมื่อปี พ.ศ. 2458 แต่ปัจจุบันสภานกงสุลได้ย้ายที่ทำการไป จึงได้ขายสถานกงสุลเดิมให้กับเอกชน

Chiang Mai British Consulate (former)

  • Location Amphoe Mueang, Chiang Mai Province
  • Architect/Designer Unknown
  • Proprietor Mr. Sura Chansichawala
  • Date of Construction circa 1913 – 1915 AD
  • Conservation Awarded 1989 AD

History

The former Chiang Mai British Consulate is a 2-storey house of Colonial style. The ground floor is surrounded by colonnades and the first floor by verandahs. It is said that the style similar to Colonial building in India. The appearance is simple, sincere, and very homely. The building was constructed circa 1913, during the time that Mr. William Alfred Rae Wood was the Consul General, who, later, also involved in the planning and design of the British Embassy in Bangkok. At first built, the consulate comprised the residences, office, courtroom, servant house, and stables for elephants that the Consul used for transportation. The consulate was officially opened in 1915, but later it was moved, and the property has been sold to private owner.


หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

อ่านเพิ่มเติม

หอศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร

  • ที่ตั้ง มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ถนนหน้าพระลาน เขตพระนคร กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ นายโยคิม แกรซี (Joachim Grassi) ออกแบบพระตำหนักกลาง
  • ผู้ครอบครอง มหาวิทยาลัยศิลปากร
  • ปีที่สร้าง ท้องพระโรง สร้างในรัชกาลที่ 1 พระตำหนักกลาง สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2532

ประวัติ

หอศิลป์มหาวิทยาลัยศิลปากร ประกอบด้วยท้องพระโรงและตำหนักกลาง เดิมเป็นส่วนหนึ่งของวังท่าพระ หรือวังท่าช้าง ซึ่งมีชื่อเดิมว่าวังถนนหน้าพระลานหรือวังตะวันตก สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 1 เพื่อเป็นที่ประทับของเจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรานุชิตหรือเจ้าฟ้าเหม็น พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและเจ้าครอกฉิม พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยฌปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว) เสด็จมาประทับเมื่อ พ.ศ. 2352 พระองค์ได้ทรงบัญชาการงานที่สำคัญ ณ วังท่าพระ โดยใช้อาคารท้องพระโรงเป็นที่ทรงงานด้วย หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2367 วังท่าพระก็ได้เป็นที่ประทับของเจ้านายพระองค์อื่นต่อมา ได้แก่ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ และกรมขุนราชสีหวิกรม (พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าชุมสาย) ผู้กำกับช่างสิบหมู่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 วังท่าพระเป็นที่ประทับของกรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ และเจ้านายพระองค์สุดท้ายที่ประทับวังนี้คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ในยุคนี้มีการก่อสร้างพระตำหนักกลาง เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิค สันนิษฐานว่าออกแบบโดยนายโยคิม แกรซี สถาปนิกชาวอิตาลี ต่อเนื่องกับพระตำหนักทิศตะวันตก หรือตำหนักพรรณราย วังท่าพระในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปากร อาคารสำคัญทั้ง 3 หลัง ได้แก่ อาคารท้องพระโรง พระตำหนักกลาง และพระตำหนักพรรณรายนั้น ยังได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีในฐานะอาคารประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย และได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมื่อ พ.ศ. 2521 ท้องพระโรงและพระตำหนักกลาง ได้ปรับการใช้สอยเป็นหอศิลป์ ซึ่งได้จัดแสดงศิลปกรรมสำคัญๆ อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด

Silpakorn University Art Gallery

  • Location Silpakorn University, Wang Tha Phra Campus, Na Phra Lan Road, Khet Phra Nakhon, Bangkok
  • Architect/Designer Mr. Joachim Grassi (designed Phra Tamnak Klang)
  • Proprietor Silpakorn University
  • Date of Construction Thong Phra Rong: King Rama I period, Phra Tamnak Klang: King Rama V period
  • Conservation Awarded 1989 AD

History

Silpakorn University Art Gallery comprises Thong Phra Rong (Throne Hall), a Thai traditional architecture and Phra TamnakKlang (Middle Pavilion), a building of neoclassical style. These buildings are part of Wang Tha Phra Campus. The palce was built in the reign of King Rama I as a residence of Chaofa Krommakhun Kasatranuchit. Consecutively, this palce had been resided by several princes including King Rama III before he ascended the throne, Prince Krommamuen Adulyyalaksanasombat, and the last resident was Prince Krommaphraya Narisara Nuwattiwong in King Rama V’s reign. During that time, Phra Tamnak Klang (Middle Pavilion), designed by Mr. Joachim Grassi, an Italian architect was added to the compound. It is connected to Phra Tamnak Phannarai, a residence of the Prince’s mother. Thong Phra Rong and Phra Tamnak Klang have been rehabilitated as the university art gallery where interesting art exhibitions and events are held throughout the year.


ศาลแขวงราชบุรี

อ่านเพิ่มเติม

ศาลแขวงราชบุรี

  • ที่ตั้ง ถนนวิชิตสงคราม อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง กระทรวงยุติธรรม
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2449
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2532

ประวัติ

อาคารศาลแขวงราชบุรี เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น สถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์รีไววัลผสมวิคตอเรียน จุดเด่นคือหลังคาจั่วซึ่งออกแบบให้มีความชันมากกว่าลักษณะจั่วคลาสสิคต้นแบบ ที่หน้าจั่วประดับ พระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หน้าต่างเป็นซุ้มโค้งกลม (round arch) โชว์แนวเสาโดยลดระดับผนังให้ลึกเข้าไป ช่องแสงเหนือบานประตูหน้าต่างเป็นไม้ฉลุ ภายในส่วนกลางเป็นโถง มีบันไดขึ้นชั้นบนจากด้านหน้า และด้านหลังซึ่งเป็นบันไดทางขึ้นเฉพาะสำหรับผู้พิพากษ ผนังภายในมีแผงประดับเป็นไม้ฉลุลวดลายงดงามอย่างเรือนขนมปังขิง ศาลแขวงราชบุรี สร้างขึ้นเมื่อ ร.ศ. 125 (พ.ศ. 2449) รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้เป็นที่ทำการศาลมณฑลราชบุรี ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐบาลได้ยกเลิกศาลมณฑลราชบุรี แล้วตั้งขึ้นเป็นศาลจังหวัด อาคารนี้จะเป็นที่ทำการศาลจังหวัดมาจนปี 2500 จึงเปลี่ยนเป็นที่ทำการศาลแขวงมาจนปัจจุบัน และได้รับการขึ้นทะเบียบโบราณสถานเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2520

Ratchaburi Municipal Court

  • Location Wichitsongkhram Road, Amphoe Mueang, Ratchaburi Province
  • Architect/Designer Unknow
  • Proprietor Ministry of Justice
  • Date of Construction 1906 AD.
  • Conservation Awarded 1989 AD.

History

Ratchaburi Municipal Court is a 2-storey, brick masonry building, a combination of Renaissance Revival and Victorian style. Its distinguished feature is a gable roof, which is intentionally designed to be steeper than its Classic prototype, decorated with the Royal Seal of King Rama V. The fagade comprises round arched windows, superimposed pilasters created by setting back the walls, and wooden fretwork light windows. The entrance leads to a hall with a front staircase, which is used by the public, another staircase is at the rear which is reserved only for the judges. Interior partitions are finely decorated with wooden fretwork, similar to a gingerbread house. The Ratchaburi Municipal Court was built as Ratchaburi Monthol Court in 1906 AD. Later in the reign of King Rama VII, the Monthol Court was changed to Provincial Court and the building had been used as the Provincial Court until 1957, then it has become a Municipal Court until the present day. This historic courthouse has been registered as a National Monument since 11th May, 1977


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี

อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี

  • ที่ตั้ง 318 ถนนเขื่อนธานี ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง กรมศิลปากร
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2461
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2532

ประวัติ

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจำจังหวัดแห่งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรมศิลปากรจัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นสถาบันด้านการอนุรักษ์ จัดแสดงและเผยแพร่มรดกศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น อาคารพิพิธภัณฑ์นี้เดิมเป็นศาลากลางจังหวัด ก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2461 รัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตัวอาคารเป็นแบบโคโลเนียลที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบนีโอปัลลาเดียน เป็นอาคารชั้นเดียว หลังคาปั้นหยามุงกระเบื้องว่าว หันหน้าทางทิศเหนือ คือหันหน้าเข้าทุ่งศรีเมืองเน้นทางเข้าที่มุขด้านหน้าซึ่งมีแผงประดับรูปโค้งตกแต่งด้วยปูนปั้น มีตัวอักษรปูนปั้นเขียนว่า “ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี” และมีครุฑประดับที่ส่วนยอด ต่อมา เมื่อบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ศาลากลางจังหวัดนี้ก็คับแคบไม่พอเพียงต่อการใช้สอย ทางจังหวัดจึงได้ก่อสร้างศาลากลางหลังใหม่ขึ้น ณ ด้านตะวันตกของทุ่งศรีเมือง และย้ายที่ทำการไปเมื่อ พ.ศ. 2511 ศาลากลางเก่าจึงได้ใช้เป็นที่ทำการของหน่วยงานราชการอื่นๆ จนถึง พ.ศ. 2526 นายบุญช่วย ศรีสารคาม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้มอบอาคารศาลากลางเก่านี้แก่กรมศิลปากร เพื่อจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจำจังหวัดและได้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2532

Ubon Ratchathani National Museum

  • Location 318 Khuean Thani Road, Tambon Nai Mueang, Amphoe Mueang, Nakhon Phanom
  • Province Architect/Designer Unknown
  • Proprietor Fine Arts Department
  • Date of Construction 1918 AD.
  • Conservation Awarded 1989 AD.

History

Ubon Ratchathani National Museum is the first provincial museum in the North-eastern Region. It has been established as a center for conservation, exhibition and promotion of local cultural heritage by the Fine Arts Department, Ministry of Culture. The museum building was formerly a Provncial Hall. It was built in 1918, King Rama VI’s reign. The architecture is Colonial, with Neo-Palladian influences. It is one-storey, hipped roof with cement roof tiles, facing north which is the direction towards Thung Si Mueang. The front porch is emphasized by a fractable installed with a plaque of Ubon Ratchathani Provicial Hall, and a Garuda at the top. Later, the town was much developed that the old Provincial Hall became too crowed, therefore, a new Provincial Hall was constructed to the west of Thung Si Mueang . In 1968, the provincial office was moved out, and the old hall was used as an office building for some government organizations until 1983, Mr. Boonchuai Srisarakham, Governor of Ubon Ratchathani gave the building to the Fine Arts Department to be rehabilitated as a provincial museum. This museum was officially opened on 30th June, 1989, presided over by HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn.


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป (หอศิลป์ถนนเจ้าฟ้า)

อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป (หอศิลป์ถนนเจ้าฟ้า)

  • ที่ตั้ง เลขที่ 2 ถนนเจ้าฟ้า แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ นายคาร์โล อัลเลกรี (Carlo Allegri) วิศวกรชาวอิตาลี
  • ผู้ครอบครอง กรมศิลปากร
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2445
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2532

ประวัติ

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป หรือที่เรียกว่าหอศิลป์ถนนเจ้าฟ้านั้น เดิมเป็นอาคารที่มีความสำคัญยิ่งในด้านเศรษฐกิจ คือเป็นสถานที่ผลิตเงินตรา เรียกว่า “โรงกระษาปณ์สิทธิการ” สร้างขึ้นในช่วงปีพ.ศ. 2445 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี คือ นายคาร์โล อัลเลกรี รูปแบบสถาปัตยกรรมนีโอปัลลาเดียน ที่โค้งประดับจั่วมุขด้านหน้าทำปูนปั้นรูปตราแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 ผังของกลุ่มอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมล้อมรอบลานโล่ง (Court) เป็นที่ตั้งของถังเก็บน้ำโครงสร้างเหล็กสร้างขึ้นพร้อมตัวอาคาร ซึ่งมีรูปแบบที่น่าสนใจ

โรงกระษาปณ์สิทธิการแห่งนี้สร้างขึ้นแทนโรกษาปณ์เดิมที่ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อแรกสร้างเป็นโรกษาปณ์ที่ทันสมัยมาก เครื่องจักรต่างๆ เป็นเครื่องจักรไฟฟ้าสั่งมาจากยุโรป สามารถผลิตเหรียญได้วันละ 80,000 – 100,000 บาท โดยได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2445 และได้ใช้เป็นโรกษาปณ์จนถึงปี 2511 จึงได้ย้ายไป ต่อมาในพ.ศ. 2517 กระทรวงการคลังได้มอบอาคารและที่ดินของโรกษาปณ์เดิมให้แก่กรมศิลปากร

สถาปัตยกรรมที่งามสง่าของตัวอาคาร อีกทั้งที่ว่างภายในที่เป็นโถงโล่งกว้าง ผนังหนาทึบของโรกษาปณ์นั้นสามารถนำมาปรับให้เหมาะกับการจัดแสดงงานศิลปกรรมได้เป็นอย่างดี กรมศิลปากรจึงได้จัดแสดงและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับงานทัศนศิลป์ร่วมสมัย เรียกว่า “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป” สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2521 และได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯมาจนปัจจุบัน

The National Gallery (Thanon Chaofa Art Gallery)

  • Location Chaofa Road, Khwaeng Phra Borommaharatchawang, Khet Phra Nakhon, Bangkok
  • Architect/Designer Mr. Carlo Allegri
  • Proprietor Fine Arts Department
  • Date of Construction 1902 AD
  • Conservation Awarded 1989 AD

History

The National Gallery or Thanon Chaofa Art Gallery was originally the royal mint named “Roang Krasap Sitthikan”. It was built circa 1902, the reign of King Rama V, designed by an Italian engineer, Mr. Carlo Allegri, in Neo-Palladian style. The entrance porch is decorated with the Emblem of Thailand in King Rama V period on the pediment. The plan is rectangular surrounding an open court where a water tank, also an original building, with steel structure stands. At first built this mint was very advanced with high technology machines imported from Europe which manufactured coins up to 80,000-100,000 baht per day. The mint was officially opened in 1902 and had operated until it was moved in 1968. In 1974, the property was given to the Fine Arts Department who has it rehabilitated as an art gallery, a suitable function for its space and form. The gallery was opened on 8th August, 1978, presided over by HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn.


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน

อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน

  • ที่ตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ เจ้าราชดนัย (เจ้าน้อยยอดฟ้า)
  • ผู้ครอบครอง กรมศิลปากร
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2446
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2532

ประวัติ

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ตั้งอยู่ในอาคารที่เคยเป็น “หอคำ” หรือคุ้มของพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน โดยทรงสร้างขึ้นเป็นที่ประทับแทนหอคำหลังเก่าซึ่งเป็นไม้ เมื่อ พ.ศ. 2446 ซึ่งเป็นปีที่พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเลื่อนฐานันดรศักดิ์ท่านเป็น “พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชกุลเชษฐมหันต์ ชัยนันทบุรมหาราชวงศาธิบดีฯ” (พระเจ้าน่าน) หอคำนี้ได้สืบทอดมายังเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้าย เมื่อท่านถึงแก่พิราลัย เจ้านายบุตรหลานของท่านจึงได้มอบหอคำและที่ดินแก่รัฐบาลไทยเพื่อใช้เป็นศาลากลางจังหวัดในปี 2475 ต่อมาเมื่อมีการก่อสร้างศาลากลางหลังใหม่ กรมศิลปากรจึงได้ขอรับมอบอาคารนี้เพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2517 เวลานั้นอาคารมีสภาพทรุดโทรม จึงต้องทำการบูรณะใหญ่ตั้งแต่ปีนั้นจนแล้วเสร็ในปี 2524 และเริ่มเปิดให้ประชาชนเข้าชมในปี 2526 ในปี 2529 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน จึงได้เปิดอย่างเป็นทางการ และได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมื่อวันที่ 22 เมษายน ปีเดียวกัน ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์เป็นอาคารรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ผสมผสานอิทธิพลตะวันตกแบบวิคตอเรียน ด้านหน้าเป็นสนามโล่งกว้าง ซึ่งเดิมเคยเป็นข่วงเมือง (ลานกลางเมือง) ผังอาคารเป็นรูปตัว T โดยเน้นทางเข้าที่มุขกึ่งกลางด้านหน้า หลังคาจั่วเดิมมุงด้วยแป้นเกล็ด ประดับช่อฟ้า ใบระกา แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกระเบื้องลอนคู่สีเขียว และเครื่องประดับหลังคาก็ได้เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นแบบอาคารราชการ ซึ่งทำขึ้นในสมัยที่เปลี่ยนการใช้สอยมาเป็นศาลากลางจังหวัด พิพิธภัณฑ์นี้เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ศิลปะ โบราณคดี และชาติพันธุ์วิทยาประจำท้องถิ่น ที่น่าสนใจคือเรื่องราวของเมืองน่าน ตั้งแต่การก่อตั้งเมือง เชื้อสายราชวงศ์ เครื่องมือเครื่องใช้โบราณต่างๆ

Nan National Museum

  • Location Amphoe Mueang, Nan
  • Province Architect/Designer Chao Ratdanai
  • Proprietor Fine Atrs Department
  • Date of Construction 1903 AD.
  • Conservation Awarded 1989 AD.

History

Nan National Museum is situated in a building which was originally the “Ho Kham” or House oh the Lord of Nan, Phrachao Suriyaphong Pharidet. The house was built in 1903 to replace the former wooden house. This Ho Kham was inherited by Chao Mahaphrom Surathada, the last Lord of Nan. After he passed away, his descendants gave the building and land to the government to be used as Provincial Hall in 1932. Later the Provincial Hall was moved to a new building therefore, the Fine Arts Department requested to set up a national museum at the house in 1974. At that time, the building was in a much deteriorated state thus a major restoration was carried out until completed in 1981. The museum opened for public visitors in 1983 but was officially opened in 1986. In the same year on 22nd April, it was registered as a National Monument. The museum building is combinatipn of Thai and Victorian style. In front of the building is a vast lawn, which was the town squre in the olden days. Its plan is T-shaped with a front entrance porch, gable roof which was originally roofed with wooden shingles but has been changed to official building decorative style when the building was rehabilitated as the Provincial Hall. This museum emphasizes on art history, archaeology, and ethnology of the locality. Interesting exhibitions are on the history of Nan from the founding, rulers. And ancient object and tools.


ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

อ่านเพิ่มเติม

ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

  • ที่ตั้ง ทำเนียบรัฐบาล ถนนพิษณุโลก เขตดุสิต กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ นายมาริโอ ตามานโญ (Maro Tamagno) นายอันนิบาเล ริกอตติ (Annibale Rigotti)
  • ปรับปรุงต่อเติมโดยศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี (Corrado Feroci)
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานเลขาธิการนากยกรัฐมนตรี
  • ปีที่สร้าง ประมาณ พ.ศ. 2466 – 2468
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2532

ประวัติ

ตึกไทยคู่ฟ้า เดิมชื่อว่าตึกไกรสร ตามพระนามของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร) ต้นราชสกุล พึ่งบุญ ณ อยุธยา เป็นอาคารประธานในบริเวณบ้านนรสิงห์ของพลเอกเจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) ซึ่งสร้างบนที่ดินที่ท่านเจ้าของได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้รับพระราชทานพระราชทรัพย์สำหรับก่อสร้างอาคารและองค์ประกอบต่างๆ ในบริเวณด้วย ตัวอาคารตึกไกรสรนี้ออกแบบโดยนายมาริโอ ตามานโญ (Mario Tamagno) และนายอันนิบาเล ริกอตติ (Annibale Rigotti) สถาปนิกชาวอิตาลีซึ่งอยู่ในคณะสถาปนิกผู้ออกแบบพระที่นั่งอนันตสมาคม รูปแบบสถาปัตยกรรม เป็นแบบเวเนเชียนโกธิคครีไววัล คือมีลักษณะและการตกแต่งอาคารด้วยองค์ประกอบยุคโกธิคแบบเมืองเวนิช คล้ายกับที่ Palazzo Ca’d’Oro (Golden House) เน้นความโดดเด่นหรูหราของอาคารด้วยโดมโค้งแหลม หอคอยและแผงประดับเชิงชายที่มีลวดลายละเอียดแพรวพราว ในปี 2484 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ซื้อบ้านนรสิงห์จากเจ้าพระยารามราฆพเพื่อใช้เป็นที่รับรองแขกเมือง และได้มอบหมายให้ศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี ออกแบบต่อเติมอาคารระหว่างปี 2484-2489 และได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ทำเนียบสามัคคีชัย” และ “ทำเนียบรัฐบาล” ตามลำดับ ส่วนตึกไกรสรนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ตึกไทยคู่ฟ้า” ปัจจุบันตึกไทยคู่ฟ้าเป็นอาคารที่ทำการของนายกรัฐมนตรี และเป็นห้องรับรองแขกเมืองและแขกสำคัญของรัฐบาล อาคารนี้ได้มีการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงปีงบประมาณ 2538-2540 ส่วนครั้งหลังสุดมีการบูรณะและปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อต้อนรับการประชุมระดับผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย – แปซิฟิค ครั้งที่ 11 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุม APEC 2003 ในปี 2546

Thai Khufa Building, Govern House

  • Location Government House, Phitsanulok Road, Khet Dusit, Bangkok
  • Architect/Designer Mr. Mario Tamagno, Mr. Annibale Rigotti
  • Extension design Professor Silpa Bhirasri (Corrado Feroci)
  • Proprietor The Secretariat of the Prime minister
  • Date of Construction 1923 – 1925 AD.
  • Conservation Awarded 1989 AD.

History

Thai Khufa Building was originally named “Kraison Building”, principal structure in “Ban Norasing”, the residence of General Chaophraya Ramrakhop (Mom Luang Fuea Phuengbun) whos was an important official in the reign of King Rama VI. The building was designed by Mr. Mario Tamagno and Mr. Annibale Rigotti, Italian architects, in Venetian Gothic Revival style. The architectural features are similar to those of Palazzo Ca’d’Oro in Venice with dome, point arch, tower elaborate moulding and stucco decorations. In 1941, the government of Field Marshal P. PhibunsongKhram bought Norasing house to be used as a reception house for state guests and assigned Professor Silpa Bhirasi to design for the extension. The house was renamed “Thamniab Sammakhichai” and “Thamniab Ratthaban” consecutively, and Kraison Building was changed to “Thai Khufa Building”.


วังปารุสกวัน

อ่านเพิ่มเติม

วังปารุสกวัน

  • ที่ตั้ง ถนนศรีอยุธยา เขตดุสิต กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ นายมาริโอ ตามานโญ (Maro Tamagno) นาย จี. ซัลวาโตเร (G. Salvatore) นายสก็อตต์ (Scott) และ นายเปโรเลวี (Beyrolevi)
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • ปีที่สร้าง ประมาณ พ.ศ. 2449
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2532 และพ.ศ. 2536

ประวัติ

วังปารุสกวัน ประกอบด้วยอาคารสำคัญ 2 หลัง ได้แก่ พระตำหนักปารุสกวัน เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรแมนติก เดิมเป็นอาคาร 2 ชั้น ต่อมาได้ต่อเติมเป็น 3 ชั้น การใช้สอยแต่เดิมชั้นล่างเป็นห้องโถงใหญ่ ใช้เป็นท้องพระโรง มีห้องรับแขก ห้องเสวย และห้องชุดสำหรับรับรองแขก มี เฉลียงใหญ่สำหรับเป็นที่ประทับพักผ่อน ชั้น 2 และ 3 เป็นที่ประทับ พระตำหนักสวนปารุสกวัน เป็นพระตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ ในวโรกาสที่ทรงสำเร็จวิชาการทหารจากประเทศรัสเซียและเสด็จนิวัติประเทศไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามแก่พระตำหนักใหม่นี้ว่า “พระตำหนักปารุสกวัน” (แปลว่า “สวนมะปราง”) และจัดพิธีขึ้นพระตำหนักใหม่ เมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2449 พระตำหนักอีกหลังหนึ่งคือ พระตำหนักสวนจิตรลดา เดิมเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ ต่อมาทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ เพื่อแลกเปลี่ยนกับที่ดินบริเวณท่าวาสุกรี พระตำหนักนี้เป็นอาคาร 2 ชั้นรูปแบบสถาปัตยกรรม Stile Liberty หรือ อาร์ตนูโวแบบอิตาลี ผังด้านนอกประดับลวดลายปูนปั้นอย่างงดงาม หลังคาทรงปั้นหยาหลายระนาบมุงกระเบื้องว่าว กันสาดหน้าต่างเป็นรูปโค้ง หน้าต่างตอนบนเป็นช่องแสงไม้ฉลุลายทุกบาน พระตำหนักนี้นอกจากการตกแต่งที่ละเอียดประณีตแล้ว ยังมีลักษณะเด่นคือมีมุขสำหรับเทียบรถยนต์ ซึ่งเป็นพาหนะที่เริ่มมีใช้กันในยุคนั้นส่วนการใช้สอยดั้งเดิมนั้น ชั้นล่างใช้เป็นท้องพระโรง ชั้นบนเป็นที่ประทับ จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถได้ประทับ ณ วังปารุสกวันจนตลอดพระชนมายุ ต่อมา เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในพ.ศ. 2475 ทางการได้เวนคืนวังปารุสกวันเพื่อเป็นที่ทำการของทางราชการ ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพระตำหนักสวนปารุสกวันใช้เป็นที่ทำการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และพระตำหนักสวนจิตรลดาใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

Parusakawan Palace

  • Location Government House, Phitsanulok Road, Khet Dusit, Bangkok
  • Architect/Designer Mr. Mario Tamagno, Mr. Annibale Rigotti
  • Extension design Professor Silpa Bhirasri (Corrado Feroci)
  • Proprietor The Secretariat of the Prime minister
  • Date of Construction 1923 – 1925 AD.
  • Conservation Awarded 1989 AD.

History

Thai Khufa Building was originally named “Kraison Building”, principal structure in “Ban Norasing”, the residence of General Chaophraya Ramrakhop (Mom Luang Fuea Phuengbun) whos was an important official in the reign of King Rama VI. The building was designed by Mr. Mario Tamagno and Mr. Annibale Rigotti, Italian architects, in Venetian Gothic Revival style. The architectural features are similar to those of Palazzo Ca’d’Oro in Venice with dome, point arch, tower elaborate moulding and stucco decorations. In 1941, the government of Field Marshal P. PhibunsongKhram bought Norasing house to be used as a reception house for state guests and assigned Professor Silpa Bhirasi to design for the extension. The house was renamed “Thamniab Sammakhichai” and “Thamniab Ratthaban” consecutively, and Kraison Building was changed to “Thai Khufa Building”.


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้