พ.ศ. 2554

อาคารเรียนโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชหลังที่ 2

อ่านเพิ่มเติม

อาคารเรียนโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชหลังที่ 2

  • ที่ตั้ง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ พระสาโรจน์รัตนนิมมาน สถาปนิกประจำกระทรวงศึกษาธิการ
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานจังหวัดอุบลราชธานี
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2478
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชเป็นโรงเรียนที่แยกมาจากโรงเรียนอุบลวิทยาคมในปีพ.ศ. 2458 เนื่องจากโรงเรียนอุบลวิทยาคมมีจำนวนนักเรียนมากขึ้นทำให้โรงเรียนคับแคบ โรงเรียนใหม่นี้ตั้งอยู่ ณ บริเวณมุมทุ่งศรีเมืองด้านตะวันออกและได้รับประทานนามโรงเรียนจากกรมหลวงพิษณุโลกประชานาถว่า โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลอุบลราชธานีเบ็ญจะมะมหาราชเพื่อเป็นอนุสรณ์ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 โดยได้ทรงออกใบประกาศตั้งนามโรงเรียนให้ไว้เป็นสำคัญต่อมาในปีพ.ศ. 2478 ทางจังหวัดได้รับงบประมาณ 4 หมื่นเศษ เพื่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชหลังที่ 2 ขึ้นในบริเวณทิศตะวันตกของทุ่งศรีเมือง เนื่องจากอาคารเรียนหลังแรกของโรงเรียนไม่สามารถรองรับจำนวนนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้นได้ โดยอาคารหลังนี้ก่อสร้างเป็นอาคารไม้ 2 ชั้นจำนวน 20 ห้องประกอบพิธีเปิดอาคาร เมื่อวันที่ 7 เมษายนพ.ศ. 2478

ลักษณะของอาคารเป็นอาคาร 2 ชั้นทรงมะนิลามีพื้นที่ใช้สอย 2,376 ตารางเมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออกตั้งอยู่บนฐานที่ก่อด้วยซีเมนต์ด้านหน้ามีมุข 3 มุขเรียงกัน หลังคามุงด้วยกระเบื้อง อาคารหลังนี้สร้างด้วยไม้สักทั้งหลังทั้งพื้นเข้าลิ้นเพดานฝาผนังประตูหน้าต่างชั้นล่างประกอบด้วยห้องพักครูห้องครูใหญ่ห้องธุรการและห้องเรียนส่วนชั้นบนประกอบด้วยห้องประชุมห้องสมุดและห้องเรียนหลังจากที่โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชได้ย้ายโรงเรียนไปตั้งอยู่ ณ บ้านท่าวังหินซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนในปัจจุบันในปีพ.ศ. 2513 อาคารเรียนหลังนี้ได้มีการใช้งานมาอย่างต่อเนื่องโดยส่วนราชการต่างๆ ของจังหวัดอุบลราชธานี เช่น สัสดีจังหวัด สำนักงานธนารักษ์จังหวัดสำนักงานสถิติจังหวัด และสำนักงานพัฒนาอำเภอเมืองอุบลราชธานี จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2543 ได้มีการย้ายส่วนราชการออกทั้งหมด โดยบางส่วนของอาคารยังคงใช้เป็นสถานที่เก็บพัสดุปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบดูแลโดยสำนักงานจังหวัดอุบลราชธานีในปีพ.ศ. 2545 กรมศิลปากรได้ประกาศให้อาคารหลังนี้เป็นโบราณสถาน

ในปีพ.ศ. 2545 คณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการได้มีมติเห็นชอบให้ใช้แผนการใช้ที่ดินของหน่วยงานของรัฐ

ซึ่งกำหนดให้ปรับปรุงซ่อมแซมอาคารและให้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ด้านชาติพันธุ์และวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยต้องใช้หลักการซ่อมแซมบูรณะในแนวทางอนุรักษ์สถาปัตยกรรมที่ถูกต้อง ทางจังหวัดโดยนายสุธี บุญมาก ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้นและสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชจึงได้พิจารณาเห็นคุณค่าของอาคารเรียนโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชหลังที่ 2 และขออนุญาตกรมศิลปากรให้ดำเนินการบูรณะ กรมศิลปากรได้เริ่มดำเนินการบูรณะอาคารในปี พ.ศ. 2551 และแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2553ปัจจุบันอาคารหลังนี้กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการเพื่อจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองอุบลราชธานี โดยความร่วมมือของกรมศิลปากรมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เบ็ญจะมะมหาราชสมาคม และภูมิพลังเมืองอุบลราชธานี

Architect / Designer Phra Saroj Rattananimman Architect of Ministry of Education

  • Location Tambon NaiMuang, Amphoe Mueang, UbonRatchthani ProvinceSecond Building of BenchamaMaharat School
  • Proprietor UbonRatchthani Office
  • Date of Construction 1935
  • Conservation Awarded 2011

History

BenchamaMaharat School was separated from UbonWittayakom School in 1915 because the school had more students. BenchamaMaharat School is located in the East of Tung Si Muang. The name of the school was to commemorate King Rama V. In 1935, the school received the budget of THB 40,000 to build the second building in the West of Tung Si Muang because of more students. It is a 2-storey building with 20 rooms and the opening ceremony was on 7 April 1935.

The building facing the East consists of 2,376 square metres. It is made of teakwood supporting with a cement base. There are 3 porches in the front of which the roofs are covered with tiles. The first floor consists of the principal’s room, the teachers’ room, the office and classrooms. The second floor consists of the meeting room, the library and classrooms. In 1970, BenchamaMaharat School was moved to Ban Ta Wang Hin. This building has been used continuously by various government agencies. Until 2000, all government agencies moved out and some parts of the building were used to store supplies. Presently, it is under responsibility of UbonRatchthani Office. The Fine Arts Department has announced that this building has been a historic building in 2002.

In 2002, the Committee on Government Operations approved to repair a government building to be a museum of ethnicity and local culture. Therefore, Mr. SutheeBunmark, the governor, and BenchamaMaharat School Alumni Association realized the value of the building and proposed to restore it under the responsibility of The Fine Arts Department. The restoration was completed in 2010. Currently, it has been in a process of establishing the museum.


พิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

  • ที่ตั้ง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม
  • ผู้ครอบครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2542
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

สถานกงสุลอังกฤษ เชียงใหม่ หลังเดิมเป็นอาคาร 2 ชั้น สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ชั้นล่างล้อมรอบด้วยทิวเสา มีห้องอยู่ภายใน ชั้นบนเป็นระเบียงรอบ กล่าวกันว่าลักษณะเหมือนอาคารโคโลเนียลในประเทศอินเดีย ภาพรวมดูเรียบง่าย ตรงไปตรงมา และมีบรรยากาศที่สบายน่าอยู่ อาคารนี้ก่อสร้างขึ้นในราวปีพ.ศ. 2456 สมัยที่นายวิลเลียม อัลเฟรด เร วูด (William Alfred Rae Wood) เข้ามารับตำแหน่งเป็นกงสุลใหญ่ ท่านผู้นี้ต่อมาได้มีส่วนในการวางผังและแนวความคิดในการออกแบบสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษที่กรุงเทพฯด้วย เมื่อแรกสร้างสถานกงสุลนี้ประกอบด้วย บ้านพัก ที่ทำการ ห้องพิจารณาคดี เรือนคนใช้ และคอกช้าง ซึ่งท่านได้เลี้ยงไว้ 4 เชือก สำหรับการเดินทางในสมัยนั้น สถานกงสุลนี้ได้เปิดทำการเมื่อปี พ.ศ. 2458 แต่ปัจจุบันสภานกงสุลได้ย้ายที่ทำการไป จึงได้ขายสถานกงสุลเดิมให้กับเอกชน

Museum of Mahasarakham University

  • Location Mahasarakham Universitty, Tambon Khamriang, Amphoe Kantarawichai, MahaSarakham Province
  • Proprietor Mahasarakham University
  • Date of Construction 1999
  • Conservation Awarded 2011

History

Museum of Mahasarakham University was established as symbol for the university existence and as to show Mahasarakham University objectives of being a center of education and its development together with the mean of being a recreation venue for all visitor.

The museum has comprised with 6 building, all planned to surround an open courtyard. Each of the building are such as;

1) Big contemporary building, functioning as Auditorium (45 seats capacity), Clinic, Museum, National Archives of Mahasarakham University, and Office.

2) Small contemporary building, functioning as Temporary Exhibition room, and University story’s Exhibition room.

3) Traditional North-Eastern resident building (RuanKhong), functioning as temporary exhibition. RuanKhong is a small building that has its own distinguished structure, built attached to the porch of the Big house (bedroom). When it needs to be removed, it can be taken down directly without damaging the structure of the main building.

4) Traditional North-Eastern resident building (RuanKeo). RuanKeoi is a raised floor house which has a porch extended from the main house (bedroom). This porch can be used as a kitchen, recreation area, dining area, guest area and other uses for rituals and traditional activities and basement for keeping agricultural equipment and animal pens.

5) Lao Khao or a barn and Toob Tor Lao Building. andToob Tor Lao or temporary building which stretches from Lao Khao as residence of a new family.

6) RuanPhu Tai, or the Phu Tai’s type of house. Phu Tai is a group of race that live in the Northeast. Inside this building has exhibition the way of life of Northeastern people of Thailand.

All buildings are relocated from its original site and received properly improvement before opening as museum. Together with these 6 buildings the museum also constructingfor more building such as pavilion, an animal study’s shelter, activity’s courtyard and restroom.


อาคารสถานีรถไฟห้างฉัตร แม่ทะ แม่จาง ปางป๋วย และแก่งหลวง

อ่านเพิ่มเติม

อาคารสถานีรถไฟห้างฉัตร แม่ทะ แม่จาง ปางป๋วย และแก่งหลวง

  • ที่ตั้ง สถานีรถไฟห้างฉัตร ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง
    • สถานีรถไฟแม่ทะ ตำบลแม่ทะ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง
    • สถานีรถไฟแม่จาง ตำบลนาสัก อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง
    • สถานีรถไฟปางป๋วย ตำบลนาสัก อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง
    • สถานีรถไฟแก่งหลวง ตำบลแม่ปาน อำเภอลอง จังหวัดแพร่
  • ผู้ครอบครอง การรถไฟแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2457 – 2459
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

อาคารสถานีรถไฟห้างฉัตร แม่ทะ แม่จาง ปางป๋วย และแก่งหลวง ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เนื่องจากได้รับการออกแบบที่สอดคล้องกับการใช้สอยและสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้นในประเทศไทย รวมทั้งความงามที่มีการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบตะวันตกและพื้นถิ่นล้านนา และเป็นเพียง 5 อาคารสถานีรถไฟในประเทศไทยเท่านั้นที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมรูปแบบนี้ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ดูแลรักษาอาคารสถานีรถไฟเหล่านี้ให้อยู่ในสภาพที่ดี และยังคงบทบาทสำคัญในการรองรับผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า

ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของอาคารสถานีรถไฟทั้ง 5 หลังนี้เป็นอาคารไม้ชั้นครึ่งตั้งอยู่บนตอม่อคอนกรีตและมีบางส่วนตั้งอยู่บนผนังก่ออิฐฉาบปูน อาคารมีผังพื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นที่ใช้สอยประกอบด้วยที่ทำการนายสถานีซึ่งมีมุขเครื่องอาณัติสัญญาณอยู่ด้านหน้า โดยมุขเครื่องอาณัติสัญญาณนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก นิจ หิรัญชีระนันท์ในปี พ.ศ. 2495 ยกเว้นอาคารสถานีรถไฟปางป๋วยที่ไม่ได้มีการต่อเติมมุขเครื่องอาณัติสัญญาณนี้ ส่วนท้ายของห้องที่ทำการนายสถานีมีบันไดคอนกรีตจำนวน 5 ขั้น สำหรับเดินขึ้นห้องนอนของนายสถานี ด้านหลังของห้องนอนของนายสถานีมีระเบียงไม้ส่วนพักคอยสำหรับผู้โดยสารอยู่ด้านข้างของที่ทำการนายสถานีและด้านหน้าของห้องนอนของนายสถานี สำหรับอาคารสถานีรถไฟเหล่านี้ไม่มีห้องน้ำภายในตัว หลังคาอาคารสถานีเป็นหลังคาจั่วมุงด้วยกระเบื้องลอนคู่ ประตูและหน้าต่างเป็นบานลูกฟักไม้ เหนือบานประตู หน้าต่าง ยอดจั่ว เชิงชาย ค้ำยัน และหน้าช่องจำหน่ายตั๋วประดับด้วยไม้ฉลุลายสวยงาม

ระหว่างวันที่ 7 – 21 เมษายน พ.ศ. 2553 กรรมาธิการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ได้จัดทำโครงการ ASA VERNADOC 2010 โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุดจิต (เศวตจินดา) สนั่นไหว เป็นประธานโครงการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการสำรวจ รังวัด และเขียนแบบสภาพปัจจุบันของอาคารสถานีรถไฟนครลำปาง อาคารสถานีรถไฟบ้านปิน รวมทั้งอาคารสถานีรถไฟแม่ทะ สำหรับข้อมูลที่ได้จากการทำงานจะนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณะและการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีความมุ่งหวังว่าอาคารสถานีรถไฟเหล่านี้จะได้รับการดูแลรักษาด้วยแนวทางที่เหมะสม เพื่อคงไว้เป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมของประเทศไทยต่อไป

Hang Chat, Mae Tha, Mae Chang, Pang Puai and Kaeng Luang Railway Station Buildings

  • Location Hang Chat Railway Station, Tambon Hang Chat, Amphoe Hang Chat, Lampang Province
    Mae Tha Railway Station, Tambon Mae Tha, Amphoe Mae Tha , Lampang Province Mae Jang Railway, Tambon Na Suk, Amphoe Mae Moh, Lampang Province Pang Puey Railway Station, Tambon Na Suk, Amphoe Mae Moh, Lampang Province Kaeng Luang Railway Station, Tambon Mae Pan, Amphoe Long, Prae Province
  • Proprietor State Railway of Thailand
  • Date of Construction 1914 – 1916
  • Conservation Awarded 2011

History

The railway stations of Hang Chat, Mae Tha, Mae Jang, Pang Puey and Kaeng Luang have a unique design because they were designed to conform to the hot and humid climate in the country. Their beauty is a combination of the western and local Lanna art styles. There are only 5 railway stations in Thailand that have the architecture in this style. The State Railway of Thailand has maintained the stations in good condition and continued providing services to passengers and cargo transportation.

The rectangular building has one and a half storey made of wood supportingwith concrete columns. There is an office with the signal porch in the front designed by an architect named Nich Hirunchiranun in 1952. Anyway, Pang Puay Railway Station does not have this signal porch. At the back of the office, there are the stairs leading to the bedroom upstairs of the station chief. The back of the bedroom has a wooden balcony. The waiting spaces for the passenger are at the side of the office and in front of the bedroom. The roof is covered with curved tiles. Above the doors, windows and space for selling tickets are decorated beautifully with wood carving.

From 7 – 21 April 2010, the Conservation Commission of Art Architecture Association of Siamese Architects under Royal Patronage has arranged the ASA Vernadoc 2010 Project of which the objective is for survey and drawing the current situation of Lampang Railway Station, Ban Pin Railway Station and Mae Tha Railway Station. The information from the survey will be distributed to the public and the State Railway of Thailand. It is hopeful that these railway stations will be maintained in an appropriate way as an architectural heritage of the country.

อาคารสถานีรถไฟ แม่ทะ

อาคารสถานีรถไฟ แม่จาง

อาคารสถานีรถไฟ ห้างฉัตร

อาคารสถานีรถไฟ แก่งหลวง


อาคารหอศิลป์ร่วมสมัย Tao Hong Tai d Kunst

อ่านเพิ่มเติม

อาคารหอศิลป์ร่วมสมัย Tao Hong Tai d Kunst

  • ที่ตั้ง เลขที่ 323 ถนนวรเดช ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
  • สถาปนิกผู้บูรณะ คุณชาตรี ลดาลลิตสกุล
  • ผู้ครอบครอง คุณวศินบุรี สุพานิชวรภาชน์
  • ปีที่สร้าง ปลายรัชกาลที่ 5
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

อาคารหอศิลป์ร่วมสมัย Tao Hong Tai d Kunst เกิดจากการปรับปรุงอาคารเดิมซึ่งเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ใต้ถุนโล่ง และมีเรือนเล็ก2 หลัง คือ เรือนครัวและเรือนเก็บของ หลังคาทรงปั้นหยา มุขด้านหน้าเป็นหลังคาจั่ว ประดับซุ้มจั่วด้วยลวดลายไม้ฉลุ ลายพรรณพฤกษาหน้าต่างเป็นบานเกล็ดไม้ มีช่องแสงเหนือหน้าต่างเป็นกระจกสีโบราณ รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของอาคารได้รับอิทธิพลจากบ้านยุคกลางของยุโรปผสมกับเรือนพื้นถิ่นแบบบังกะโลของเอเชีย จากเอกสารโฉนดที่ดิน พบว่าพื้นที่ตั้งของอาคารได้รับการออกโฉนดในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่สันนิษฐานว่า อาคารหลังนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นในปลายสมัยรัชกาลที่ 5 โดยผู้ครอบครองเดิม คือ ทนายแช่ม สัมพันธารักษ์ ใช้งบประมาณค่าแรงในการก่อสร้างเป็นจำนวน 70 บาท

อาคารหลังนี้ได้ถูกดัดแปลงเป็นสำนักงานทนายความ คลินิกแพทย์ บริษัทท่ารถเมล์ และต่อมาถูกทิ้งร้างไว้นานหลายปี จนมีสภาพทรุดโทรม แต่ยังคงรักษาลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าเอาไว้ได้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 คุณวศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ และคุณพ่อ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานโอ่งมังกร เถ้า ฮง ไถ่ จังหวัดราชบุรี ได้ซื้ออาคารนี้จากเจ้าของเดิม เพื่อใช้ทำเป็นหอศิลป์ร่วมสมัยแห่งแรกของจังหวัดราชบุรี เป็นสถานที่สำหรับให้ความรู้ทางด้านศิลปะแก่ชุมชน และเป็นที่แสดงงานของศิลปินไทยและต่างชาติ โดยสถาปนิกและทีมผู้ออกแบบทำการศึกษารายละเอียดในการบูรณะและปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยของอาคารเดิมให้เป็นหอศิลป์ร่วมสมัย มีพิธีเปิดใช้อาคารนี้อย่างเป็นทางการในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การบูรณะอาคารแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการปรับปรุงฟื้นฟูอาคารไม้ที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่สวยงาม โดยคงรูปแบบดั้งเดิมของอาคารไว้ได้ และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้สอยภายในใหม่ โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างมากนัก ถือว่าเป็นการช่วยรักษามรดกทางประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าของเมืองราชบุรี ในการบูรณะ ได้รื้อเรือนเล็ก 2 หลังออก เพื่อใช้พื้นที่สำหรับส่วนต่อเติมใหม่ ส่วนอาคารไม้ 2 ชั้น เดิมได้รับการยกให้สูงจากพื้นถนนประมาณ2 เมตร กลายเป็นอาคารสูง 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอยของหอศิลป์ร่วมสมัยในชั้นที่ 1 ประกอบด้วยส่วนจัดแสดงงาน ห้องเตรียมอาหาร และห้องพักผู้ดูแลอาคาร ชั้นที่ 2 ประกอบด้วยห้องจัดแสดงงาน ส่วนขายเครื่องดื่มและของที่ระลึก และห้องน้ำ ชั้นที่ 3 ประกอบด้วยห้องจัดกิจกรรม ห้องพักและห้องน้ำสำหรับศิลปิน ด้านหน้าอาคารมีบันไดคอนกรีตขึ้นมาที่ชั้น 2 พื้นที่ระหว่างอาคารไม้ 2 ชั้นเดิมและส่วนต่อเติมด้านหลังเป็นสวน ประตูและหน้าต่างบานเกล็ดไม้ ส่วนต่อเติมใหม่เป็นแบบร่วมสมัย เพื่อให้เกิดความผสมผสานระหว่างความมีคุณค่าของอาคารเดิมกับอาคารใหม่

Tao Hong Tai d Kunst Contemporary Art Gallery

  • Location 323 Woradet Road, Tambon Na Muang, Amphoe Mueang, Ratchaburi Province
  • Conservation Designer Chatri Ladalalitasakul
  • Proprietor Wasinburi Supanichvorapach
  • Date of Construction End of the Reign of King Rama V
  • Conservation Awarded 2011

History

The Contemporary Art Gallery is renovated from the origin 2-storey wooden building with an open space under the house and 2 small houses for a kitchen and a storage room behind the house. It has a hip roof. The gable of the front porch is decorated with wood carving in floral design. Above the windows is made of ancient stained glass. The architectural style of the building has been influenced from the European medieval houses combining with the local bungalow house in Asia. It is assumed that this building was built at end of the reign of King Rama V due to the tittle deed issued in the reign of King Rama V. A lawyer, Mr. Cham Sampantharuk, was the owner who spent THB 70 on the construction.

This building has been used as a law office, a clinic and a bus office. After that, it was abandoned and ruined for many years. In 2003, Mr. Wasinburi Supanichvorapach and his father, the owner of a jar plant in the province, bought this building to be the first Contemporary Art Gallery in Ratchaburi Province for distributing knowledge of arts to the community and exhibiting Thai and foreign artworks. The building was officially opened on 4 February 2011.

As for the restoration, it is presented to an attempt to improve the building to maintain its original beauty of architecture without changing the structure. It helps to preserve the valuable historical heritage of Ratchaburi. In the restoration, 2 small houses were demolished for enlarging more space. The original 2-storey wooden building has been raised up 2 metres high from the road level and become 3-storey building. The first floor is for the exhibition, a food preparation room and a residence of the keeper of the gallery. Second floor consists of the exhibition room, a part of selling drinks and souvenirs and a bathroom. The third floor consists of an activity room, a room anda bathroom for artists. The garden is in the back. The new additional part is in a contemporary style for a combination to preserve the value of the original building.


อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ

อ่านเพิ่มเติม

อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ

  • ที่ตั้ง วงเวียนหลักสี่ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2479
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ หรืออนุสาวรีย์ปรากบฏ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกในเหตุการณ์ปราบกบฏบวรเดช ซึ่งเกิดขึ้น ในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ภายในอนุสาวรีย์ได้บรรจุอัฐิของทหารทั้ง 17 นาย ที่เสียชีวิตในคราวนั้น โดยพระเจ้า วรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ทรงประกอบพิธีเปิดอนุสาวรีย์ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2479

รูปทรงของอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญนั้นสันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากเสาเทินรัฐธรรมนูญที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภายในเมรุเผาศพทหารทั้ง 17 นาย กลางท้องสนามหลวงระหว่างวันที่ 17 – 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476 โดยอนุสาวรีย์มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่ เรียบง่าย ไม่มีลวดลายประดับตกแต่งที่ซับซ้อน ถือว่าเป็นอนุสาวรีย์แห่งแรกในประเทศไทยที่ใช้สัญลักษณ์ พานรัฐธรรมนูญเป็นองค์ประกอบหลักของการออกแบบ ที่สำคัญคือ มีการทำรูปประติมากรรมนูนสูงเป็นรูปชาวบ้านสามัญชนที่ไม่ใช่กษัตริย์หรือชนชั้นปกครองอย่างที่เคยเป็นมา

ปัจจุบัน กรมทางหลวงกำลังดำเนินการก่อสร้างสะพานลอยบริเวณอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ซึ่งโครงการนี้ได้ส่งผลกระทบ ถึงทัศนียภาพโดยรวมของอนุสาวรีย์ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้การทำงานอย่างเต็มความสามารถของทีมงานทำให้การปรับปรุงอาคารสามารถรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมเอาไว้ได้

Monument of Constitution Protection

  • Location Laksi Circle, Khet Bang Khen, Bangkok
  • Date of Construction 1936
  • Conservation Awarded 2011

History

Monument of Constitution Protection or Monument of the People Revolution was built to commemorate the defeat of BoworadetRebellion on 11 October 1933. The monument contains the ashes of 17 soldiers who died in the battle. The open ceremony was arranged on 15 October 1936.

The design of the monument is assumed to have an influence from the pillar supporting the Constitution located at the center of the mound in the middle of the funeral pyre of the 17 soldiers at Sanam Luang from 17 to 19 February 1933. The art style of the monument is in modern style with simplicity. It is the first monument in Thailand appearing the Constitution on a tray as the major element. Besides, it is remarkable of the design is a high relief sculpture of ordinary people, which is not the king or the ruling class as before.

Presently, the Highways Department is building a fly-over bridge in the area of the monument. This project will affect to the overall view of the monument, which is an important building in the history and architecture of the nation.


อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อ่านเพิ่มเติม

อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

  • ที่ตั้ง ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ พระสาโรจ รัตนนิมมานก์
  • ผู้ครอบครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2480
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนาโรงเรียนข้าราชการ พลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งแรกของสยาม เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 มีคณะวิชาเริ่มต้น 4 คณะ คือ คณะวิศวกรรมศาสตร์คณะรัฐประศาสนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์

กับคณะคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่รวมอยู่ในคณะเดียวกัน มีตึกขาวเป็นอาคารเรียนหลังแรก (ปัจจุบันคือ อาคารชีวะ 1) ของแผนกวิทยาศาสตร์ ต่อมาคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาสร้างอาคารเพิ่มอีกหลายหลัง โดยเฉพาะอาคารเรียนด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีแผนกเคมี แผนกฟิสิกส์ แผนกชีววิทยา และแผนกคณิตศาสตร์ หนึ่งในนั้น คือ ตึกเคมี ซึ่งต่อมาได้เรียกชื่อว่า อาคารเคมี 1 ออกแบบโดยพระสาโรจ รัตนนิมมานก์ (สาโรช สุขยางค์) สถาปนิกกรมศิลปากรและเป็นอาจารย์แผนก สถาปัตยกรรมศาสตร์ (ขณะนั้นอยู่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2480 เมื่อแผนกทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดได้แยกเป็นคณะวิทยาศาสตร์ในปี พ.ศ. 2491 และในเวลาต่อมาก็ได้พัฒนาหลักสูตร เพิ่มสาขาวิชา ทางวิทยาศาสตร์อีกหลายสาขา จึงสร้างอาคารใหม่ขึ้นเพื่อตอบรับกับการเรียนการสอนที่มีมากขึ้นเป็นลำดับ จนทำให้ในที่สุดแล้วอาคารเคมี 1 ซึ่งเป็นอาคารเก่าและตั้งอยู่ห่างจากลุ่มอาคารคณะวิทยาศาสตร์งดการใช้งานเพื่อการเรียนการสอนอยู่หลายปี เมื่อจุฬาลงกรณ์เริ่มปรับผังมหาวิทยาลัยเพื่อให้สอดรับกับแผนแม่บทในการพัฒนามหาวิทยาลัย จึงได้มีการพิจารณาอาคารเก่า ที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเพื่อการอนุรักษ์และปรับเปลี่ยนการใช้สอยใหม่ อาคารเคมี 1 ได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นอาคารศิลปวัฒนธรรมเพื่อใช้ในการจัดแสดงศิลปะและมีการแสดงดนตรีกับนาฏยศิลป์ โดยเริ่มเปิดใช้ ในปี พ.ศ. 2554

อาคารศิลปวัฒนธรรมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นอาคาร 2 ชั้น รูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ซึ่งเน้นความเรียบง่ายไม่มีการประดับตกแต่งตัวอาคารและมีโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ซึ่งเป็นที่นิยมตามการพัฒนาทางการก่อสร้างสมัยนั้น มีผังเดิมเป็นรูปคล้ายตัวยู (U) แต่เมื่อเปลี่ยนแปลงการใช้สอยแล้วได้ต่อเติมส่วนตรงกลางเป็นโรงมหรสพสำหรับการแสดงต่างๆ

แม้ว่าอาคารเคมี 1 ที่มีประวัติศาสตร์เก่าของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะไม่ได้มีหน้าที่ในการรองรับการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยที่มีพัฒนาการมาแต่อดีต แต่ก็ยังคงอยู่ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่จะอนุรักษ์อาคารที่มีคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์ร่วมกับมหาวิทยาลัย และคุณค่าทางสถาปัตยกรรมที่สะท้อนยุคสมัยหนึ่งของวงการสถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง และยังคงมีประโยชน์ใช้สอยซึ่งเปลี่ยนแปลงใหม่สำหรับคนในรุ่นปัจจุบันได้ด้วย

Building of Arts and Culture, Chulalongkorn University

  • Location Phaya Thai Road, Khwaeng Wang Mai, Khet Pathumwan, Bangkok
  • Architect / Designer Phra Saroj Rattananimman
  • Proprietor Chulalongkorn University
  • Date of Construction 1937
  • Conservation Awarded 2011

History

When King Rama VI ordered to establish the Civil Service School of King Rama V to be the first university of Siam named Chulalongkorn University in 26 March 1916. There were 4 faculties of Engineering, Public Administration, Medicine and Arts & Sciences, which were included in the same faculty. The white building is the first building (now- Biology Building 1) of the science department. Later, many buildings were built for the Faculty of Arts & Sciences. One of them is Chemistry Building 1 built in 1937 and designed by Phra Saroj Rattananimman (Saroj Sukkayang), an architect of the Fine Arts Department and a professor of the Architecture Department (included in the Faculty of Engineering), Chulalongkorn University. After that, the building was deserted for many years since there are many new buildings of the Faculty of Sciences. When the university had been improved following to the master plan. These old buildings are considered to be valuable in architecture and history of the university. Therefore, the Chemistry Building 1 has been preserved and modified as the Building of Arts and Culture in order to exhibit the artworks, music and dramatic arts since 2011.

Building of Arts and Culture of the University is 2 storey building of ferro concrete structure in a modern architectural style focusing on simplicity as to the popular style in that period. The space in the middle of the former U-shaped layout was modified for a stage performance.

The university administrators have not only a good vision to preserve the building that is valuable in the history and architecture but also used it to benefit to the public.


โรงภาพยนตร์เฉลิมธานี

อ่านเพิ่มเติม

โรงภาพยนตร์เฉลิมธานี

  • ที่ตั้ง ตลาดนางเลิ้ง ถนนนครสวรรค์ แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2461

ประวัติ

ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554 โรงภาพยนตร์เฉลิมธานี เป็นอาคารที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่เปิดฉายภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2461โดยบริษัทภาพยนตร์พัฒนากร เมื่อแรกเปิดกิจการใช้ชื่อว่า โรงหนังนางเลิ้ง ต่อมาในปี พ.ศ.2462บริษัทภาพยนตร์พัฒนากรได้รวมกิจการกับบริษัทรูปยนตร์กรุงเทพ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็นสยามภาพยนตร์ บริษัทดำเนินกิจการมาจนถึงปี พ.ศ.2475 จึงได้ขายกิจการให้กับ บริษัท สหศีนิมา จำกัด ซึ่งเป็นเป็นบริษัทค้าภาพยนตร์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และโรงหนังนางเลิ้งได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงภาพยนตร์เฉลิมธานี ซึ่งได้ดำเนินการฉายภาพยนตร์มาอย่างต่อเนื่อง

หลังจากนั้นบริษัท สหศีนิมา จำกัด ได้ให้เอกชนมาเช่าช่วงดำเนินกิจการโรงภาพยนตร์แห่งนี้จนถึงปี พ.ศ. 2537 โรงภาพยนตร์เฉลิมธานีจึงได้หยุดการฉายภาพยนตร์ลง เนื่องจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ หลังจากที่ได้ยืนหยัดฉายภาพยนตร์มาเป็นเวลาถึง 76 ปี

ปัจจุบันบริษัทเอกชนได้เช่าทำเป็นโกดังเก็บของ สภาพปัจจุบันของโรงภาพยนตร์เฉลิมธานี เป็นอาคารโครงสร้างไม้ซึ่งเป็นลักษณะของโรงภาพยนตร์มาตรฐานสมัยรัชกาลที่ 6 ผนังชั้นล่างและห้องฉายภาพยนตร์ชั้นบนเป็นผนังก่ออิฐฉาบปูน ผนังชั้นบนเป็นผนังไม้ตีตามนอนประตูและหน้าต่างเป็นไม้โครงสร้างหลังคาเป็นไม้ พาดช่วงเสาขนาด 20 เมตร มุงด้วยสังกะสี ฝ้าเพดานเป็นกระดานอัดวัสดุป้องกันเสียงสะท้อนใช้ลังกระดาษสำหรับวางไข่บุผนังด้านในของโรงภาพยนตร์ เก้าอี้นั่งชมภาพยนตร์ทั้งหมดถูกถอดออก สภาพของอาคารโดยทั่วไปอยู่ในสภาพทรุดโทรม สำหรับลานคอนกรีตด้านหน้าโรงภาพยนตร์เฉลิมธานีเป็นพื้นที่ที่ผู้อยู่อาศัยในชุมชนใช้ในการประกอบกิจกรรมต่างๆ

ปัจจุบัน สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และชุมชนนางเลิ้งยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการอนุรักษ์และพัฒนา โรงภาพยนตร์เฉลิมธานีซึ่งถือว่าเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย

Chalerm Thani Theater

  • Location Nang Loeng Market, Nakhon Sawan Road, Kwaeng Wat Sommanut, Khet Pom Prap Sattru Phai, Bangkok
  • Proprietor The Crown
  • Property Bureau
  • Date of Construction 1918
  • Conservation Awarded 2011 History

History

Chalerm Thani Theater is a building with a long history from the opening movie for the first time on 18 December 1918 by Pattakorn Movie Co. Ltd. Formerly, it was named “Nang Loeng Theater”. In 1933, it was sold to Saha Cinema Co. Ltd. of the Crown Property Bureau and renamed as “Chalerm Thani Theater”. After that, a private company leased the theater. The operating was ended in 1994 due to economic reasons. The screening had been performed for 76 years. Presently, it is used as a warehouse by a private company.

The theater is a wooden building of which the design is in a typical style of the theater in the reign of King Rama VI. The wall of the first floor and the wall of the screening room on the upper floor are made of masonry brick. The doors, the windows, the wall of the upper floor and the roof structure are woodwork. The ceiling is compression board while the acoustic material is made of paper cases for packing eggs. All chairs were removed. The general condition of the building is in disrepair.

Presently, the Crown Property Bureau and Nang Loeng Community do not have a clear policy on the conservation and development of Chalerm Thani Theater, which is another important place of Thai film history.


โรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช (เดิม)

อ่านเพิ่มเติม

โรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช (เดิม)

  • ที่ตั้ง แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร จังหวัดกรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ อาคารโรงงานของโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช ออกแบบโดยพระสาโรชรัตนนิมมานก์
  • ผู้ครอบครอง กรมธนารักษ์
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2475
  • ปีที่ได้รับรางวัลพ.ศ. 2554

ประวัติ

โรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช (เดิม) ตั้งอยู่ริมฝั่งคลองบางลำพู ตรงข้ามกับโรงเรียนวัดสังเวช พื้นที่เดิมของโรงเรียนช่างพิมพ์ วัดสังเวชเป็นบ้านของพระยานรนารถภักดี (เอม ณ มหาไชย) ต่อมาได้ตกเป็นที่ราชพัสดุ และกระทรวงพาณิชย์ได้ขอใช้เป็นที่ เก็บหนังสือ บัญชีและสิ่งของของห้างเยอรมันและออสเตรียในปี พ.ศ.2467 หลังจากนั้นอีกหนึ่งปี กรมตำรากระทรวงศึกษาธิการ ได้รับมอบจากกรมตรวจเงินแผ่นดินเพื่อใช้เป็นร้านกลางสำหรับจัดจำหน่ายแบบเรียน จึงดำเนินการรื้อและซ่อมแซมอาคารเดิม ด้านถนนพระสุเมรุ ต่อมาในปี พ.ศ.2475 ได้มีการสร้างโรงงานของโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวชขึ้นบริเวณริมถนนซอยเข้าโรงเรียน วัดสังเวช และอาคารโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช ด้านถนนพระสุเมรุ เพื่อใช้เป็นโรงเรียนสอนการพิมพ์แห่งแรกของประเทศ โดยนักเรียนที่มาเรียนทั้งภาคทฤษฎี (ภาคเช้า)และรับงานพิมพ์ (ภาคบ่าย) ได้รับค่าจ้างตอบแทน จนกระทั่งหยุดทำการสอนและ รับงานพิมพ์ในปี พ.ศ.2489 หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2493 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นโรงพิมพ์คุรุสภาพระสุเมรุ สังกัดองค์การค้าของคุรุสภา ทำหน้าที่พิมพ์ตำราแบบเรียนต่างๆ ต่อมาในปี พ.ศ.2501 ได้มีการสร้างโรงพิมพ์คุรุสภาขึ้นใหม่ที่ลาดพร้าว จึงย้ายแท่นพิมพ์ไปรวมไว้ ที่ใหม่ทั้งหมด และใช้อาคารโรงพิมพ์เดิมเป็นคลังสินค้าของคุรุสภา จนกระทั่งปี พ.ศ.2538 จึงปิดลง เนื่องจากหมดสัญญาเช่ากับกรมธนารักษ์ อาคารทั้งหมดในพื้นที่จึงถูกทิ้งร้างลง ต่อมากรมธนารักษ์ได้เริ่มรื้ออาคารบางหลังลง ทำให้ชาวชุมชนบางลำพูที่เห็นถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมรวมตัวกันเพื่อคัดค้านการรื้ออาคารที่เหลืออยู่จนกระทั่งเกิดการรวมตัวเป็นประชาคมบางลำพู และสามารถผลักดันให้อาคารโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช และอาคารโรงงานของโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากรในปี พ.ศ. 2544

อาคารโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวชเป็นอาคารสูงสองชั้น ผังพื้นอาคารเป็นรูปตัวแอล (L) ลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบ โมเดิร์น ตัวอาคารและหลังคาเป็นคอนกรีต บานประตู หน้าต่าง บันได และพื้นเป็นไม้สัก ส่วนอาคารโรงงานของโรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช ซึ่งออกแบบโดยพระสาโรชรัตนนิมมานก์ สถาปนิกสำคัญตั้งแต่รัชกาลที่ 6 เป็นอาคารไม้สักสองชั้น ทอดตัวยาวริมคลองบางลำพู ผังพื้นอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ชั้นล่างใต้ถุนโล่ง โครงเสาเฟอร์โรคอนกรีต ชั้นบนเป็นโครงสร้างไม้ โครงสร้างหลังคาเป็นไม้มุงด้วยกระเบื้อง พื้นที่ระหว่างอาคารทั้งสองหลังเป็นสนามหญ้า

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประชาคมบางลำพูได้ดำเนินการผลักดันให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์โรงเรียนช่างพิมพ์วัดสังเวช (เดิม) แบบมีส่วนร่วมในการวางทิศทางการใช้ประโยชน์อย่างเห็นคุณค่าในฐานะที่เป็นโรงเรียนสอนการพิมพ์แห่งแรกของประเทศไทย

Former Wat Sungwej Printing School

  • Location Kwaeng Chana Songkram, Khet Phra Nakhon, Bangkok
  • Architect / Designer Phra Saroj Rattananimman
  • Proprietor Department of the Treasury.
  • Date of Construction 1932
  • Conservation Awarded 2011

History

The Former Wat Sungwej Printing School is located on the bank of Banglamphu Canal opposite Wat Sungwej School. The original area of this school was the house of Phraya Noranatpakdi (Aim Na Mahachai) and later is owned by the government. In 1932, the factory building and the school building of Wat Sungwej Printing School were built as Thailand’s first printing school. Students learned theory in the morning and printing in the afternoon, which they also received payment. The school was closed in 1946. Until 1950, the school was changed to Kurusapha Phra Sumeru Printing House to print textbooks for various classes. In 1958, the printing house was moved to a new place on Lad Prow Road. The old one became awarehouse and was closed down in 1995 due to end of the contract with the Department of Treasury. All buildings were deserted. After that, the Department of Treasury started to demolish some buildings so people of Banglamphu Community staged a protest against the demolition for they realized an importance of history and architecture of the two buildings. At last, the buildings have been registered as a historic site by the Department of Fine Arts in 2001.

The school building has two floors in L-shaped design with architectural simplicity. The structure and the roof are made of concrete while the doors, windows, stairs and floors are made of teakwood. The printing building designed by Phra Saroj Rattananimman, a prominent architect since the reign of King Rama VI, is a two storeys building made of teakwood stretching along the Banglamphu Canal. It has a rectangular plan with an open space of the first floor while the second floor is made of teakwood and roofed with tiles.

The building has a very significant history since it was the first printing school so it needs to preserve as a historical building of the nation.


อาคารคุ้มเจ้ายอดเรือน

อ่านเพิ่มเติม

อาคารคุ้มเจ้ายอดเรือน

  • ที่ตั้ง เลขที่ 4 ถนนรถแก้ว ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน
  • ผู้ครอบครอง ลูกสาวของกาญจนา มหาแสน ทั้ง 4 คน คือ รัษฏ์กนก รัฐระวี ระพีพร และช่ออุษา
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2470
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

อาคารคุ้มเจ้ายอดเรือน ถูกสร้างขึ้นพร้อมกับเรือนครัว และยุ้งข้าวในเนื้อที่กว้างขวาง โดยเจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของเจ้ายอดเรือน ณ ลำพูน ผู้เป็นชายา ในปี พ.ศ.2470 แต่ในเวลานั้นเจ้ายอดเรือน ณ ลำพูน ยังคงอาศัยอยู่ที่คุ้มหลวง เรือนพักอาศัยหลังนี้จึงได้ให้ผู้พิพากษาจังหวัดลำพูนเช่า จนกระทั่งเจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์ ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. 2486 เจ้ายอดเรือน ณ ลำพูน จึงได้ย้ายออกจากคุ้มหลวงเข้ามาอยู่อาศัยที่เรือนหลังนี้พร้อมกับหลานสาว 7 คน เมื่อเจ้ายอดเรือน ณ ลำพูน ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2506 เรือนหลังนี้จึงตกแก่หลานคนเล็ก คือนางกาญจนา มหาแสน ปัจจุบันกรรมสิทธิ์ในที่ดิน อาคารคุ้มเจ้ายอดเรือน และสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ อยู่ในความดูแลของลูกสาวนางกาญจนา มหาแสน ทั้ง 4 คน คือ นางรัษฏ์กนก นางรัฐระวี นางสาวระพีพร และนางช่ออุษา ซึ่งปัจจุบันเจ้าของเรือนไม่ได้พักอาศัยอยู่ในเรือนหลังนี้แล้ว

อาคารคุ้มเจ้ายอดเรือน เป็นเรือนไม้สักชั้นเดียวใต้ถุนสูง ฐานรากและเสาเรือนเป็นคอนกรีต ชั้นล่างมีห้องทำงานและเก็บหนังสือซึ่งต่อเติมขึ้นภายหลัง ชั้นบนประกอบด้วยเรือนพักอาศัยใหญ่ เรือนพักอาศัยรอง และเรือนเล็กที่ต่อเติมขึ้นภายหลังเพื่อใช้เป็นห้องน้ำและห้องเตรียมอาหาร โดยเรือนทั้ง 3 หลัง เชื่อมต่อกันด้วยชานแล่น สำหรับเรือนพักอาศัยใหญ่เคยใช้เป็นห้องนอนของเจ้ายอดเรือนณ ลำพูน รวมทั้งห้องรับแขก ห้องอาหาร ห้องนั่งเล่น และห้องนอนเล็ก ส่วนเรือนพักอาศัยรองเคยใช้เป็นห้องนอนของหลานๆเจ้ายอดเรือน ณ ลำพูน เรือนพักอาศัยทั้ง 2 หลัง สร้างด้วยไม้สักเป็นส่วนมาก ระยะระหว่างพื้นถึงฝ้าเพดานค่อนข้างสูง มีช่องระบายอากาศใต้เพดานไม้ระแนงเพื่อระบายอากาศ โครงสร้างหลังคาเป็นไม้เนื้อแข็ง หลังคาเป็นทรงจั่วมนิลา มุงด้วยกระเบื้องว่าว มุมยอดจั่วและมุมชายคาประดับประดาด้วยสะระไน ประตูไม้และหน้าต่างบานเปิดคู่ไม้

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาคารคุ้มเจ้ายอดเรือน ซึ่งถือว่าเป็นเรือนพักอาศัยในระดับเจ้าครองนครได้รับการดูแลรักษา เป็นอย่างดี ทำให้สภาพของเรือนมีความสมบูรณ์ ปัจจุบันนี้ เจ้าของเรือนกำลังดำเนินการปรับปรุงเรือนเพื่อให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมที่สำคัญอีกแห่งของเมืองลำพูนในอนาคต

Chao Yod Ruen House

  • Location 4 Rot Kaew Road, Tambon Nai Muang, Amphoe Mueang, Lampoon Province
  • Proprietor Kanjana Mahasaen’s daughters: Ruskanok, Ratrawe, Rapiporn, Cho-usa
  • Date of Construction 1927
  • Conservation Awarded 2011

History

Chao Yod Ruen House, a kitchen and a rice storage were built together by Chao Luang Jakkum Kajornsak, the last Ruler of Lampoon, as a residence of his wife, Chao Yodruen Na Lampoon in 1927. After he passed away in 1943, Chao Yodruen Na Lampoon and her 7 nieces moved to stay in this house. After she passed away in 1963, the house is belonged to her youngest niece, Mrs. Kanjana Mahasaen. Today, it is under care of Mrs. Kanjana’s 4 daughters who do not reside in the house.

It is a single storey teakwood building with raised floor supported by concrete pillars. The ground floor was enlarged later for an office and a bookstore room. The upper floor consists of a major unit, a secondary unite and a small unit for a kitchen and a bathroom which were added later. There is a terrace connecting all 3 units. The distance between the floor and the ceiling is quite high with ventilation holes under the ceiling. The gable roof of woodwork is covered with kite shaped concrete roof tiles. The corners of the gable and the eaves are decorated with Saranai (the traditional Lanna style).

Chao Yod Ruen House is a valuable building in Lampoon Province. Presently, the owners have improved the house to be a source of knowledge of history and architecture.


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้