พ.ศ. 2555

สถานีใบยาสูบป่าสักขวาง

อ่านเพิ่มเติม

สถานีใบยาสูบป่าสักขวาง

  • ที่ตั้ง ถนนป่าสักขวาง ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานยาสูบเชียงราย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2485 – 500
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2555

ประวัติ

สถานีใบยาสูบป่าสักขวางตั้งอยู่กลางชุมชนชาวไทหย่า ซึ่งอพยพมาจากมณฑลยูหนานประเทศจีน ประมาณ 9 ปีก่อน โดยสร้างขึ้นหลังจากการตั้งสำนักงานไร่ยาสูบเชียงรายเมื่อ ปี พ.ศ. 2485 เพื่อส่งเสริมและรับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรในเขตอำเภอแม่สายและอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ช่วงเวลานั้นยาสูบจัดเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับ 2 ของจังหวัดเชียงรายรองจากข้าว รัฐบาลได้ส่งเสริมและจัดตั้งสถานีใบยาขึ้นทั่วจังหวัดเชียงราย อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา กิจการใบยาสูบในประเทศเริ่มซบเซาลง โรงงานยาสูบเปลี่ยนมารับซื้อเฉพาะใบยาแห้ง จากเดิมที่รับซื้อทั้งใบยาสดและใบยาแห้ง ส่งผลให้สถานีใบยาส่วนใหญ่ในจังหวัดเชียงรายถูกรื้อถอน เพราะไม่มีความจำเป็นในการผลิต

อาคารเก่าแก่ที่ยังคงเหลืออยู่ในสถานีใบยาป่าสักขวางแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายในกระแสการผลิตยุคใหม่ อาคารแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนอาคารหลัก (สำนักงานโรงคัดอัดใบยาแห้ง โรงรับซื้อใบยาแห้ง) และส่วนบ้านพักพนักงาน

สำนักงานหรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า สต๊อก สร้างระหว่างปี พ.ศ.2485 – 2495 เป็นสถานที่ทำงานของนายสถานีและพนักงานการเงิน เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น โครงสร้างเป็นไม้มุงหลังคาด้วยกระเบื้องลอน

โรงคัดอัดใบยาแห้ง สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2499 ตัวอาคารเป็นแผ่นไม้ตีซ้อนเกล็ด 2 ชั้น โครงสร้างอาคารเป็นหลังคาไม้มุงด้วยแผ่นสังกะสี ถือเป็นอาคารไม้หลังใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงราย

โรงรับซื้อใบยาแห้ง สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2518 เป็นอาคารชั้นเดียวก่ออิฐถือปูน หลังคาเป็นแบบฟันเลื่อย (Saw Toothed Roof) โครงสร้างหลังคาเป็นไม้มุงกระเบื้อง

ปัจจุบันสำนักงานยาสูบเชียงรายได้ก่อสร้างอาคารส่วนสำนักงานขึ้นใหม่ในบริเวณใกล้เคียง เพื่อรองรับกิจการของสำนักงานยาสูบ อาคารสำนักงานได้ถูกปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ภายในจัดแสดงอุปกรณ์การทำงานของสำนักงาน เช่น เครื่องบ่มใบยา อุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการบ่มใบยา และกระบวนการผลิตยาสูบ ส่วนอาคารอีก 2 หลัง ปัจจุบันใช้เป็นโกดังสำหรับเก็บของเก่าที่ใช้งานของกอง ซึ่งยังคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากสำนักงานยาสูบเชียงราย

Pa Sak Kwaeng Tobacco Station

  • Location Pa Sak Kwaeng Road, Tambon Huai Khrai, Amphoe Mae Sai, Chiang Rai Province
  • Proprietor Office of Chiang Rai Tobacco
  • Date of Construction 1942 – 1957
  • Conservation Awarded 2012

History

Pa Sak Kwaeng Tobacco Station is situated in the community of Tai Ya Minority Group who migrated from the Hunan Province of China. It was built after Office of Chiang Rai Tobacco was established in 1942 for buying tobacco from agriculturalists in the districts of Mae Sai and Mae Chan. During that time, tobacco is the second economic crop after rice in the province. The government had promoted and set up tobacco stations throughout Chiang Rai. However, the tobacco business started to slow down in 1987. Thailand Tobacco Monopoly has only purchased dry tobacco not fresh tobacco the same as before. As a result, most tobacco stations were demolished.

One of the remaining stations is Pa Sak Kwaeng Tobacco Station. The office building built during 1942-1957 is a 2-storey brick masonry building and the roof is covered with carved tiles. The plant for classifying and pressing dry tobacco built in 1956 is the biggest wooden building in the province of which the roof is covered with zinc. The plant for buying dry tobacco built in 1975 is a single storey brick masonry building of which the roof is designed in saw toothed roof covered with tiles.

Presently, Office of Chiang Rai Tobacco has a new office building nearby. The former office building was renovated to be a museum exhibiting the equipment of production process such as the equipment on curing tobacco. The other buildings are used as a store house for old applications. These buildings have been maintained in good condition.


อาคารสถานีรถไฟชุมทางเขาชุมทอง

อ่านเพิ่มเติม

อาคารสถานีรถไฟชุมทางเขาชุมทอง

  • ที่ตั้ง ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
  • ผู้ครอบครอง การรถไฟแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ.2457
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2555

ประวัติ

สถานีรถไฟชุมทางเขาชุมทองถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานีเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟนครศรีธรรมราช สถานีรถไฟชุมทาง ทุ่งสง และสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ และใช้เป็นสถานีเติมน้ำและฟืนสำหรับรถจักรไอน้ำจนถึงปี พ.ศ.2525 เมื่อการรถไฟ แห่งประเทศไทยได้ยกเลิกการใช้รถจักรไอน้ำ เดิมเรียกว่าสถานีรถไฟสามแยกนคร ต่อมาในปี พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มีพระบรมราชานุญาตให้เปลี่ยนชื่อเป็นสถานีรถไฟชุมทางเขาชุมทองตามคำแนะนำของกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวง ปัจจุบันสถานีรถไฟชุมทางเขาชุมทองเป็นสถานีรถไฟชั้น 2 ภายในย่านสถานีประกอบด้วยอาคารสถานีรถไฟ บ้านพักพนักงาน หออาณัติสัญญาณ สะพานเหล็กข้ามทางรถไฟ อาคารที่ทำการแขวงบำรุงทาง และห้องแถวไม้ให้เช่าของการรถไฟแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ของสถานีรถไฟ ยังมีชุมชนที่อยู่อาศัยดั้งเดิมตั้งอยู่ด้วย

อาคารสถานีรถไฟชุมทางเขาชุมทองเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว หลังคาแฝดวางขนานไปกับทางรถไฟประกอบด้วย ส่วนสถานีและส่วนชานชาลา ผังพื้นส่วนสถานีเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 1 ช่วงเสา ยาว 5 ช่วงเสา ประกอบด้วยห้องควบคุมการเดินรถ ห้องทำงานนายสถานี ห้องขายตั๋ว และโถงพักคอย หลังคาส่วนสถานีเป็นหลังคาจั่วผสมปั้นหยา ส่วนชานชาลาเป็นหลังคาจั่ว ทั้งหมดมุงด้วยกระเบื้องลอนคู่ ประตูและหน้าต่างเป็นบานลูกฟักไม้ เหนือบานประตูและหน้าต่างเป็นเกล็ดไม้ระบายอากาศ

อาคารสถานีรถไฟชุมทางเขาชุมทองเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเนื่องจากได้รับการออกแบบที่สอดคล้องกับ การใช้สอยและสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้นในประเทศไทย รวมทั้งความงามที่มีการผสมผสานศิลปะแบบตะวันตก โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ดูแลรักษาอาคารสถานีรถไฟให้อยู่ในสภาพที่ดี และยังคงบทบาทสำคัญในการรองรับผู้โดยสารและการขนส่งสินค้า

Khao Chum Thong Junction Railway Station Building

  • Location Tambon Khuan Koei, Amphoe Ron Phibun, Nakhon Si Thammarat Province
  • Proprietor State Railway of Thailand
  • Date of Construction 1914
  • Conservation Awarded 2012

History

Khao Chum Thong Junction Railway Station, formerly called Sam Yak Nakhon Railway Station, was built to be a junction between Nakhon Si Thammarat Railway Station, Thung Song Junction Railway Station and Had Yai Junction Railway Station as well as to supply water and firewood for stream engines. King Rama VI renamed the station as “Khao Chum Thong Junction Railway Station”. Presently, it has been a second grade station consisting of the station building, the residence of officers, the signal tower, theiron bridge across the railway, the office for railway maintenance and a row of wooden houses for renting. In the North and South of the station is a residence of an old community.

The railway station is a single storey wooden building with twin roofs consisting of the station part and the platform. The plan is in a rectangular pattern. There are a control room, an office, a ticket room and a hall for passengers. The station part has the gable hip roof while the platform has a gable roof covered with curved tiles. Above the doors and windows are wooden louvers for ventilation.

The building has a unique architecture because it is designed to meet the function and the tropical climate in Thailand. The beauty of the building is a blend art style of the western style. The State Railway of Thailand has maintained the building in good condition. Khao Chum Thong Junction Railway Station still has an important role on transportation of both passengers and cargo.


อาคารพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (หลังเก่า)

อ่านเพิ่มเติม

อาคารพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (หลังเก่า)

  • ที่ตั้ง เลขที่ 802 ถนนสุนทรวิจิตร ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ช่างชาวญวนชื่อ กูบาเจริญ
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2458
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2555

ประวัติ

อาคารจวนผู้ว่าราชการจังหวัด (หลังเก่า) เดิมเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพระยาอดุลยเดชสยามเมศวรภัคดีพิริยพาหะ (อุ้ย นาครทรรพ) เทศาภิบาลมณฑลอุดรธานีซึ่งต่อมาได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมคนแรก หลังจากนั้นท่านได้ขายอาคารให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อใช้เป็นบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ในปีพ.ศ.2498 มีการปรับปรุงอาคารเพื่อใช้เป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ หลังจากนั้นอาคารได้ใช้เป็นบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจนถึงปี พ.ศ.2527 ก่อนที่จะถูกใช้เป็นสมาคมนักปกครองจังหวัดและชมรมลูกเสือชาวบ้านในระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นอาคารหลังนี้ก็ไม่ได้ถูกใช้งานอีกเลย ในปี พ.ศ.2548 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนอาคารเป็นโบราณสถานของชาติ ต่อมาในปีพ.ศ. 2551 นายบุญสนอง บุญมี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมในขณะนั้น ได้ดำเนินการปรับปรุงอาคารเป็นพิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมือง หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2553 ได้มีการปรับปรุงเนื้อหานิทรรศการ และเปิดทางสัญจรให้ขึ้นบันไดด้านหน้าซึ่งเคยปิดเพราะเป็นทางเสด็จพระราชดำเนิน เนื่องจากบันไดด้านหลังที่ให้ใช้แต่เดิมมีความลาดชันมากผู้เข้าชมอาจเกิดอันตรายเวลาเดินขึ้นลงได้

อาคารจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (หลังเก่า) เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้น ลักษณะทางสถาปัตยกรรมและ การตกแต่งได้รับอิทธิพลจากตะวันตก หลังคาจั่วมุงด้วยกระเบื้องหางว่าว พื้นชั้นล่างปูด้วยกระเบื้องซีเมนต์ พื้นชั้นบนปูกระดานไม้เข้าลิ้นเครื่องไม้ที่ใช้ประกอบการก่อสร้างอาคารเป็นไม้ตะเคียนหินและดินเผาที่สร้างได้มาจากส่วนที่เหลือจากการก่อสร้างศาลากลางจังหวัดนครพนมหลังเก่า ปัจจุบันคือหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถนครพนม

อาคารจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (หลังเก่า) จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนครพนมวิถีชีวิตและวัฒนธรรมพ่อเมืองนครพนมตั้งแต่คนแรกจนถึงคนปัจจุบัน รวมถึงเรื่องราวเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินมาที่นครพนม และโครงการในพระราชดำริของทั้ง 2 พระองค์ที่ทรงริเริ่มให้กับชาวนครพนมนอกจากนี้ภายในพื้นที่พิพิธภัณฑ์ยังมีบ้านพักเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว และอาคารโรงครัวซึ่งอาคารทั้ง 2 หลังสร้างขึ้นพร้อมๆกับจวนผู้ว่าราชการหลังนี้

Former Provincial Governor’s Residence Museum of NakhonPhanom Province

  • Location 802 SunthonWijit Road, Tambon NaiMuang, Amphoe Mueang, Nakhon PhanomProvince
  • Architect / Designer Kubacharoen, a Vietnamese builder
  • Proprietor Office of the Permanent Secretary of Ministry of Interior
  • Date of Construction 1915
  • Conservation Awarded 2012

History

The former provincial governor’s residence was the private property of Phraya Adulyadej Siammesuan Pakdipiriyapaha (Oui Nakontap), the intendant of UdonThani who laterbecame the first governor of NakhonPhanom. He sold the house to the Ministry of Interior to use as a residence of the provincial governor. In 1955, it was renovated to serve as the residenceof His Majesty King Bhumibol Adulyadej and Her Majesty Queen Sirikit.

The building was used as a residence of the governor of Nakhon Phanom until 1984 before it was used asthe Provincial Administrator Association and the Village Scout Club for a period. Later, it was not used until 2005 when the Fine Arts Department has registered the house as a historic building of the nation. In 2008, Mr. Bunsanong Bunme, the governor of NakhonPhanom, renovated the house to be a museum on the history of the city.

It is a 2-storey brick masonry building of which the architecture and decoration are influenced by the western art style. The gable roof is covered with tiles. The first floor is covered with cement tiles. The upper floor is made of wood. The wood used in the construction is ironwood from the leftover of the building of the old City Hall, which is now the national library of the province. Besides, there are 2 more buildings used as a residence of the officers and the kitchen.

The Former Provincial Governor’s Residence Museum exhibits about the history, lifestyle and culture of Nakhon Phanom as well as the event on the royal visit of His Majesty King Bhumibol Adulyadej and Her Majesty Queen Sirikit and the royal projects in the province.


อาคารศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

อ่านเพิ่มเติม

อาคารศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

  • ที่ตั้ง 1061 ซอยอิสรภาพ 15 ถนนอิสรภาพ แขวงหิรัญรุจี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ พระสาโรชรัตนนิมมานก์
  • ผู้ครอบครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
  • ปีที่สร้างพ.ศ.2462
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2555

ประวัติ

อาคารศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาก่อสร้างขึ้นภายหลังจากโรงเรียนบ้านสมเด็จเจ้าพระยา หลังจากการที่ย้ายมาอยู่ที่ บ้านมอญ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2475 ซึ่งพระองค์เจ้าธานีนิวัติ เสนาบดีกระทรวงธรรมการในขณะนั้นได้ให้เจ้าคุณพิรณ พิทยาพรรณ พนักงานตรวจการแขวงธนบุรีใต้เข้ามาสำรวจพื้นที่พร้อมด้วยพระสาโรช รัตนนิมมานก์ นายช่างกองสถาปัตย์ กระทรวงธรรมการ เพื่อจัดสร้างหอพักสำหรับนักเรียน จึงพบว่าในโรงเรียนมีนักเรียนเป็นจำนวนมากแต่ยังไม่มีหอประชุมอย่างเป็นทางการ จึงอนุมัติงบประมาณสร้างหอประชุมขึ้นเมื่อ พ.ศ.2475 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2476โดยมีพระยาวิเศษศุภวัตรเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างอาคารหอประชุมดังกล่าว

ลักษณะอาคารเป็นอาคารหอประชุม 2 ชั้น แบบโมเดิร์น สร้างด้วยคอนกรีตผสมไม้ โครงสร้างอาคารเป็นแบบคอนกรีต เสริมเหล็กช่วงยาว ทำให้ไม่มีเสาตรงกลางอาคาร ภายในหอประชุมประดับตกแต่งด้วยผ้าม่านและเก้าอี้ที่สามารถพับขึ้นลงได้ แบบเก้าอี้พับยุคโบราณที่สามารถบรรจุคนได้ราว 1,000 คน ในอดีตด้านหน้าอาคารประดับดวงตรามหาสุริยมณฑล อยู่ภายในเสมา อันเป็นเป็นตราสัญลักษณ์ประจำองค์ของสมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) หอประชุมแห่งนี้ถือว่าทันสมัยทีสุดในประเทศในสมัยนั้น เพราะมีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกซึ่งนับว่าหาได้ยากในสมัยนั้นจะปรากฏเฉพาะในโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่อย่างศาลาเฉลิมกรุง หรือโรงภาพยนตร์อียิบเชี่ยนเชิงสะพานพุทธฯ เท่านั้น ชั้นล่างของอาคารใช้เป็นศูนย์ศิลปวัฒนธรรมวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ด้วยคุณค่าทางสถาปัตยกรรม และประวัติศาสตร์อันเป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียนนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยและบุคคลทั่วไป ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาจึงได้ทำการอนุรักษ์และทำนุบำรุงรักษาอาคารศูนย์ศิลปวัฒนธรรมให้เป็นสมบัติของทางมหาวิทยาลัยสืบไป

The Office of Art and Culture, Bansomdejchaopraya Rajabhat University

  • Location 1061 Soi Itsaraphap 15, Itsaraphap Road, Khwaeng Hiranruchi, Khet Thonburi, Bangkok
  • Architect / Designer Phra Sarot Rattana Nimman
  • Proprietor Bansomdejchaopraya Rajabhat University
  • Date of Construction 1919
  • Conservation Designer 2012

History

After Bansomdejchaopraya School was moved to Ban Mon on 1st April 1932, H.H. Prince Thani Niwat, a Chief Commander of Ministry of the Fair (presently Ministry of Education), assigned Chao Khun Phiron Phittayaphan, Kwaeng South Thonburi’s ombudsman, and Phra Sarot Rattana Nimman, Ministry of the Fair’s architectural engineer, to survey the site and provide a dormitory for students. They discerned that there was no school auditorium despite the increasing number of students. Hence the auditorium was built in 1932 and completed one year later; having Phraya Wiset Supphawat controlled the construction.

The building is a 2-storey auditorium hall in Western style. The structure was made of long span ferro concrete thus it contains no middle column. The interior was decorated with curtains and antique folding chairs providing roughly 1,000 seats. With its uncommon Western style, this hall was deemed as the most modern architecture at that time.

The ground floor of this building serves as the Art and Culture Center, officially opened since 1984. Its principal purpose is to encourage the awareness and preservation of cultural heritage among students and university staffs by displaying various traditional musical instruments, distinguished woven fabrics from all regions, exquisite five-color porcelains and a special exhibition room for Somdet Chao Phraya Maha Si Suriyawong (Chuang Bunnag). H.R.H. Princess Maha Chakri Sirindhorn presided over the opening ceremony of the Office of Art and Culture, also planted a Phikun tree (Spanish cherry) in front of the office.

Perceiving the architectural and historical values of this building, Bansomdejchaopraya Rajabhat University has constantly preserved the Office of Art and Culture as the invaluable asset of the university for later generations.


พิพิธภัณฑ์บ้านเอกะนาค

อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์บ้านเอกะนาค

  • ที่ตั้ง 1061 ซอยอิสรภาพ 15 ถนนอิสรภาพ แขวงหิรัญรุจี เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร
  • ผู้ครอบครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
  • ปีที่สร้าง พ.ศ.2462
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2555

ประวัติ

บ้านเอกะนาคสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2462 สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นบ้านเรือนไทยทรงปั้นหยาของ พ.ต.อ.พระยาประสงค์สรรพการ (ยวง เอกะนาค) ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมตำรวจ ต่อมาบ้านหลังนี้ได้ตกเป็นของบุตรสาว คือ คุณประยูร เอกะนาค แต่เนื่องจากบุตรสาวของท่านไม่มีทายาทสืบสกุล บ้านหลังนี้จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโรงเรียนมัธยมบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ตามพินัยกรรมซึ่งต่อมา คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา

ตัวอาคารเป็นอาคาร 2 ชั้น ครึ่งตึกครึ่งไม้ชั้นส่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนเป็นไม้ หลังคามุงกระเบื้องว่าว ด้านซ้ายของอาคารมีโปร่งยื่นออกมาแบบพระที่นั่งวิมานเมฆซึ่งเป็นแบบที่ได้รับความนิยมมากในสมัยนั้น ลักษณะของการก่อสร้างได้รับอิทธิพลจากตะวันตกผสมผสานลวดลายฉลุ แบบเรือนขนมปังขิง ด้านหน้าบ้านติดคลองบางไส้ไก่ ซึ่งเดิมจะมีท่าน้ำอยู่บริเวณหน้าบ้าน

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยสำนักศิลปะและวัฒนธรรมได้บูรณะซ่อมแซมบ้านเอกะนาค จนอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ทั้งภายในตัวบ้านและภูมิทัศน์โดยรอบ จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ศูนย์กรุงธนบุรีศึกษาเพื่อเป็นแหล่งรวมสรรพความรู้ด้านวัฒนธรรมของกรุงธนบุรี ด้วยการเก็บรวบรวม ศึกษาวิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ทางวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น พร้อมทั้งจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฝั่งธนฯ เช่นจัดทำเป็นห้องบ้านช่างฝั่งธนฯ ขลุ่ย – บ้านลาว หัวโขน – บางไส้ไก่ ขันลงหิน – บ้านบุ หล่อพระ – บ้านช่างหล่อขนมฝรั่ง – กุฎีจีน ห้องพระเจ้าตากสิน ห้องประวัติเจ้าของบ้าน ด้วยเล็งเห็นคุณค่าและความสวยงามทางด้านสถาปัตยกรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์

Ban Ekkanak Museum

  • Location 1061 Soi Itsaraphap 15, Itsaraphap Road, Khwaeng Hiranruchi, Khet Thonburi, Bangkok
  • Proprietor Bansomdejchaopraya Rajabhat University
  • Date of Construction 1919
  • Conservation Awarded 2012

History

Ban Ekkanak was constructed in 1919 during the reign of King Rama VI. It was a hipped roof traditional Thai house owned by Police General Phraya Prasongsappakan (Yuang Ekkanak), the former Deputy Director of Royal Thai Police. The house was later inherited to his daughter, Prayun Ekkanak. Since Ms. Prayun had no descendant, the will stated to grant Ban Ekkanak to Bansomdejchaopraya Secondary School which subsequently became Bansomdejchaopraya Rajabhat University.

The house is a 2-storey building. Its roof covered with kite shaped concrete roof tiles. Although the ground floor is brick masonry, the upper floor is built of wood. There presents a wing projecting out from the left side, resembling the well-liked style of Vimanmek Mansion. Its construction reflects Western influence blending with elaborate Gingerbread openwork. The front part is also adjacent to Bang Saikai Canal in which a jetty was once situated.

The Culture Department of Bansomdejchaopraya Rajabhat University has currently renovated both interior and landscape of Ban Ekkanak and converted it to Thonburi Educational Museum, exhibiting cultural knowledge about Thonburi period as well as local wisdom and lifestyle custom of Thonburi inhabitants. Therefore, the magnificence and value of this historic place have been appropriately preserved.


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้