พ.ศ. 2544

โบสถ์และสำนักแม่ชีอุรสุลิน โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย

อ่านเพิ่มเติม

โบสถ์และสำนักแม่ชีอุรสุลิน โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย

  • ที่ตั้ง โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2469
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2544

ประวัติ

โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2469 โดยคุณแม่มารี เบอร์นาร์ด มองแซล ส่วนโบราณสถานสำคัญในบริเวณโรงเรียน คือโบสถ์และสำนักแม่ชีอุรสุลินนั้น ได้ตั้งอยู่ในที่ดินก่อนแล้วและไม่ทราบประวัติการก่อสร้างหรือเรื่องราวเกี่ยวกับเข้าของเดิมของอาคารแต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี รูปแบบของอาคารก็มีคุณค่าในตัวเอง โดยลักษณะสถาปัตยกรรมแบบดัทช์โคโลเนียล เป็นอาคารไม้หลังคาจั่ว ช่วงกลางเป็นหอคอยสูง 3 ชั้น และปีกซ้ายเป็นหอคอยสูง 2 ชั้น หลังคามุงกระเบื้อง ที่พิเศษคือหลังคาหอคอยด้ายซ้ายมุงกระเบื้องเป็นลวดลายรูปไม้กางเขน หน้าจั่วตกแต่งด้วยไม้ฉลุ

อาคารนี้นับเป็นอาคารหลังแรกของโรงเรียนที่เคยใช้บางส่วนเป็นห้องนอนเรียนประจำ ปัจจุบันใช้เป็นโบสถ์ เป็นที่พักอาศัยของแม่ชี เป็นห้องพยาบาล และเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครั้งพระเยาว์ และทรงเคยเป็นนักเรียนที่โรงเรียนนี้ในปี พ.ศ. 2475

Ursulin Church and Convent, Mater Dei School

  • Location Mater Dei School, Phloenchit Road, Khwaeng Lumphini, Khet Pathum Wan, Bangkok
  • Architect/Designer Unknown
  • Proprietor Mater Dei School
  • Date of Construction 1926 AD
  • Conservation Awarded 2001 AD

History

Mater Dei School was founded in 1926 AD by Mother Marie Bernard Moncel, who bought a land on Ploenchit road, including a building with two towers, the history of which is unknown.

Nevertheless, the architecture is valuable in itseft. The building is Dutch Colonial Style with a 3-storey tower in the middle and a 2-storey tower at the left wing. The roof tiles of the left tower are carefully laid in cross-shaped designs, and the gables are decorated with wooden fretwork.

The building is considered the first building of Mater Dei School, which once was partly used as student dormitory. Its present functions comprise a church, a convert, a clinic, and museum which hold exhibitions on HM King Ananthamahidol and HM King Bhumibol Adulyadej, who were students during 1932.


วิหารลายคำ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร

อ่านเพิ่มเติม

วิหารลายคำ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร

  • ที่ตั้ง วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ตำบลพระสิงห์ เขต 1 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร
  • ปีที่สร้าง ราวพุทธศตวรรษที่ 24
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2544

ประวัติ

วัดพระสิงห์วรมหาวิหารเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เป็นอารามที่สถาปนาขึ้นโดยพระเจ้าผายู เมื่อประมาณพ.ศ. 1888 เดิมชื่อวัดลีเชียง ต่อมาในสมัย พ.ศ. 1943 เจ้ามหาพรหมได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากกำแพงเพชร และมาประดิษฐานที่วัดนี้ จึงได้นามว่าวัดพระสิงห์แต่นั้นมา

วิหารลายคำวัดพระสิงห์เป็นสถาปัตยกรรมล้านนาที่สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 24 ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเจดีย์ หันหน้าทางทิศตะวันออก ปัจจุบันด้านหน้าอาคารหลังคาซ้อน 3 ชั้น ด้านหลังซ้อน 2 ชั้น แต่มีหลักฐานว่าเดิมมีมุขด้านหน้าคลุมช่วงบันไดด้วย แต่ได้รื้อออกไป ด้านหลังวิหารนี้มีส่วนฐานเชื่อมต่อกับปราสาทโขงพระเจ้า ลักษณะเป็นกู่ก่ออิฐถือปูนหลังคาทรงปราสาทเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป

รูปแบบสถาปัตยกรรมและเทคนิคการก่อสร้างวิหารลายคำเป็นแบบล้านนา ตัวอาคารมีขนาดเล็กแต่สง่างามด้วยสัดส่วนและฝีมือช่างที่งดงาม องค์ประกอบภายนอกตกแต่งด้วยไม้แกะสลักปิดทอง ภายในวิหารลายคำประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ การตกแต่งภายในวิหารนั้นหากพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าลวดลายตกแต่งปิดทองล่องชาดต่างๆ เป็นลวดลายแบบกรุงเทพฯขึ้นไปทำมากกว่าจะเป็นช่างพื้นเมืองทำเอง ทั้งนี้อาจเกี่ยวเนื่องกับความสัมพันธ์ของราชสำนักเชียงใหม่และกรุงเทพฯ ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นภาพเขียนสีเรื่องสังข์ทองและสุวรรณหงส์ก็เป็นละครนอกที่นิยมทางกรุงเทพฯเช่นกัน แต่มีฝีมือช่างปรากฏทั้งแบบกรุงเทพฯและแบบพื้นเมือง ทำให้วิหารแห่งนี้มีความพิเศษที่น่าสนใจศึกษาต่อไป

วัดนี้ได้มีการบูณะที่สำคัญในสมัยพระเจ้ากาวิละ เชื้อวงศ์เจ้าเจ็ดตน เมื่อพ.ศ. 2339 ต่อมาในสมัยเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่อันดับที่ 9 ราวพ.ศ. 2467 ร่วมกับพระขนิษฐภคินีคือพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งหลังนี้อาจเป็นครั้งที่ได้รื้อคลุมบันไดด้านหน้าของวิหารลายคำออกไปดังที่กล่าวแล้ว

Wihan Lai Kham, Wat Phra Sing Woramahawihan

  • Location Wat Phra Sing Woramahawihan, Tambon Phra Sing Khet 1, Amphoe Mueang, Chiang Mai Province
  • Architect/Designer Unknown
  • Proprietor Wat Phra Sing Woramahawihan
  • Date of Construction circa 19th century
  • Conservation Awarded 2001 AD

History

Wat Phra Sing Woramahawihan was founded in 1345 AD By Phra Chao Phayu. Its original name was “Wat Li Chiang”. Later in 1400, Chao Maha Phrom had brought the important Buddha’s image, “Phra Phutthasihing” to be enshrined here thus the temple has been called “Wat Phra Sing” since that time.

The most important architecture in the compound is Wihan Lai Kham built circa 19th century. It is located to the south of the pagoda, facing east. The hall is rectangular; the front part is with 3-tiered roof and 2-tiered roof at the rear. In former period, there was a porch extended to cover the staircase but this porch has been removed. The rear of the building is connected to square hall where a Buddha’s image is enshrined called “Prasat Khong Phrachao”

The architecture and construction techniques of Wihan Lai Khan are Lanna style. It is small in size but beautifully built and decorated with high craftsmanship. The hall enshrines Phra Phutthasihing. The interior is decorated with gilded red lacquer and mural paintings, which are notable by their resemblance to the art of Bankgkok School. This may give a clue on the relationship between Bangkok and Chiang Mai in early Rattanakosin period. Nervertheless, local style is also presented in the paintings, although depicting the stories from Bangkok’s favourite plays.

The important restoration of the temple was carried out in the period of Phrachao Kawila, descendant of Chao Chet Ton Family, in 1796, and later in 1924 by Princess Dararasmo and her brother, Chao Kaew Nawarat, the 9th Lord of Chiang Mai. This might be the time when the removal of the front porch was carried out as mentioned


สิมวัดกลางโคกค้อ

อ่านเพิ่มเติม

สิมวัดกลางโคกค้อ

  • ที่ตั้ง วัดกลางโคกค้อ 31 ตำบลยางตลาด อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธิ์
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง วัดกลางโคกค้อ
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2363
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2544

ประวัติ

วัดกลางโคกค้อ ก่อตั้งขึ้นในราว พ.ศ. 2335 โดยชาวบ้านค้อที่เพิ่งอพยพมาตั้งหมู่บ้านขึ้น ณ ที่นี้ เมื่อปี 2332 ผู้นำคือผู้ใหญ่พรมมี เมื่อก่อตั้งวัดขึ้น ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ระหว่างหมู่บ้านค้อทางทิศเหนือ และหมู่บ้านโคกทางทิศใต้ จึงขนานนามว่า “วัดกลางโคกค้อ”

สำหรับสิมหลังนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2363 เป็นสิมโปร่งแบบดั้งเดิม ยกฐานสูง หลังคาจั่วทรงสูง แอ่นโค้งเล็กน้อยแบบอิทธิพลศิลปะล้านช้าง ช่วงล่างเป็นปีกนกโดยรอบซึ่งน่าจะเป็นส่วนที่ต่อเติมขึ้นภายหลัง ตัวอาคารด้านหน้าและด้านข้างก่อเป็นพนักเตี้ยๆ ส่วนผนังด้านหลังพระประธานก่อสูงจรดขื่อ การประดับตกแต่งเป็น ไม้แกะสลักที่เชิงชาย ปั้นลม และโหง่ สิมหลังนี้มีความน่าสนใจที่สัดส่วนรูปทรงที่ลงตัวแบบสถาปัตยกรรมพื้นบ้าน อีกทั้งยังเป็นสิมโปร่งที่ยังคงรูปแบบสมบูรณ์ ซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่ไม่มากนัก

สิมได้รับการบูรณะในปี 2540 โดยโครงการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับชาวบ้านและกรมศิลปากร และได้ใช้งานมาจนปัจจุบัน

Sim, Wat Klang Khok Kho

  • Location Wat Klang Khok kho, 31 Tambon Yang Talad, Amphoe Yang Talad, Kalasin Province
  • Architect/Designer –
  • Proprietor Wat Klang Khok Kho
  • Date of Construction 1820 AD.
  • Conservation Awarded 2001 AD.

History

Wat Klang Khok kho was founded circa 1792 AD by a group of people aho settled there in 1789, led by Pho Yai Phrommi. After founding the temple, a Sim (ordination hall) was built in 1820 as an open hall with high raised floor, Lan Chang (Laos) style as seen in the slignty curved, high- pitched roof. Decorations are woodcarvings at the eaves and roof ornaments. Overall appearance is rather simple yet beautiful by architectural form. It is also significant as a rare living example of Sim in open hall type.

In 1997, the Faculty of Architecture, Khon Kane University, organized a project on conservation of vanacular architecture that students, teachers, local people, and the Fine Arts Department collaborated in restoration on this Sim. The project was a great success which emchance understanding between relevant groups. The building is well-conserved and used until today.


สิมวัดสระทอง

อ่านเพิ่มเติม

สิมวัดสระทอง

  • ที่ตั้ง วัดสระทอง 127 บ้านบัว อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง วัดสระทอง
  • ปีที่สร้าง ประมาณปี พ.ศ. 2375
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2544

ประวัติ

สิมวัดสระทอง เป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นอีสาน มีลักษณะเป็นสิมทึบ หลังคา 2 ชั้น ชั้นบนเป็นจั่ว ชั้นล่างเป็นปีกนกโดยรอบ ที่น่าสนใจคือการประดับตกแต่งด้วยปูนปั้นฝีมือชาวบ้านเป็นภาพนูนต่ำทาสีที่ผนังภายนอก เป็นภาพคนขี่ช้าง คนขี่ม้า คนในอิริยาบถต่างๆ และลวดลายเช่นลายดอกไม้ ลายดาว ฯลฯ ภาพเหล่านี้ดูซื่อและ มีชีวิตชีวา แสดงออกถึงความรู้สึกของศิลปินผู้สร้างสรรค์อย่างบริสุทธิ์ใจ นับเป็นเอกลักษณ์ของอาคารนี้

บ้านบัวก่อตั้งขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2375 โดยพ่อใหญ่ขุนสีวอ พ่อใหญ่โคตรวงศ์ พ่อใหญ่โคตะ พ่อใหญ่กุนและพ่อใหญ่แป ซึ่งอพยพมาจากบ้านโนนเค้า มาตั้งบ้านอยู่ริมหนองน้ำและตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านบัว” พร้อมกันนั้นได้สร้างวัดขึ้น ให้ชื่อว่า “วัดสระทอง”

สิมหลังนี้ได้บูรณะขึ้นด้วยความร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านบัว ในปี 2543 นับเป็นตัวอย่างของการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมโดยชุมชน ซึ่งมีคุณค่ายิ่งทั้งในด้านประวัติศาสตร์และด้านจิตใจ

Sim, Wat Sa Thong

  • Location Wat Sa Thong, 127 Ban Bua, Amphoe Manchakhiri, Khon khaen Province
  • Architect/Designer –
  • Proprietor Wat Sa Thong
  • Date of Construction circa 1832 AD.
  • Conservation Awarded 2001 AD.

History

Sim at Wat Sa Thong is a locan Isan architecture. The building is an enclosed type with gable roof and a hipped lower tier. The exterior walls are decorated with painted bas-reliefs which depict people in different postures i.e.riding an elephant, riding a horse, standing, as well as some designs such as flowers,stars, etc. These reliefs look very sincere and lively,with local craftmanship that expresses the artists’feeling in pure from, the uniqe feature of this building.

Wat Sa Thong was built along with the founding of Ban Bua village circa 1832 AD. b a group of people who immigrated from Ban Non Khao, led by Pho Yai Khun Siwo, Pho Yai Khotwong, Pho Yai Khota, Pho Yai Kun, and Pho Yai Pae. The temple has been well-maintained and in 2000, the local people have collaborated in its restoration, a very impressive example of conservation by the community that not only help preserve the building physically, but also preserves and promotes sense of unity and cultural aeareness.


วิหารวัดหนองแดง

อ่านเพิ่มเติม

วิหารวัดหนองแดง

  • ที่ตั้ง วัดหนองแดง หมู่ 1 ตำบลเปือ อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง วัดหนองแดง
  • ปีที่สร้าง ประมาณ พ.ศ. 2330
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2544

ประวัติ

วัดหนองแดง ได้ก่อตั้งขึ้นก่อน พ.ศ. 2330 โดยพระธรรมวงศ์ ครูบานาย ครูบาอาณา ต่อมาจึงได้รับอนุญาติให้สร้างวัดในปี พ.ศ. 2330 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาใน พ.ศ. 2465

วิหารวัดหนองแดง สันนิษฐานว่าก่อสร้างในช่วง พ.ศ. 2330 ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยลื้อ หลังคาช่วงบนเป็นจั่วทรงสูง ช่วงล่างมีปีกนกโดยรอบ หลังคาแอ่นโค้งเล็กน้อย มุงแป้นเกล็ด ประดับแต่งด้วยช่อฟ้า ใบระกาฝีมอช่างท้องถิ่น เชิงชายประดับไม้ฉลุ ชายคารองรับด้วยทวยไม้แกะสลักเป็นลายเครือเถาสอดแทรกด้วยลายสัตว์จตุบทวิบาท ภายในวิหารมีจิตรกรรมฝาผนังด้านหลังพระประธานเขียนเป็นเรื่องทศชาติชาดกและเรื่องพระโพธิสัตว์วิหารนี้ดูหนักแน่น สงบ น่าเลื่อมใส ด้วยรูปทรงที่ลงตัว และการตกแต่งอย่างพอดีพองาม

ในการบูรณะเมื่อปี 2492 ได้เปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาจากแป้นเกล็ดไม้ที่มีร่องเพื่อช่วยในการระบายน้ำแบบโบราณมาเป็นแป้นเกล็ดแผ่นเรียบ และเปลี่ยนพื้นจากดินเหนียวอัดขัดมันมาเป็นพื้นปูกระเบื้อง

ส่วนผนังเดิมเป็นผนังก่ออิฐฉาบดินเหนียว วางอิฐสลับให้เป็นช่องโปร่งเพื่อระบายอากาศ ได้เปลี่ยนเป็นผนังฉาบปูนทึบในปี พ.ศ. 2538

Vihara, Wat Nong Daeng

  • Location Wat Nong Daeng, Mu 1 Tambon Puea, Amphoe Chiang Klang, Nan Province
  • Architect/Designer Unknow
  • Proprietor Wat Nong Daeng
  • Date of Construction circa 1878 AD.
  • Conservation Awarded 2001 AD.

History

Wat Nong Daeng was founded before 1787 by Phra Khru Thammawong, Khru Ba Nai, Krhu Ba Ana. As for the Vihara, it was built circa 1878 AD in Thai Lue style. The upper roof is high- pitched gable and the lower roof is hipped. The decorations are moderate, with local craffsman ship. The interior is decorated with mural paintings on the wall behind the Buddha’s image which decipt the Ten Last Lives of the Buddha, and the story of Bodhisatva. The vihara gives a steady, serene, and purified impression that is spiritually appreciable.

The original floor of packed clay was changed to terracotta tiled floor in 1949. Later, the original walls made of brick laid alternately to allow ventilation, plastered with clay, have been changed to solid plastered walls in the 1995 restoration.


วัดบุปผาราม (วัดปลายคลอง)

อ่านเพิ่มเติม

วัดบุปผาราม (วัดปลายคลอง)

  • ที่ตั้ง 26 หมู่ 3 บ้านปลายคลอง ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมือง จังหวัดตราด
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง วัดบุปผาราม
  • ปีที่สร้าง ก่อตั้งวัด พ.ศ. 2195
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2544

ประวัติ

วัดบุปผาราม หรือนิยมเรียกกันว่าวัดปลายคลอง เป็นวัดเก่าแก่ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2195 รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง หลักฐานกล่าวว่าผู้ก่อตั้งคือ “หลวงเมือง” และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ พ.ศ. 2225รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ภายในบริเวณวัดมีอาคารและสิ่งก่อสร้างที่มีคุณค่ามากมาย อาทิ เขตพุทธาวาส ประกอบด้วยอุโบสถ ซึ่งภายในตกแต่งด้วยจิตรกรรม และมีลักษณะอิทธิพลจีน เช่น การเขียนภาพมังกรคู่ ภาพคนจีนถือธูป และการประดับฐานชุกชีด้วยเครื่องถ้วยจีน วิหารพระพุทธไสยาสน์ก็ประดับด้วยเครื่องถ้วยเช่นกัน วิหารฝากระดาน มีฐานแอ่นโค้งแบบสมัยอยุธยาตอนปลาย เจดีย์และกลุ่มมณฑป

เขตสังฆาวาสประกอบด้วย หอสวดมนต์ เป็นศาลาไม้ยกพื้นสูง หลังคาประดับเครื่องลำยองตกแต่งด้วย ไม้แกะสลักปิดทอง ศาลาการเปรียญเป็นศาลาโถง เครื่องไม้มุงกระเบื้องดินเผา ศาลาอกแตก ศาลาลงสรง และ กุฏิไม้ ซึ่งก่อสร้างเป็นศาลาเดี่ยว มีขนาดตรงตามพุทธบัญญัติทุกประการ ส่วนหอระฆังไม้นั้นมีการดัดแปลงเปลี่ยนเสาไม้เดิมเป็นเสาคอนกรีต

อาคารต่างๆ ดังกล่าวนั้น สันนิษฐานจากรูปแบบและสภาพ น่าจะมีอายุสมัยราวพุทธศตวรรษที่ 24 – 25 มิได้เป็นอาคารที่สร้างมาพร้อมกับการก่อตั้งวัด

Wat Buppharam (Wat Plai Khlong)

  • Location 26 Mu 3 Ban Plai Klong, Tambon Wang Krachae, Amphoe Muaeng, Trad Province
  • Architect/Designer Unknow
  • Proprietor Wat Buppharam
  • Date of Construction temple establishment 1652 AD.
  • Conservation Awarded 2001 AD.

History

Wat Buppharam, or generally called Wat Plai Khlong is an old temple founded since 1652 AD., the reign of King Prasatthong of Ayutthaya. There are several interesting structures in the compound. The Buddhawas zone comprises the Ubosatha (ordinary hall) with Chinese influenced style as seen in the mural painting and the Buddha’s image base decorated with Chinese ceramics, as well as the Vihara of the Reclining Buddha, Wihan Fa Kradan with curved base of late Ayutthaya style, pagoda and group Mandapas.

The Shakhawas (monks’ private zone) comprises the Praying Hall, a wooden structure withraised floor, a Gathering Hall, Sala Taek, Sala Long Song, and wooden houses for the monks which are built as isolated houses and measures precisely as the Buddha’s Order. As for the Bell Tower, it has been modified by replacing the wooden pillars by reinfoeced concrete ones.

According to the style of buildings, it is believeable that they should be dated from 19th- 20th century, not from the date of the temple setablisment.


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้