ประเภท ก. งานอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมและชุมชน
ระดับดีมาก
วิหารน้อย ภายในสุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
อ่านเพิ่มเติม
วิหารน้อย ภายในสุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
- ที่ตั้ง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม แขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อผู้ออกแบบ สันนิษฐานว่าเป็นนายช่างชาวยุโรป
- สถาปนิก/ ผู้ออกแบบอนุรักษ์ คุณสิน พงษ์หาญยุทธ คุณวีระพันธุ์ ไพศาลนันท์ คุณวทัญญู เทพหัตถี คุณสัญชัย ลุงรุ่ง
- ผู้ครอบครอง สำนักพระราชวัง และวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2426
ประวัติ
วิหารน้อย สุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สร้างขึ้น ณ ลานริมกำแพงวัดทิศตะวันตก
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เพื่อใช้เป็นที่บรรจุพระอัฐิของเจ้าจอมมารดาแพ
พระสนมเอก หลังจากนั้นใช้เป็นสถานที่บรรจุพระอังคาร และพระอัฐิของพระราชโอรส และพระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 ต่อเนื่องมาอีกหลายพระองค์ และเป็นสถานที่จัดพิธีบำเพ็ญกุศลของราชสกุลต่าง ๆ ในจุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ โดยในบางช่วงเวลาวิหารน้อย ใช้งานเป็นห้องเรียนชั่วคราวของโรงเรียนวัดมัธยมราชบพิธ ต่อมาในพุทธศักราช 2561 มูลนิธิราชสกุลอาภากร ในพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้ดำเนินการบูรณะวิหารน้อย เนื่องจากวิหารมีสภาพทรุดโทรม และไม่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาเป็นเวลานาน โดยการบูรณะแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2562
วิหารน้อย สุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นอาคารชั้นเดียว รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก โดยผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบโกธิก และคลาสสิกเข้าด้วยกัน โครงสร้างอาคารเป็นผนังก่ออิฐรับน้ำหนัก ผังพื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 8.75 เมตร ยาว 10.92 เมตร วางด้านยาวตามแนวทิศตะวันออก – ตะวันตก พื้นภายในและบันไดภายนอกเป็นพื้นหินอ่อน หลังคาทรงจั่ว มุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว ภายในวิหารน้อยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และรูปหล่อของพระบรมวงศ์ อันเป็นงานประติมากรรมซึ่งมีคุณค่าด้านประวัติศาสตร์และศิลปกรรม จุดเด่นของวิหารน้อยอยู่ที่การตกแต่งผนังหน้าจั่วมุขทางเข้าประดับด้วยลายปูนปั้นรูปรัศมีดวงอาทิตย์ แผงไม้สักฉลุลายพรรณพฤกษา ลักษณะเป็นไม้ชุดประกอบกันเป็นซุ้มโค้งโดยยึดกับไม้ปั้นลม ยอดจั่วประดับด้วยไม้สะระไน บานกรอบลูกฟักไม้ตอนบนของประตูและหน้าต่างเป็นช่องตารางรูปเรขาคณิต เหนือบานกรอบเป็นวงโค้งครึ่งวงกลมแบ่งเป็นช่อง ช่องทั้งหมดกรุภายในด้วยกระจกสีแดง น้ำเงิน เหลือง เขียว และม่วง โดยสลับสีให้เกิดความงดงาม กรอบประตูและหน้าต่างภายนอกตกแต่งด้วยซุ้มบัวปูนปั้น ผนังคอสองตกแต่งด้วยปูนปั้นลายดอกไม้ขนาด 0.20 x 0.20 เมตร ตลอดแนวผนังทั้งภายในและภายนอก และฝ้าเพดานภายในเป็นฝ้าไม้สักตีชนแบบมีบังใบและตกแต่งด้วยคิ้วไม้สักเป็นลายตารางช่องสี่เหลี่ยม
วิหารน้อย สุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการอนุรักษ์ศาสนสถานที่ทรงคุณค่าตามหลักวิชาการ สามารถรักษาองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของวิหาร ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการผลิตวัสดุที่หายาก และช่วยฝึกฝนบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีประสบการณ์ความชำนาญในการบูรณะอีกด้วย
ความคิดเห็นจากคณะกรรมการ
“กระบวนการอนุรักษ์วิหารวัดน้อย ภายในสุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม มีความครบถ้วน โดยมีการศึกษาประวัติความเป็นมา หลักฐานที่แสดงถึงองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมในช่วงเวลาต่าง ๆ ตลอดจนมีการประเมินสภาพอาคาร จนสามารถเลือกอนุรักษ์องค์ประกอบสำคัญไว้ได้ มีการเลือกเทคนิควิธีการอนุรักษ์และการเลือกใช้วัสดุทดแทน เพื่อซ่อมแซมองค์ประกอบที่เสื่อมสภาพได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล นอกจากนี้ มีการปรับปรุงงานระบบอาคารและปรับปรุงภูมิทัศน์ ให้มีความสอดคล้องกับการใช้งานในปัจจุบัน การอนุรักษ์วิหารวัดน้อยแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ที่มีความตั้งใจในการอนุรักษ์อาคารที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์จนประสบผลดียิ่ง”





นีลนิวาส
อ่านเพิ่มเติม
นีลนิวาส
- ที่ตั้ง เลขที่ 86 ซอยอิสรภาพ 28 แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก/ ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อผู้ออกแบบ
- สถาปนิก/ ผู้ออกแบบอนุรักษ์ คุณวีณา มะหะสิทธิ์
- ผู้ครอบครอง คุณพีระ มะหะสิทธิ์
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2433
ประวัติ
นีลนิวาส เดิมเป็นบ้านพักอาศัยของครอบครัวพระยาอาหารบริรักษ์ (ผึ่ง ชูโต) และคุณหญิงผาด ชูโต และทายาทรุ่นต่อ ๆ มา สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 1 ไร่ ริมคลองบางกอกใหญ่ (ในอดีต คือ คลองบางหลวง) รู้จักกันในนาม บ้านพระยาอาหารบริรักษ์ ต่อมาใน พ.ศ. 2551 ครอบครัวมะหะสิทธิ์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดิน หลังจากนั้น การปรับปรุงฟื้นฟูบ้านจึงเริ่มขึ้น โดยการซ่อมแซมโครงสร้างอาคาร เก็บรายละเอียดงานสถาปัตยกรรม งานตกแต่งภายใน งานผังบริเวณ และปรับปรุงภูมิทัศน์ รวมเวลาทั้งสิ้น 7 ปี เมื่อการปรับปรุงฟื้นฟูบ้านแล้วเสร็จ มีการเปลี่ยนชื่อบ้านเป็น นีลนิวาส ซึ่งมีความหมายว่า บ้านสีเขียว
นีลนิวาส เป็นบ้านพักอาศัยไม้สักสูง 2 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยามุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว จำนวน 2 หลัง ตัวบ้านวางตัวขนานกับแนวคลองบางกอกใหญ่ โดยถอยร่นห่างจากแนวคลองประมาณ 30 เมตร เกิดเป็นพื้นที่โล่งด้านหน้าบ้าน ซึ่งพบตำแหน่งของต้นลิ้นจี่ที่ปลูกขึ้นในแนวแกนกลางเดียวกับทางเข้าบ้านอย่างตั้งใจ อาคารทั้ง 2 หลัง วางตัวขนานกัน มีระยะห่างระหว่างกัน 3.6 เมตร เชื่อมต่อกันทั้งชั้นล่างและทั้งบนด้วยทางเชื่อมแบบมีหลังคาคลุม มีการปิดล้อม ส่งผลให้เกิดพื้นที่ระหว่างบ้านขนาดเล็ก อาคารพักอาศัยฝั่งทิศตะวันออกเป็นบ้านไม้สัก 2 ชั้น ส่วนอาคารพักอาศัยฝั่งตะวันตกเป็นบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูน ซึ่งสันนิษฐานว่าปลูกสร้างภายหลังอาคารฝั่งทิศตะวันออก อาคารทั้ง 2 หลัง ตั้งอยู่บนฐานก่ออิฐยกสูงจากพื้นดิน มีช่องลมที่ฐานอาคารกำแพงก่ออิฐเป็นแห่ง ๆ เพื่อระบายอากาศ จุดเด่นของบ้านไม้สัก 2 ชั้น คือ ผังพื้นด้านหน้า มีลักษณะเป็นมุขรูปหกเหลี่ยมตัดจำนวน 2 มุข ในลักษณะสมมาตร หลังคาทรงปั้นหยาหักมุมไปตามรูปเหลี่ยม ระหว่างมุขทั้ง 2 ด้าน เป็นทางเข้าของบ้านแบบมีหลังคาคลุม มีการตกแต่งบริเวณทางเข้าอาคารด้วยไม้ฉลุลายสวยงามในลักษณะของซุ้มทางเข้า บานหน้าต่างของบ้านทั้งหมดเป็นบานเกล็ดไม้เปิดบานคู่ หรือหน้าต่างไม้ชุดประกอบหลายบาน ตรงกลางบานเปิดเป็นบานกระทุ้งได้ เหนือบานหน้าต่างมีช่องลมระบายอากาศประดับไม้ฉลุลาย สัดส่วนความสูงของอาคาร ฝ้าเพดาน ประตู และหน้าต่างมีลักษณะที่ค่อนข้างสูงใหญ่
นีลนิวาส แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความพยายามในการรักษาองค์ประกอบต่าง ๆ ทางสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 5 ให้มีลักษณะเหมือนเดิมและอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด มีการสืบค้นประวัติข้อมูล และทำการปรับปรุงซ่อมแซมไปพร้อม ๆ กัน โดยอาคารหลังนี้จะถูกใช้งานในลักษณะเป็นบ้านพักอาศัยของครอบครัว
มะหะสิทธิ์ ทั้งนี้มีการเตรียมเปิดพื้นที่บางส่วนของบ้านเพื่อเป็นที่พักสำหรับนักเดินทางท่องเที่ยว โดยให้อยู่ในลักษณะการอยู่อาศัยร่วมกันต่อไป
ความคิดเห็นจากคณะกรรมการ
“กระบวนการอนุรักษ์มีความครบถ้วน ประกอบด้วยการศึกษาประวัติความเป็นมา องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมในช่วงเวลาต่าง ๆ และประเมินสภาพอาคาร สามารถอนุรักษ์องค์ประกอบสำคัญให้กลับ มามีการใช้งานได้อย่างเหมาะสมอีกครั้ง การเลือกเทคนิควิธีการอนุรักษ์และการเลือกใช้วัสดุทดแทน เพื่อซ่อมแซมองค์ประกอบที่เสื่อมสภาพ ทำได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล มีการสื่อความหมายผ่านการ นำเสนอให้เห็นร่องรอยเดิมของอาคาร รวมทั้งการรักษาบรรยากาศของสภาพโดยรอบของอาคาร ที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของที่ตั้งซึ่งอยู่ริมคลองประวัติศาสตร์สำคัญ การอนุรักษ์บ้านนีลนิวาสเป็นตัวอย่างการปรับประโยชน์ใช้สอยไปสู่การใช้งานใหม่ที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนเป็นตัวอย่างอันดีให้กับการอนุรักษ์อาคารพักอาศัยที่มีคุณค่าในชุมชนฝั่งธนบุรีต่อไป”








ระดับดี
พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อ่านเพิ่มเติม
พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา
สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ที่ตั้ง เลขที่ 239 ถนนคลองชลประทาน ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อผู้ออกแบบ
- สถาปนิกอนุรักษ์
- ผู้ครอบครอง สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2536
ประวัติ
พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ในอดีตเป็นอาณาบริเวณบ้านพักอาศัยของครอบครัวคิวรีเปอล์ นายห้างป่าไม้ชาวอังกฤษ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตผ่านสถาปัตยกรรมเรือนล้านนาของลุ่มน้ำปิง และเป็นศูนย์กลางรองรับกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรม และประเพณีของท้องถิ่น เรือนที่จัดแสดงได้รับมอบโดยการบริจาคจากเจ้าของเรือนหรือทายาท และได้มีวิธีการอนุรักษ์โดยการรื้อถอนจากแหล่งที่ตั้งเดิม ขนย้าย และนำมาปลูกสร้างให้คงตามรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิม ยกเว้นบ้านพักอาศัยของครอบครัวคิวรีเปอล์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่เมื่อเริ่มจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ปัจจุบัน มีเรือนโบราณ 9 หลัง หลองข้าว 4 หลองข้าว และเรือนเครื่องผูก (ไม้ไผ่) 1 หลัง ตั้งอยู่รอบลานกิจกรรม ดังนี้ คือ
- เรือนเครื่องผูก เป็นเรือนขนาดเล็กสำหรับการอยู่อาศัยของหนึ่งครอบครัว สร้างขึ้นในพิพิธภัณฑ์ทุก 3 – 5 ปี เพื่อเป็นเรือนตัวอย่างแสดงให้เห็นเทคนิคการสร้างด้วยการมัด ผูก ยึด ด้วยวัสดุจากธรรมชาติ
- เรือนไทลื้อหม่อนตุด สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2460 รูปแบบของเรือนแสดงให้เห็นการปรับตัวของชาวไทลื้อที่อพยพจากสิบสองปันนามาอาศัยอยู่ในเชียงใหม่ มีการผสานวิถีชีวิตแบบไทลื้อและไทยวนเข้าไว้ด้วยกัน
- เรือนทรงอาณานิคมคิวรีเปอล์ สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2469 เป็นเรือนของชาวตะวันตกที่หลงเหลือในจังหวัดเชียงใหม่เพียงไม่กี่หลัง ตัวเรือนแสดงให้เห็นเทคนิคการก่อสร้างแบบโบราณที่ใช้ผนังรับน้ำหนัก
- เรือนพญาปงลังกา สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2439 เป็นเรือนขนาดใหญ่ของคหบดี แสดงให้เห็นถึงการแบ่งพื้นที่การใช้สอยในส่วนของเรือนนอน เติ๋น ชาน และครัวไฟ (ห้องครัว) มีฮางลิน (รางระบายนาฝน) ด้วยไม้ซุงท่อนเดียวขุดร่องตรงกลาง รองรับตรงกลางระหว่างชายคาของเรือนสองหลัง
- เรือนกาแลพญาวงศ์ สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2440 เป็นเรือนจั่วแฝดสองจั่วสำหรับครอบครัวขยาย โครงสร้างเรือนใช้วิธีการเข้าสลัก ลิ่ม และเดือยประกอบตัวเรือน
- เรือนกาแลอุ๊ยผัด สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2456 เป็นเรือนขนาดเล็กสำหรับครอบครัวเดี่ยว ตัวเรือนแสดงให้เห็นภูมิปัญญาเชิงช่างที่ใช้เสาเรือนต้นเล็กจำนวนหลายต้นรับน้ำหนักตัวเรือนแทนการใช้เสาต้นใหญ่
- เรือนพื้นบ้านล้านนาอุ๊ยแก้ว สร้างขึ้นในช่วง พ.ศ. 2470 – 2480 เป็นเรือนที่มีพัฒนาการต่อมาจากยุคเรือนกาแล ตัวเรือนมีห้องนอน เติ๋น แบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นสัดส่วน ปิดมิดชิด และมีความเป็นส่วนตัว มากกว่าเรือนในยุคเก่า
- เรือนพื้นถิ่นแม่แตง สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2460 เป็นเรือนพื้นถิ่น หลังคาทรงจั่ว ตัวเรือนมีขนาดพอเหมาะ แบ่งพื้นที่ใช้สอยตามการใช้งานได้อย่างลงตัว
- เรือนฝาไหลของแม่นายคำเที่ยง สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2457 ตัวเรือนถูกออกแบบพิเศษด้วยการทำฝาเรือนแบบ “ฝาไหล” สามารถเปิดและปิดได้โดยการเลื่อนฝาชั้นบนและล่างได้ทั้งหลัง ถือเป็นภูมิปัญญาเชิงช่างที่ออกแบบให้ตัวเรือนมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
- เรือนทรงปั้นหยาอนุสารสุนทร สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2467 เป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่ รูปแบบสถาปัตยกรรมอิทธิพลจากตะวันตก โดยออกแบบการสร้างตามวัตถุประสงค์ใช้งานของเจ้าของเรือนที่เป็นหมอรักษาโรค และตัวเรือนตั้งอยู่ในย่านการค้า ชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัยและชั้นล่างเปิดเป็นคลินิกและร้านขายยา
- หลองข้าวหลวงเลาหวัฒน์ สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2440 เป็นหลองข้าวขนาดใหญ่ รองรับโครงสร้างอาคารด้วยเสาไม้ขนาดใหญ่ 14 ต้น ป้านลมมีการประดับตกแต่งสวยงาม
- หลองข้าวป่าซางนันทขว้าง สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2440 เป็นหลองข้าวขนาดใหญ่ หน้าจั่วตกแต่งด้วยลวดลายนกยูง ในอดีตเจ้าของได้ปรับปรุงหลองข้าวมาใช้งานอื่นแทนการเก็บข้าว มีการเสริมบันไดและไม้ฉลุเพิ่มเติม
- หลองข้าวสารภี สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2450 เป็นหลองข้าวสำหรับครอบครัวขนาดปานกลาง สภาพและรูปแบบของหลองข้าวมีความครบถ้วนสมบูรณ์ หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินขอ
- หลองข้าวเปลือย เป็นหลองข้าวที่สร้างขึ้นใหม่ในพิพิธภัณฑ์ เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงรูปแบบหลองข้าวหลังคาทรงแม่ไก่ หลองข้าวนี้ไม่มีฝาผนัง จึงเอาข้าวใส่ในเสวียนแทน ซึ่งเป็นภาชนะทำมาจากไม้ไผ่สาน พอกทับด้วยมูลวัว ยางไม้ และดินเหนียว
พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมไว้โดยการเคลื่อนย้ายเรือนจากที่ตั้งเดิมมาสู่ที่ตั้งปัจจุบัน หลังจากนั้นได้ปรับปรุงซ่อมแซมเรือนเหล่านี้ตามหลักวิชาการก่อนที่จะเปิดดำเนินการเพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีความสมบูรณ์ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
ความคิดเห็นจากคณะกรรมการ
“พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนาเป็นกลุ่มอาคารที่มีคุณค่าที่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี แสดงถึงความตั้งใจ ที่พยายามเก็บรวบรวม และรักษางานสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่เอาไว้ได้ ในการย้ายอาคารจากที่ตั้งเดิมมาสู่ที่ตั้งในปัจจุบัน มีกระบวนการดำเนินงาน การจัดทำแบบสถาปัตยกรรม และการรักษาองค์ประกอบด้วยการซ่อมแซมด้วยเทคนิคฝีมือช่างวิธีดั้งเดิม โดยผู้เชี่ยวชาญ ภายในตัวอาคารมีการจัดแสดงและสื่อความหมายให้เห็นถึงการอยู่อาศัยในอดีต นอกจากนี้ มีการออกแบบภูมิทัศน์ให้กลมกลืนกับตัวอาคารและการใช้งานในปัจจุบัน ในการอนุรักษ์ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมในกระบวนการต่าง ๆ มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ รวมถึงมีการใช้พื้นที่รองรับกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม และกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม”















บ้านเสงี่ยม-มณี
อ่านเพิ่มเติม
บ้านเสงี่ยม-มณี
- ที่ตั้ง เลขที่ 1036/1 ถนนเจริญเมือง ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
- สถาปนิก/ ผู้ออกแบบ คุณเสงี่ยม สมพงษ์
- สถาปนิก/ ผู้ออกแบบอนุรักษ์ คุณธรรศ วัฒนาเมธี และคุณอัชฌา สมพงษ์
- ผู้ครอบครอง คุณสุขสมัย สมพงษ์
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2497
ประวัติ
บ้านเสงี่ยม – มณี ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองเก่าสกลนคร สร้างขึ้นตามแนวคิดและความต้องการของคุณเสงี่ยม และคุณมณี สมพงษ์ เพื่อเป็นบ้านพักอาศัยของครอบครัว ต่อมาคุณสุขสมัย สมพงษ์ บุตรคนที่ 6 ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลบ้าน และใน พ.ศ. 2535 ได้ให้คุณเอกชัย สมพงษ์ ผู้เป็นน้องชายใช้เป็นที่พักอาศัยและสำนักงานทนายความ ภายหลังจากคุณเอกชัยถึงแก่กรรม คุณสุขสมัย ร่วมกับคุณอัชฌา สมพงษ์ ทายาทรุ่นที่ 3 เข้าไปสำรวจอาคารและพบความชำรุดทรุดโทรมซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายในการใช้งาน จึงวางแผนและดำเนินการบูรณะตามความตั้งใจที่อยากให้ลูกหลานของคุณเสงี่ยม และคุณมณี สมพงษ์ มีสถานที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ สำหรับทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างความมีชีวิตชีวาคืนแก่บ้านอีกครั้ง รวมถึงมุ่งหวังการสร้างรายได้เพื่อใช้ในการบำรุงรักษาอาคารต่อไปในอนาคต โดยกระบวนการปรับปรุงฟื้นฟูใช้เวลาราว 4 ปีจึงแล้วเสร็จ เปิดให้บริการห้องพักตามการจดแจ้งเป็นสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม มีห้องพักบริการทั้งหมด 4 ห้อง ที่พื้นที่ชั้น 2 และ 3 ของอาคาร ส่วนพื้นที่ชั้นล่างใช้เป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติและการอนุรักษ์บ้าน รวมถึงให้บริการเป็นพื้นที่ทำงานร่วม ร้านจำหน่ายเครื่องดื่ม และสินค้าด้านศิลปหัตถกรรม บ้านเสงี่ยม – มณีเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2563
บ้านเสงี่ยม – มณี มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบเรือนไม้ตะเคียน สูง 3 ชั้น กว้างและยาวด้านละประมาณ 9 เมตร ได้รับการเสริมความแข็งแรงด้วยฐานรากและคานคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคาทรงจั่ว โครงสร้างหลังคาไม้เดิม ผนังภายนอกอาคารเป็นผนังไม้ตีนอนซ้อนเกล็ด มีหน้าต่างบานเปิดคู่โดยรอบ และมีระเบียงยื่นออกมาทางด้านหน้าโดยใช้ประตูบานเฟี้ยมลูกฟักไม้ทึบผสมบานเกล็ดสำหรับเข้าออก เหนือบานประตูมีระแนงไม้ตีทแยงเป็นช่องลมเพื่อให้อากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวก การใช้สอยภายในอาคารประกอบด้วยพื้นที่ร้านค้า ห้องประชุม ห้องพัก และห้องเก็บของซึ่งถูกกั้นแบ่งพื้นที่ใหม่ด้วยวัสดุใกล้เคียงของเดิม บันไดไม้ได้รับการรังวัด ถอดและประกอบคืนด้วยเทคนิค รูปแบบ และวัสดุเดิมอย่างสมบูรณ์ ส่วนด้านหลังอาคารซึ่งเคยเป็นห้องน้ำ ห้องครัว และระเบียงไม้เดิมถูกรื้อถอนออก เพื่อต่อเติมอาคารโครงสร้างเหล็กรูปพรรณผสมคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 2 ชั้น สร้างห้องครัว ห้องน้ำ และงานระบบใหม่ให้เพียงพอและเหมาะสมกับการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป
บ้านเสงี่ยม – มณี ได้รับการปรับปรุงฟื้นฟูตามหลักวิชาการ สามารถรักษาสัดส่วน รูปทรง และวัสดุดั้งเดิมเอาไว้ได้ โดยมีการสำรวจ รังวัด และบันทึกข้อมูลตลอดกระบวนการทำงาน การดำเนินงานได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาสังคม และมีผู้เข้าเยี่ยมชมเรือนทั้งระหว่างและหลังงานปรับปรุงแล้วเสร็จ แสดงให้เห็นว่า บ้านเสงี่ยม – มณี สามารถเป็นแบบอย่างของการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ที่สามารถรักษาคุณค่าด้านวัฒนธรรมให้เป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบในการอนุรักษ์เมืองเก่าสกลนคร สามารถสร้างคุณค่าทางด้านประโยชน์ใช้สอยและรักษาคุณค่าทางจิตใจทั้งต่อผู้ครอบครอง เครือญาติ และสังคมได้เป็นอย่างดี
ความคิดเห็นจากคณะกรรมการ
“มีกระบวนการอนุรักษ์อาคารที่ประกอบด้วยการศึกษาข้อมูล การดำเนินงานตามขั้นตอนการอนุรักษ์ มีการบันทึกสภาพจัดทำแบบองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของอาคารโดยละเอียดอย่างครบถ้วน จนสามารถอนุรักษ์องค์ประกอบอาคารแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดี ทั้งนี้มีการเพิ่มองค์ประกอบ ต่อเติมพื้นที่ รวมทั้งปรับเปลี่ยนการใช้งานของอาคาร จากบ้านพักอาศัยมาเป็นที่พักสำหรับนักเดินทางและพื้นที่ทำงานร่วม การอนุรักษ์บ้านเสงี่ยม-มณีจึงเป็นตัวอย่างของการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์บ้านพักอาศัยแบบดั้งเดิมในพื้นที่เมืองเก่าได้อย่างสร้างสรรค์”





บ้านบานเย็น
อ่านเพิ่มเติม
บ้านบานเย็น
- ที่ตั้ง เลขที่ 54 ซอยเทเวศร์ 1 ถนนกรุงเกษม แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อผู้ออกแบบ
- สถาปนิก/ ผู้ออกแบบอนุรักษ์ คุณพิทักษ์สิน นิวาศานนท์ และคุณพิมพิชา ธรรมาภรณ์พิลาศ
- สถาปนิกที่ปรึกษา รองศาสตราจารย์ ดร. เอกรินทร์ อนุกูลยุทธน
- ผู้ครอบครอง รองศาสตาราจารย์โรจน์ คุณเอนก และนายรัชต์ คุณเอนก
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2446 – 2471
ประวัติ
บ้านบานเย็น เป็นหมู่เรือนไม้พักอาศัย 3 หลัง ของครอบครัวสาโยทภิทูร ซึ่งเดิมตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นถนนราชดำเนิน บริเวณหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในปัจจุบัน เมื่อมีสร้างถนนราชดำเนินในสมัยรัชกาลที่ 5 ครอบครัวสาโยทภิทูรจึงได้ย้ายมาอยู่ในบริเวณบ้านบานเย็นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเรือนพระยาหิรัญยุทธกิจ เป็นเรือนหลังแรก สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2446 เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของพระยาหิรัญยุทธกิจ (บานเย็น สาโยทภิทูร) และครอบครัว หลังจากนั้น เรือนขุนวิเศษสากล เป็นเรือนหลังที่ 2 สร้างขึ้นโดยใช้ไม้ของเรือนเก่าจากถนนราชดำเนิน ซึ่งเดิมเป็นเรือนยกพื้นสูงมีชานไม้เชื่อมต่อกัน และรื้อย้ายเรือนมาปลูกในบ้านบานเย็น เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของน้องสาวของพระยาหิรัญยุทธกิจและครอบครัว หลังจากนั้นเรือนเพ็งศรีทองซึ่งเป็นเรือนหลังที่ 3 ของบ้านบานเย็น เดิมเป็นเรือนพักอาศัยของหลวงนริศเสน่ห์ ต่อมาได้ขายให้กับนางสาวประยงค์ สาโยทภิทูร พร้อมกับเรือนครัว ใน พ.ศ. 2471 แต่การขายเรือนหลังดังกล่าวนั้นไม่มีหลักฐานว่าเป็นการรื้อย้ายมาประกอบ หรือเป็นเรือนที่สร้างอยู่แล้ว และหลวงนริศเสน่ห์ย้ายไปอยู่ที่อื่น จึงมีการรวมแปลงที่ดินผนวกกับการซื้อเรือนที่ปลูกอยู่บนพื้นที่ดังกล่าวด้วย เมื่อเวลาผ่านไปผู้ที่อาศัยในเรือนทั้ง 3 หลัง ถึงแก่อนิจกรรม และถึงแก่กรรม ส่งผลให้เรือนทั้ง 3 หลัง ถูกปิดไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์ และอยู่ในสภาพทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา ทายาทรุ่นปัจจุบันจึงได้เริ่มดำเนินการบูรณะเรือนทั้ง 3 หลัง ใน พ.ศ. 2553 จนแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2563 โดยเรือนพระยาหิรัญ-ยุทธกิจ และเรือนขุนวิเศษสากลใช้งานเป็นพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ชั้นบนของเรือนเพ็งศรีทองใช้เป็นที่พักอาศัย และชั้นล่างใช้ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในลักษณะอเนกประสงค์
บ้านบานเย็น มีรูปแบบสถาปัตยกรรมบ้านเรือนไม้ 2 ชั้น แบบตะวันตก หลังคาทรงจั่วและปั้นหยามุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว ตัวเรือนยกสูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร ก่ออิฐฉาบปูนปิดใต้ถุนเรือนโดยรอบ มีช่องลมระบายอากาศเป็นระยะ ๆ ผนังเรือนตีเกล็ดเป็นจังหวะห่างชิดและห่าง เว้นเรือนวิเศษสากลที่เป็นฝาเข้าลิ้น ช่องลมประดับลายฉลุไม้ลวดลายขนมปังขิงที่ได้รับอิทธิพลจากยุควิคตอเรียน หน้าต่างบานเปิดและลูกฟักเป็นบานเกล็ดไม้เปิดกระทุ้งเหมาะสมกับภูมิอากาศแบบร้อนชื้น
บ้านบานเย็น แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการปรับปรุงฟื้นฟูเรือนพักอาศัยของขุนนางตามหลักวิชาการ สามารถรักษาความแท้ เอกลักษณ์ และบูรณภาพของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมเอาไว้ได้ รวมทั้งการอนุรักษ์บรรยากาศและพรรณไม้ที่อยู่คู่มากับตัวบ้านอีกด้วย
ความคิดเห็นจากคณะกรรมการ
“มีกระบวนการอนุรักษ์อาคารที่ประกอบด้วยการศึกษาข้อมูล การดำเนินงานตามขั้นตอนการอนุรักษ์ มีการบันทึกสภาพจัดทำแบบองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของอาคารโดยละเอียดอย่างครบถ้วน จนสามารถอนุรักษ์องค์ประกอบอาคารแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดี ทั้งนี้มีการเพิ่มองค์ประกอบ ต่อเติมพื้นที่ รวมทั้งปรับเปลี่ยนการใช้งานของอาคาร จากบ้านพักอาศัยมาเป็นที่พักสำหรับนักเดินทางและพื้นที่ทำงานร่วม การอนุรักษ์บ้านเสงี่ยม-มณีจึงเป็นตัวอย่างของการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์บ้านพักอาศัยแบบดั้งเดิมในพื้นที่เมืองเก่าได้อย่างสร้างสรรค์”







ร้านจริงจิตร
อ่านเพิ่มเติม
ร้านจริงจิตร
- ที่ตั้ง เลขที่ 193 ถนนห้วยยอด ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อสถาปนิกผู้ออกแบบ
- สถาปนิกที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ตรีชาติ เลาแก้วหนู
- ผู้ครอบครอง ครอบครัวจริงจิตร
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2465
ประวัติ
ร้านจริงจิตร เป็นร้านขนมแห่งแรก ๆ ของจังหวัดตรัง จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังคงเป็นร้านขนมที่คนตรังรู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นร้านขายขนมมงคลที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามความเชื่อของชาวไทยเชื้อสายจีนที่เข้ามาตั้งรกรากในพื้นที่จังหวัดตรัง เช่น ขนมจันอับ ขนมเปี๊ยะ ฟักเชื่อม ขนมถั่วตัดงาตัด และขนมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่คนในพื้นที่ต่างจับจองเพื่อใช้ในพิธีสำคัญ คือ ขนมไหว้พระจันทร์สูตรฮกเกี้ยนแบบโบราณจากเกาะปีนัง โดยคนไทยเชื้อสายจีนฮกเกี้ยนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดตรังเรียกขนมไหว้พระจันทร์ว่า “ตงชิ้วเปี้ย” หรือ “เอี๊ยวเปี้ย” ที่แตกต่างกันไปจากแบบกวางตุ้ง ซึ่งในปัจจุบันหายากเต็มที ร้านจริงจิตรนับได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่สะท้อนประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของชาวจีนฮกเกี้ยนในจังหวัดตรัง โดยเข้ามาทำกิจการเดินเรือและริเริ่มอุตสาหกรรมเหมืองแร่ดีบุกในจังหวัดตรัง จนมีกิจการรุ่งเรื่องและเกิดธุรกิจต่าง ๆ เพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยนในเมืองตรัง รวมทั้งร้านขนมจริงจิตรแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
ร้านจริงจิตร มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมมลายู คือ มีลักษณะการวางผังแบบเรือนแถวจีนแต่มีการสร้างหลังคาและประดับลวดลายตกแต่งไม้ฉลุแบบมาลายู ผนังชั้นล่างเป็นผนังคอนกรีตหล่อด้วยไม้แบบเป็นชั้น ๆ ส่วนผนังชั้นบนเป็นผนังไม้ตีเกล็ดทางนอน ประตูด้านหน้าเป็นประตูบานเฟี้ยมและประตูบานเปิดไม้ผสมกัน มีลักษณะเป็นประตูกล คือ จะต้องมีการถอดสลักก่อนที่จะเปิดประตูได้ ช่องหน้าต่างเป็นบานเปิดไม้ ผนังชั้นล่างประดับช่องลมรูปแปดเหลี่ยมซึ่งเป็นอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบจีน ตัวอาคารแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ด้านหน้าใช้เป็นร้านขายขนม ส่วนด้านหลังใช้เป็นห้องครัว ด้านข้างเชื่อมต่อกับพื้นที่ทำขนมโดยมีที่ว่างสำหรับล้างอุปกรณ์ และมีบ่อน้ำสำหรับรองรับน้ำฝนที่ใช้ในหน้าแล้ง ตัวร้านชั้นบนใช้เป็นที่พักอาศัยมีระเบียงด้านหน้าประดับแผงกันสาดเป็นไม้ฉลุแบบมลายู ฝาภายในอาคารเป็นฝาไม้ตีซ้อนกันทางตั้ง อาคารยังคงสภาพความสมบูรณ์แบบดั้งเดิมอย่างครบถ้วน
ร้านจริงจิตร ได้รับการทำนุบำรุงซ่อมแซมมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวความคิดในการรักษาความเป็นของแท้ดั้งเดิมของตัวสถาปัตยกรรมเอาไว้ให้ครบถ้วนทั้งรูปแบบทางสถาปัตยกรรม วัสดุก่อสร้าง เทคนิคการก่อสร้าง และฝีมือช่าง โดยการอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมร้านจริงจิตรอย่างเข้าใจและมีส่วนร่วมของเจ้าของอาคารส่งผลให้ร้านจริงจิตรยังคงคุณค่าความสำคัญในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน และเป็นหนึ่งในแหล่งมรดกทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญของจังหวัด อีกทั้งยังเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความรุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจของเมือง รวมทั้งการสะท้อนถึงภูมิปัญญาแห่งฝีมือช่างชาวจีนจากอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน
ความคิดเห็นจากคณะกรรมการ
“การอนุรักษ์ร้านจริงจิตรแสดงให้เห็นถึงการรักษาสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ซึ่งเป็นตัวแทนของเรือนร้านค้าแบบดั้งเดิมที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ที่หาได้ยากในปัจจุบัน อาคารนี้ยังคงความแท้ในเรื่องของรูปทรงภายนอก องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม และตลอดจนพื้นที่ใช้สอยภายใน นับตั้งแต่เมื่อเริ่มเปิดดำเนินกิจการ ผู้ครอบครองดูแลรักษาอาคารอย่างสม่ำเสมอ โดยมีการเตรียมพร้อมในการซ่อมแซมโครงสร้างและองค์ประกอบต่าง ๆ มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยบางส่วน ตลอดจนเพิ่มอุปกรณ์อาคารเพื่อตอบสนองต่อการใช้สอยที่เปลี่ยนไปได้อย่างดี”





ระดับสมควรได้รับการเผยแพร่
เรือนซ้อ-หงษ์ ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่
อ่านเพิ่มเติม
เรือนซ้อ-หงษ์ ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่
- ที่ตั้ง ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ เลขที่ 187/11 ถนนวัวลาย ตำบลหายยา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
- สถาปนิก/ ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อผู้ออกแบบ สันนิษฐานว่าออกแบบและสร้างโดยช่างพื้นเมือง
- สถาปนิก/ ผู้ออกแบบอนุรักษ์ บริษัท ป่าเหนือสตูดิโอ จำกัด
- ผู้ครอบครอง คุณจุมพล ชุติมา ประธานศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2400
ประวัติ
เรือนซ้อ – หงษ์ เดิมเป็นบ้านพักอาศัยของนางเปียง แช่จัง บุตรสาวคนที่ 2 ของนายหน่อและนางสมแซ่แต่ ซึ่งนายหน่อเป็นบุตรคนที่ 8 นายซ้อและนางหงษ์ แซ่แต่ บรรพบุรุษต้นตระกูลหลวงอนุสารสุนทร บุคคลสำคัญของเมืองเชียงใหม่ ต่อมานายไหล่แมและนางบุญทอง ชุติมา ได้ขอซื้อเรือนหลังนี้มาจากลูกหลานของนางเปียง เนื่องจากเป็นญาติกัน โดยนายไหล่แม เป็นบุตรชายคนที่ 2 ของนายสุนโฮง ชุติมา พี่ชายนายสุ่นฮี้หรือหลวงอนุสารสุนทร ทั้งสองนั้นเป็นบุตรของนางแว่น แซ่แต่ บุตรคนที่ 5 ของนายซ้อและนางหงษ์ แซ่แต่ ภายหลังนายไหล่แมได้มอบเรือนหลังนี้ให้กับนายบวรและนางอุณณ์ ชุติมา ผู้เป็นบุตรและลูกสะใภ้ และเป็นผู้ก่อตั้งศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ในเวลาต่อมา เมื่อย้ายเรือนหลังนี้มาปลูกสร้างใหม่ที่ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ใน พ.ศ. 2514 และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นบ้านล้านนาใน พ.ศ. 2525 จึงตั้งชื่อเรือนตามชื่อของบรรพบุรุษต้นตระกูลของนางเปียง และนายไหล่แม คือ เรือนซ้อ – หงษ์ หลังจากนั้น ใน พ.ศ. 2537 ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ได้ปิดตัวพิพิธภัณฑ์ลง จนกระทั่งใน พ.ศ. 2554 ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ได้บูรณะเรือนให้กลับมามีสภาพที่งดงามอีกครั้ง ผ่านกรรมวิธีอนุรักษ์ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ควบคุมดูแลโดยสถาปนิกผู้ชำนาญการ และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์วิถีชีวิตและศิลปะพื้นบ้านล้านนาใน พ.ศ. 2555
เรือนซ้อ – หงษ์ เป็นเรือนไม้ใต้ยกถุนสูงสำหรับคหบดีชาวล้านนา ที่เรียกว่า “เรือนกาแล” หรือ “เรือนเชียงแสน” บางท้องถิ่นเรียก “เรือนสองหลังหน้าเปียง” ประดับตกแต่งหน้าจั่วหลังคาด้วยไม้กาแลที่แกะสลักงดงาม พื้นที่ใช้สอยของเรือนประกอบด้วยชานเรือน เติ๋น ห้องนอน และครัวไฟ โดยชานเรือนเป็นพื้นที่โล่ง ยาวขนานไปกับความยาวของห้องนอนและครัวไฟ ไม่มีหลังคาคลุม ปูพื้นด้วยไม้เนื้อแข็ง เว้นระยะห่างจากกันเพื่อไม่ให้น้ำฝนขัง ถัดจากพื้นที่ชานเรือนเป็นเติ๋น ยกพื้นสูงจากชานเรือนประมาณ 20 เซนติเมตร เป็นพื้นที่ส่วนหน้าของห้องนอน ภายใต้หลังคาคลุมมิดชิด และมีผนังล้อมรอบ 3 ด้าน เป็นพื้นที่สำหรับพระภิกษุสงฆ์ หรือจัดวางเครื่องพิธีกรรม ในยามปกติเป็นพื้นที่พักผ่อนของคนในครอบครัว ถัดจากเติ๋นเป็นห้องนอน ครอบคลุมพื้นที่เรือน 2 หลัง มีประตูทางเข้า 2 ทาง ด้านบนประตูประดับตกแต่งด้วยแผ่นไม้แกะสลักอันงดงาม ที่เรียกกันว่า “หำยนต์” เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว ภายในห้องนอน บรรยากาศจะมืดสลัวแม้ในเวลากลางวัน มีหน้าต่างขนาดเล็กที่มักจะไม่เปิด สมาชิกภายในเรือนจะนอนรวมกันในห้องนี้ โดยนอนชิดด้านใดด้านหนึ่งของเรือน แยกความเป็นส่วนตัวของแต่ละคนด้วยมุ้งหรือผ้ากั้ง อีกด้านหนึ่งจะใช้เก็บของใช้ส่วนตัวจำพวกเสื้อผ้า ของแต่งตัว บนหัวนอนมีสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของชาวล้านนา คือ หิ้งผีปูย่า ดังนั้นห้องนอนจึงเป็นพื้นที่สงวนไว้เฉพาะคนในครอบครัว และห้ามมิให้คนนอกล่วงล้ำเข้ามา ส่วนครัวไฟถูกแยกออกมาจากเรือนนอนอย่างเป็นสัดส่วน ด้านหน้าครัวไฟเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก สำหรับใช้ตระเตรียมเครื่องประกอบอาหาร และกินข้าวในสำรับขันโตก
เรือนซ้อ – หงษ์ เป็นตัวอย่างของการอนุรักษ์เรือนกาแลตามหลักวิชาการที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าความสำคัญของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นและความเหมาะสมต่อการใช้งานในปัจจุบัน ทำให้ เรือนซ้อ – หงษ์ สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับนักเรียน นักศึกษา คนในชุมชน และผู้ที่สนใจด้านประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม วิธีการอนุรักษ์ และวิถีชีวิตของคนในอดีตได้เป็นอย่างดี
ความคิดเห็นจากคณะกรรมการ
“การอนุรักษ์เรือนซ้อ – หงษ์ แสดงถึงความตั้งใจของผู้ครอบครองอาคาร ในการที่จะรักษาเรือนกาแลที่มีคุณค่าและหลงเหลืออยู่น้อยมากในปัจจุบัน อาคารหลังนี้ยังความแท้ในแง่ของรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและวัสดุดั้งเดิม การดำเนินงานอนุรักษ์ในอนาคตควรเพิ่มเติมกระบวนการอนุรักษ์ เพื่อให้การตัดสินใจเลือกวิธีอนุรักษ์และดูแลรักษาอาคารเป็นไปอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ควรมีการวางแผนจัดการอาคารและบริเวณโดยรอบในระยะยาว หากมีการก่อสร้างอาคารใหม่ในพื้นที่ใกล้เคียงควรพิจารณาเรื่องการออกแบบสถาปัตยกรรมการเว้นระยะห่าง และการออกแบบสภาพแวดล้อมโดยรอบให้ส่งเสริมคุณค่าของอาคารด้วย”






เรือนรักษ์รถไฟสูงเนิน
อ่านเพิ่มเติม
เรือนรักษ์รถไฟสูงเนิน
- ที่ตั้ง เลขที่ 604 – 605 และเลขที่ 606 – 608 หมู่ที่ 1 ตำบลสูงเนิน อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อสถาปนิกผู้ออกแบบ สันนิษฐานว่านายช่างชาวตะวันตกเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง
- สถาปนิกที่ปรึกษา ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปริญญา ชูแก้ว ที่ปรึกษา: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณภัต คณารักษ์เดโช (มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา) และนายรักชาติ กิริวัฒนศักดิ์ (ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอสูงเนิน และประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา)
- ผู้ครอบครอง การรถไฟแห่งประเทศไทย ดูแลรักษาโดย: กลุ่มอนุรักษ์สถานีรถไฟสูงเนิน
- ปีที่สร้าง ราว พ.ศ. 2443
ประวัติ
เรือนรักษ์รถไฟสูงเนิน ประกอบด้วยอาคาร 2 หลัง ถูกสร้างขึ้นพร้อม ๆ กับการสร้างอาคารสถานีรถไฟสูงเนินเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่รถไฟที่ปฏิบัติหน้าที่ที่สถานีรถไฟ โดยมีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังนี้
- 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2443 ชาวสูงเนินได้จัดพิธีรำถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 บริเวณหน้าเรือนรักษ์รถไฟสูงเนิน ในขณะที่รถไฟพระที่นั่งหยุดรับน้ำ รับฟืนเพื่อกลับพระนคร
- 12 มกราคม พ.ศ. 2446 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พร้อมด้วยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จโดยรถไฟพระที่นั่งประพาสเมืองโบราณในเมืองสูงเนิน สถานีรถไฟ และเรือนรักษ์รถไฟสูงเนิน
- 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 ชาวสูงเนินเฝ้ารับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง บริเวณสถานีรถไฟและเรือนรักษ์รถไฟสูงเนิน เมื่อคราวเสด็จเยี่ยมราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งแรก
เรือนรักษ์รถไฟสูงเนินใช้เป็นบ้านพักเจ้าหน้าที่รถไฟเรื่อยมา จนกระทั่งมีการสร้างบ้านพักหลังใหม่ เรือนรักษ์รถไฟสูงเนิน จึงถูกทิ้งร้างและอยู่ในสภาพทรุดโทรม ต่อมาระหว่างวันที่ 13 – 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 อาจารย์ และนักศึกษาสาขาสถาปัตยกรรมจากหลายมหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันสำรวจสถาปัตยกรรมแบบพื้นถิ่น (Vernacular Documentation) ของอาคารสถานีรถไฟสูงเนิน ถังเก็บน้ำรถจักร ร้านบาร์ อาคารเก็บอุปกรณ์ บ้านพักนายสถานี และเรือนรักษ์รถไฟสูงเนิน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้า คุณทหารลาดกระบัง และสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการทำงาน จากกลุ่มอนุรักษ์สถานีรถไฟสูงเนิน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการปรับปรุงฟื้นฟูแบบมีส่วนร่วม จากนั้นจึงมีการปรับปรุงฟื้นฟูอาคารโดยยึดตามรูปแบบดั้งเดิมให้มากที่สุด มีการซ่อมแซมโครงสร้างหลังคา และเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคา ทำการขัด ทำความสะอาดอาคารและทาสีรักษาเนื้อไม้ สร้างทางเดินไม้เชื่อมอาคารทั้ง 2 หลังเข้าด้วยกัน และปรับปรุงพื้นที่โดยรอบให้มีความสวยงาม
เรือนรักษ์รถไฟสูงเนิน เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง 1.50 เมตร โครงสร้างอาคารตั้งอยู่บนเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก รูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบเรียบง่าย หลังคาทรงจั่วมุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว ฝาผนัง พื้น ประตู หน้าต่าง ฝ้าเพดาน และบันไดเป็นไม้ อาคารหลังที่ 1 ประกอบด้วยส่วนทางขึ้นบ้านและชานบ้าน และส่วนพักอาศัยเดิม แบ่งออกเป็น 3 ห้อง มีผนังกั้นระหว่างห้อง ทั้งสองส่วนมีหลังคาทรงจั่วคลุมตลอดแนวอาคาร อาคารหลังที่ 2 ประกอบด้วยส่วนพักอาศัยเดิม แบ่งออกเป็น 3 ห้อง มีผนังกั้นระหว่างห้อง และชานบ้าน ทั้งสองส่วนมีหลังคาทรงจั่วคลุมตลอดแนวอาคาร ถัดจากส่วนพักอาศัยเดิมและชานบ้านเป็นชานเชื่อมนอกบ้าน ไม่มีหลังคาคลุม ถัดจากชานนอกบ้านเป็นส่วนครัวเดิม แบ่งออกเป็น 3 ห้อง มีผนังกั้นระหว่างห้อง ส่วนครัวเดิมมีหลังคาทรงจั่วคลุมตลอดแนวอาคาร พื้นที่ภายในอาคารทั้ง 2 หลัง จัดแสดงเรื่องราวสถานีรถไฟสูงเนิน โบราณสถานเมืองเสมา และประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชนสูงเนิน
เรือนรักษ์รถไฟสูงเนิน ได้รับการอนุรักษ์ตามหลักวิชาการตั้งแต่การระบุคุณค่าความสำคัญในด้านต่าง ๆ การบันทึกคุณค่าความสำคัญ การประเมินความแท้และบูรณภาพ การตัดสินใจเลือกวิธีอนุรักษ์ และการนำสู่การปฏิบัติ ซึ่งในการดำเนินการในแต่ละขั้นตอนนั้นขึ้นอยู่กับบุคลากร เวลา และงบประมาณที่สามารถหามาได้ ถือเป็นตัวอย่างของความพยายามในการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนเพื่อที่จะรักษามรดกทางสถาปัตยกรรมท้องถิ่น และต่อยอดไปสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้ของทุกคน
ความคิดเห็นจากคณะกรรมการ
“เป็นโครงการที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของภาคประชาชนในพื้นที่ ที่ร่วมกันอนุรักษ์อาคารเก่าของการรถไฟที่มีคุณค่าทางจิตใจของคนในชุมชน และพื้นที่บริเวณโดยรอบสถานีรถไฟที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไว้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นตัวอย่างให้กับการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมลักษณะเดียวกันในพื้นที่แห่งอื่น แม้ว่าการอนุรักษ์จะยังมิได้ดำเนินไปอย่างเต็มรูปแบบตามกระบวนการที่สมบูรณ์ ก็ยังสามารถรักษาความแท้และเทคนิคงานไม้ดั้งเดิมของอาคารที่น่าสนใจไว้ได้ค่อนข้างดี จึงควรเพิ่มเติมกระบวนการออกแบบอนุรักษ์และการวางแผนจัดการทั้งอาคารและบริเวณโดยรอบในระยะยาว โดยควรดำเนินการร่วมกับการรถไฟเจ้าของพื้นที่และหน่วยงานภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ และประโยชน์สูงสุดในการรักษาคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่แห่งนี้ต่อไป”







บ้านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
อ่านเพิ่มเติม
บ้านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
- ที่ตั้ง เลขที่ 134 ถนนนครสวรรค์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก/ ผู้ออกแบบ นายมาริโอ ตามาญโญ (Mr. Mario Tamagno)
- สถาปนิก/ ผู้ออกแบบอนุรักษ์ คุณอะเล็กซานเดอร์ สรรประดิษฐ์ คุณธีรัช ชูชาญชัย คุณภาณุกิตติ์ ภราดร์นุวัฒน์
- ผู้ครอบครอง คุณพงศ์พรหม ยามะรัต
- คุณซูซานน่า ตันเต็มทรัพย์
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2442
ประวัติ
บ้านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี สร้างขึ้นโดยพระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ์) เพื่อเป็นเรือนหอของคุณถวิล บุตรีคนโตของพระยาศรีภูริปรีชา กับนายสนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา (เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี) ผู้เป็นคนวางรากฐานด้านการศึกษาของประเทศไทย และเป็นผู้ริเริ่มให้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ เมื่อเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีลาออกจากราชการ ท่านและบุตรสาวได้ใช้ที่ดินแปลงข้างกันมาเปิดเป็นโรงเรียนสตรีจุลนาคใน พ.ศ. 2469 หลังจากเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีถึงแก่อสัญกรรม ทายาทเห็นถึงความแออัดของนักเรียนในโรงเรียน จึงอนุญาตให้ทางโรงเรียนเข้ามาใช้พื้นที่ชั้นล่างของบ้านในกิจการของทางโรงเรียน ต่อมาใน พ.ศ. 2561 ทายาทของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีร่วมกับ Creative Migration องค์การไม่แสวงหาผลกำไรทางด้านศิลปะ และมูลนิธิ Rockefeller ในกองทุนของบริษัท Ford Motor ช่วยกันปรับปรุงฟื้นฟูบ้านเพื่อเป็นศูนย์กลาง ในการแลกเปลี่ยนทางด้านสังคมและวัฒนธรรมภายใต้ชื่อของโครงการ “BANGKOK 1899”
บ้านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เป็นอาคาร 2 ชั้น รูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบ นีโอ – คลาสสิก (Neo – Classic) ที่มีการดัดแปลงให้เข้ากับภูมิอากาศในเขตร้อนชื้นของไทย โครงสร้างชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นไม้ หลังคาทรงปั้นหยามุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว ตัวอาคารยกสูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร มีช่องลมที่ชั้นใต้ถุนเพื่อระบายความชื้น เสา คาน ซุ้มประตู หน้าต่าง และช่องลมตกแต่งประดับด้วยลายปูนปั้นสวยงาม จุดเด่นของบ้านอยู่ที่หอสูงบริเวณชั้น 3 เป็นแกนนำสายตาด้านหน้าอาคาร ปัจจุบันพื้นที่ชั้นล่างประกอบด้วยร้านกาแฟ พื้นที่สวนสาธารณะ และพื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการ ส่วนพื้นที่ชั้นบนประกอบด้วยพื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการ ที่พักสำหรับศิลปินนานาชาติ และสำนักงานของโครงการ
บ้านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เป็นตัวอย่างของการปรับปรุงฟื้นฟูบ้านพักอาศัยของขุนนางในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่สามารถรักษารูปแบบดั้งเดิมของอาคารเอาไว้ได้ รวมทั้งสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สามารถนำรายได้มาใช้ในการบำรุงรักษา และสืบทอดมรดกสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่านี้ต่อไป
ความคิดเห็นจากคณะกรรมการ
“บ้านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์เป็นอาคารที่มีคุณค่าทั้งทางสถาปัตยกรรมและทางประวัติศาสตร์ การอนุรักษ์ซ่อมแซมองค์ประกอบอาคารทำได้ค่อนข้างดี เพื่อการนำมาประยุกต์ใช้กับกิจกรรมใหม่ ๆ ในปัจจุบัน ซึ่งผลจากการอนุรักษ์แบบเบื้องต้นนี้ได้ส่งผลดีต่อสังคมและชุมชนโดยรอบ ในการอนุรักษ์ในลำดับต่อไป ควรพิจารณาเรื่องกระบวนการศึกษาข้อมูลเบื้องต้น วิเคราะห์รูปแบบและวัสดุของอาคารในช่วงเวลาต่าง ๆ ต้นเหตุของการเสื่อมสภาพและวิธีแก้ไขที่เหมาะสมและยั่งยืน”








อาคารสโมสร ราชกรีฑาสโมสร
อ่านเพิ่มเติม
อาคารสโมสร ราชกรีฑาสโมสร
- ที่ตั้ง เลขที่ 1 ถนนอังรีดูนังต์ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ เอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ (Edward Healey)
- สถาปนิกอนุรักษ์ –
- ผู้ครอบครอง สมาคมราชกรีฑาสโมสร
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2458
ประวัติ
อาคารสโมสร ราชกรีฑาสโมสร ตั้งอยู่ที่ถนนสนามม้า (ถนนอังรีดูนังต์) สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. 2458 เพื่อทดแทนอาคารสโมสรหลังเดิม ซึ่งเป็นสโมสรกีฬาสำหรับชนชั้นสูงในพระนคร ทั้งชาวต่างประเทศและชาวสยามมาตั้งแต่พ.ศ. 2440 มีนายเอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ (Edward Healey) เป็นสถาปนิก นายกอลโล (E. G. Gollo) เป็นวิศวกร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคาร ในวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458
อาคารสโมสร ราชกรีฑาสโมสร เป็นตึกสูงสองชั้น มีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวขนานกับสนามแข่งม้า มีลักษณะแบบสมมาตร ตรงกลางอาคารด้านตะวันตก (ด้านถนนสนามม้า) เป็นโถงทางเข้า มีโถงบันไดขึ้นไปชั้นสอง ซึ่งทำอาคารส่วนกลางให้สูงกว่าส่วนปีกสองข้าง ด้านตะวันออกชั้นสองทำเฉลียงโล่งมีหลังคาคลุมสำหรับชมการแข่งม้า เน้นช่วงเสากลางมุขด้วยแนวเสาคู่ ตรงกลางมีระเบียง (balcony) ยื่นออกมา เป็นบริเวณที่ใช้เป็นที่ประทับเมื่อมีการเสด็จฯ ทอดพระเนตรกีฬาต่างๆ ส่วนปีกอาคารประกอบด้วยห้องต่างๆ เช่น ห้องอาหาร ห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เป็นต้น ลักษณะเด่นได้แก่การใช้โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กที่ทันสมัยและประณีต ช่วงพาดกว้าง เสาและคานมีขนาดเล็ก ตกแต่งรอยต่อเสาและคานเป็นลายบัวแบบไทยประยุกต์ หลังคาคอนกรีตแบน มีหลังคาปั้นหยาคอนกรีตซ้อนอีกชั้นหนึ่ง ชายคารอบอาคารทำเป็นแผ่นคอนกรีตบาง ยื่นยาวรอบตัวอาคาร
อาคารสโมสร ราชกรีฑาสโมสร เป็นอาคารโบราณสถานที่มีคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม ที่สมควรเผยแพร่ให้เป็นที่ประจักษ์และอนุรักษ์ไว้ในฐานะแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญของชาติต่อไป
ความคิดเห็นจากคณะกรรมการ
“เป็นอาคารที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดอาคาร มีประวัติความเป็นมาควบคู่กันมากับราชกรีฑาสโมสร ซึ่งเป็นประจักษ์พยานของการพัฒนากีฬาแบบสากล และเป็นสนามแข่งม้าแห่งแรกของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีความสำคัญทางด้านสถาปัตยกรรมจากการที่ได้รับการออกแบบอย่างดี โดยช่างฝรั่งผู้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมของชาติ มีศักยภาพในการดำเนินการอนุรักษ์ให้นำมาใช้ประโยชน์ตามที่ต้องการในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยยังรักษาคุณค่าที่ควรได้รับการเผยแพร่นี้ไว้ได้ จึงขอเป็นกำลังใจให้มีการอนุรักษ์ตามขั้นตอนกระบวนการที่ครบถ้วนต่อไป”





บ้านยิ่นเต่ง
อ่านเพิ่มเติม
บ้านยิ่นเต่ง
- ที่ตั้ง เลขที่ 96 ถนนวิชิตสงคราม ตำบลกะทู้ อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อสถาปนิกผู้ออกแบบ สันนิษฐานว่าชาวจีนฮกเกี้ยนที่เข้ามาดำเนินกิจการเหมืองแร่ดีบุกเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง
- สถาปนิกที่ปรึกษา คุณอาภาภรณ์ วงศ์ลักษณพันธ์
- ผู้ครอบครอง คุณชุติมา เจริญผล
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2449
ประวัติ
บ้านยิ่นเต่ง สร้างโดยนายยิ่นเต่ง เจริญผล (เดิม แซ่หลิม) ชาวจีนฮกเกี้ยนจากปีนัง ที่เข้ามาทำกิจการเรือขุดแร่ดีบุกกับบริษัทเรือขุดแร่ต่างชาติ (ในอดีตเรียก เรือขาว เรือแดง) ในพื้นที่ในทู (ตำบลกะทู้) ต่อมาได้ตั้งรกรากและสร้างบ้านในพื้นที่บ้านของภรรยา คือ นางหลุย แซ่โก๊ย ชาวไทยจีนลูกผสม (บาบ๋า) โดยนำรูปแบบสถาปัตยกรรมจากปีนัง ซึ่งมีลักษณะเป็นบ้านพักอาศัยขนาดใหญ่ (อั่งหม่อหลาว) ที่ได้รับอิทธิพลศิลปสถาปัตยกรรมจีนผสมผสานตะวันตก นับได้ว่าเป็นอั่งหม่อหลาวครึ่งไม้ครึ่งปูนเพียงหลังเดียวในพื้นที่ ที่ตั้งของบ้านยิ่นเต่งเชื่อมต่อกับพื้นที่ของศาลเจ้ากะทู้ ซึ่งเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่สำคัญของจังหวัดภูเก็ต โดยมีการบันทึกถึงการบริจาคที่ดินของครอบครัวนายยิ่นเต่ง เจริญผลให้แก่ศาลเจ้ากะทู้ แสดงถึงความสัมพันธ์ของกลุ่มวัฒนธรรม ความเชื่อ และกลุ่มเครือข่ายชาวจีนภายในย่านชุมชนนี้ นอกจากใช้เป็นบ้านพักอาศัยอาศัย ในอดีตยังใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงสังสรรค์ รับรองบรรดาข้าราชการ และกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจเหมืองแร่ดีบุกในเมืองกะทู้ ซึ่งยังมีหลักฐานปรากฏอยู่ คือ แผ่นป้ายประกาศเกียรติคุณโลหะที่มอบโดยรัฐติดอยู่บริเวณด้านหน้าของประตูบ้าน และมีการสร้างหลุมหลบภัยขนาดใหญ่ไว้บริเวณหน้าบ้าน สามารถเข้าออกได้ 2 ทาง สำหรับให้คนในพื้นที่มาอาศัยหลบภัยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยเนื่องจากได้มีการขุดกลบพื้นที่ดังกล่าว เพื่อหาแร่ตะกรันจนไม่อาจระบุตำแหน่งที่ชัดเจนได้ ปัจจุบันบ้านยิ่นเต่งใช้เป็นบ้านพักอาศัย มีการเปิดบ้านในวาระและโอกาสพิเศษเพื่อให้ผู้คน นักเรียน และนักศึกษาที่สนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานชาวจีน และการทำแร่ดีบุก วัฒนธรรมจีนบาบ๋า และงานสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นได้เข้ามาศึกษาและเยี่ยมชม บ้านยิ่นเต่งจึงเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนและจังหวัดภูเก็ตที่น่าสนใจ
บ้านยิ่นเต่ง เป็นอาคารลักษณะสมมาตร 2 หลังเชื่อมต่อกัน อาคารส่วนหน้าสูง 2 ชั้น กว้าง 3 ช่วงเสา ช่วงเสาตรงกลางเป็นมุขยื่นออกมาคลุมโถงทางเข้า หลังคาหลักเป็นทรงปั้นหยา ส่วนหลังคามุขยื่นเป็นหลังคาทรงจั่ว ทั้งหมดมุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว พื้นที่ชั้นล่างเป็นโถงขนาดใหญ่ตั้งหิ้งบูชาเทพเจ้าประจำตระกูล เชื่อมต่อกับห้องนอนซึ่งตั้งอยู่บริเวณปีกอาคารทั้ง 2 ข้าง มีการใช้ผนังลับแลกั้นระหว่างโถง บันไดภายใน และอาคารครัวซึ่งอยู่ด้านหลัง พื้นที่ชั้นบนมีการแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คือ โถงบันไดขนาดเล็กเชื่อมต่อกับระเบียงส่วนกลางและห้องนอนเล็ก และบริเวณส่วนด้านหน้ามีลักษณะเป็นโถงขนาดกลางสำหรับนั่งเล่นและเชื่อมกับห้องนอนขนาดใหญ่ทั้ง 2 ฝั่งของอาคาร อาคารส่วนหลังสูง 1 ชั้น เป็นอาคารครัวขนาดใหญ่ ภายในมีการเว้นช่องแสงบริเวณหลังคา เรียกว่า ช่องฉิ่มแจ้ และมีการสร้างเตาแบบจีน (เตาโพ) ขนาดใหญ่ ซึ่งมีมากถึง 4 หลุม เป็นลักษณะเฉพาะที่พบได้ในบ้านเรือนของกลุ่มชาวจีนในแถบนี้
บ้านยิ่นเต่ง ได้รับการการปรับปรุงซ่อมแซมโดยอ้างอิงจากภาพถ่ายเก่า รวมถึงคำบอกเล่าของคนที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ ทำให้สามารถรักษาโครงสร้าง สัดส่วน และองค์ประกอบอาคาร พื้นที่ใช้งานภายใน และพื้นที่ทางความเชื่อเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตได้มีการสำรวจ รังวัด จัดแสดงหุ่นจำลองบ้านยิ่นเต่ง และประวัติบ้านไว้ที่พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ภูเก็ต ถือเป็นตัวอย่างของการเผยแพร่ข้อมูลมรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กับผู้ที่สนใจได้เรียนรู้ที่น่าชื่นชม
ความคิดเห็นจากคณะกรรมการ
“บ้านยิ่นเต่งเป็นอาคารอั่งหม่อหลาว (บ้านทรงฝรั่งแบบชิโนยูโรเปียนของชาวจีนฮกเกี้ยน) ที่ยังคงเหลืออยู่ในอำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต จึงมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน การอนุรักษ์บ้านหลังนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของผู้ครอบครองอาคารในการรักษาสภาพเดิมของอาคารไว้ พื้นที่ภายในแสดงการอยู่อาศัยแบบเดิมผสมผสานการใช้งานใหม่ในการเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นได้ค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาเรื่องการดูแลรักษาบรรยากาศของสภาพโดยรอบ การซ่อมแซม การใช้วัสดุทดแทน เช่น วัสดุมุงหลังคา รวมถึงการใส่องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมใหม่แทนองค์ประกอบเดิม ที่จะไม่ทำให้องค์ประกอบเดิมเสียความสมบูรณ์”






ประเภท ข. งานออกแบบใหม่ในบริบทการอนุุรักษ์
ไม่มีผู้ที่สมควรได้รับรางวัลในปีนี้
ประเภท ค. บุคคลหรือองค์กร อนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม
นายกฤชทิพย์ ศิริรัตน์ธำรงค์
อ่านเพิ่มเติม
นายกฤชทิพย์ ศิริรัตน์ธำรงค์
“คุณกฤชทิพย์ ศิริรัตน์ธำรง เป็นสถาปนิกอนุรักษ์อาวุโส ที่มีผลงานการออกแบบอนุรักษ์อาคารที่มีคุณค่าระดับสูง จนเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับชาติและระดับสากล ท่านมีประสบการณ์ความชำนาญในงานอนุรักษ์สถาปัตยกรรม นับตั้งแต่ พระราชวัง วัง อาคารสถาบัน และสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นดำเนินงานอนุรักษ์โดยเน้นกระบวนการศึกษา การสำรวจ และการวิจัยอย่างลึกซึ้ง เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง จนนำไปสู่งานการบูรณะและปรับปรุงอาคารที่รอบคอบรัดกุม สอดคล้องกับหลักการและหลักฐานตามกระบวนการศึกษาที่ถูกต้อง
คุณกฤชทิพย์ ศิริรัตน์ธำรง เป็นสถาปนิกไทยที่ก่อตั้งบริษัท เดียบอร์น สตรีท ดีไซน์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่ดำเนินงานด้านการออกแบบอนุรักษ์สถาปัตยกรรมแบบสากลในภาคเอกชนขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย โดยคุณกฤชทิพย์ยังได้นำองค์ความรู้ ประสบการณ์และเทคนิคการออกแบบอนุรักษ์มาถ่ายทอดให้แก่สถาปนิกไทยในรุ่นต่อมา ทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มการจัดทำเอกสารการสำรวจสภาพปัจจุบันของอาคาร เอกสารข้อเสนอการออกแบบ และเอกสารงานก่อสร้างสำหรับภาคเอกชน ตลอดจนบูรณาการการทำงานระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ จนส่งผลให้การปฏิบัติวิชาชีพด้านการอนุรักษ์งานสถาปัตยกรรมได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
ประวัติ
ประวัติการศึกษาและการทำงาน
- สถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2516
- สถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต University of Michigan – Ann Arbor มลรัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2518
- ก่อตั้งสำนักงานออกแบบ HPZS เมืองชิคาโก มลรัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2530
- ก่อตั้งบริษัท เดียบอร์น สตรีท ดีไซน์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2536
- กรรมการมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานพระราชวังเดิม พ.ศ. 2539 – ปัจจุบัน
- อนุกรรมาธิการวิสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการผังเมือง และการใช้พื้นที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2557 – 2558
คุณกฤชทิพย์ ศิริรัตน์ธำรงค์ เป็นสถาปนิกอนุรักษ์ระดับอาวุโสของไทยที่ปฏิบัติงานอนุรักษ์ในระดับสากลและระดับชาติจนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ มีผลงานบูรณะอาคารประวัติศาสตร์ที่มีคุณค่าและความสำคัญระดับสูงโดยเฉพาะการพระราชวัง วัง อาคารสถาบัน ตลอดจนงานสถาปัตยกรรมแห่งยุคที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงซึ่งต้องการความละเอียดรอบคอบในงานออกแบบเพื่อการอนุรักษ์ และต้องใช้ประสบการณ์จากทีมงานที่มีองค์ความรู้ครบถ้วน เช่น Dana Thomas House, Springfield, Illinois (ผลงานการออกแบบของ Frank Lloyd Wright) The Peoples Saving Bank, Cedar Rapids, Iowa (ผลงานการออกแบบของ Louis H. Sullivan) วังเชียงแก้ว (เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) พระราชวังเดิมกรุงธนบุรี (กรุงเทพมหานคร) พระราชวังพญาไท (กรุงเทพมหานคร) และค่ายตากสิน (จังหวัดจันทบุรี)
คุณกฤชทิพย์ ศิริรัตน์ธำรงค์ ได้รับรางวัลเกียรติยศหลายครั้งจากการทำงานอนุรักษ์อาคารประวัติศาสตร์ เช่น รางวัล Distinguished Restoration Award 1991 โดย The Chicago Chapter of The American Institute of Architects รางวัล National Historic Restoration Award 1991 โดย The President of the United States รางวัล Rehabilitation Award 1992 โดย The President of the United States และรางวัล Award of Merit 2004 โดย UNESCO Asia – Pacific Heritage Awards for Cultural Heritage Conservation
คุณกฤชทิพย์ ศิริรัตน์ธำรงค์ มีประสบการณ์ทำงานมายาวนานและหลากหลายภูมิภาค ประกอบกับเป็นผู้ก่อตั้งและบริหารบริษัทสถาปนิกอนุรักษ์ในประเทศสหรัฐอเมริกา และบริษัทสถาปนิกอนุรักษ์แห่งแรกในประเทศไทย บริษัท เดียบอร์น สตรีท ดีไซน์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ท่านจึงมีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานอนุรักษ์ทุกรูปแบบและทุกขั้นตอน ดังนี้
- การบริหารจัดการองค์กร/ สำนักงานออกแบบอนุรักษ์สถาปัตยกรรม
- การวางแผน กำหนดแนวคิดและรายละเอียดของโครงการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม
- การสำรวจ วิจัย ค้นคว้า และจัดเก็บข้อมูลอาคารประวัติศาสตร์ตามระบบการปฏิบัติงานแบบสากล
- การวิเคราะห์และออกแบบรายละเอียดเพื่อการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม
- การบริหารงานก่อสร้างและให้คำปรึกษาด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม
- การประสานความร่วมมือและถ่ายทอดองค์ความรู้ ตลอดจนเทคโนโลยีในการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมจากต่างประเทศ

หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวนสระบุรี ก่อตั้งโดย นายทรงชัย วรรณกุล
อ่านเพิ่มเติม
หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวนสระบุรี ก่อตั้งโดย นายทรงชัย วรรณกุล
ประวัติ
“หอวัฒนธรรมพื้นบ้าน ไทยวนสระบุรี ก่อตั้งขึ้นโดย อาจารย์ทรงชัย วรรณกุล ปราชญ์ชาวบ้าน ชาวไทยวนที่จังหวัดสระบุรี เป็นองค์กรที่มีเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสืบสานในเรื่องมรดกวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ใช้จัดฝึกอบรมและประกอบกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมในรูปแบบต่าง ๆ โดยใช้สถานที่ซึ่งสร้างขึ้นมาจากการอนุรักษ์เรือนไทยภาคกลางที่รวบรวมมาจากที่ต่าง ๆ มีเรือนริมน้ำที่ใช้เก็บรักษารวบรวม เรือขุดของแถบลุ่มแม่น้ำป่าสักที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยให้ความสำคัญกับการสืบสานภูมิปัญญาช่างไม้ดั้งเดิมให้ยังคงอยู่ และมีการเผยแพร่ให้ความรู้แก่ผู้สนใจ จนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้งานสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นของภาคกลางที่สำคัญในปัจจุบัน”
หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวนสระบุรี ก่อตั้งโดย นายทรงชัย วรรณกุล ตั้งอยู่ในพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ริมแม่น้ำป่าสัก หมู่ 6 ตำบลดาวเรือง อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี เปิดให้ผู้ที่สนใจได้เข้าเยี่ยมชมอย่างไม่เป็นทางการใน พ.ศ. 2530 ต่อมาได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Think Earth ของสยามกลการ จัดตั้งเป็นหอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวนสระบุรีใน พ.ศ. 2536 และมีพิธีเปิดเป็นทางการใน พ.ศ. 2542 โดยมีวัตถุประสงค์ คือ
- เพื่ออนุรักษ์สถาปัตยกรรมบ้านเรือนไทยเดิมที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ตามแบบฉบับเรือนไทยเดิมภาคกลางที่ผสมผสานวัฒนธรรมของภาคเหนือตามพื้นถิ่นดั้งเดิมของคนไทยวน
- เป็นแหล่งเรียนรู้ที่เปิดให้นิสิต นักศึกษา หรือผู้ที่สนใจได้เข้ามาเรียนรู้ในงานสถาปัตยกรรมไทย
- เพื่อสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปวัฒนธรรม วิถีความเป็นอยู่ของชาวไทยวน ภาษา และการแต่งกายให้คงอยู่สืบไป และถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่น
- เพื่อเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้มีโอกาสสัมผัสวิถีความเป็นอยู่ริมน้ำของชาวไทยวนสระบุรีในสมัยโบราณ
- เป็นจุดศูนย์กลางให้คนในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยวน
- เพื่อให้ชาติพันธุ์ไทยวน ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม และวิถีความเป็นอยู่ยังคงอยู่สืบไป
หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวนสระบุรี ก่อตั้งโดย นายทรงชัย วรรณกุล เป็นกลุ่มอาคารเรือนไทยหลายหลังเชื่อมต่อกันด้วยชานบ้านและทางเดิน โดยเรือนหลังแรก คือ เรือนไทยเรือนกลาง ใต้ถุนเรือนเป็นพื้นที่เอนกประสงค์สำหรับให้ชาวบ้านมาทำกิจกรรมร่วมกันในวันสำคัญหรืองานประเพณี และเป็นพื้นที่ต้อนรับผู้มาเยี่ยมชมสถานที่ พื้นที่ชั้น 2 ของเรือน จัดแสดงแสดงสิ่งของเครื่องใช้ของไทยวนในสมัยก่อนที่อาจารย์ทรงชัยเป็นผู้สะสม เช่น ผ้าซิ่น ตู้ไม้โบราณ และเตียงไม้ รวมถึงยังเป็นห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยว และเป็นสถานที่ให้เช่าสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ ส่วนชานบ้าน เป็นพื้นที่กว้างขวาง ไม่มีหลังคาคลุม เชื่อมไปถึงแม่น้ำ เป็นพื้นที่จัดเลี้ยงและรับรองงานประเพณีต่าง ๆ ต่อมาได้มีการขยายและปลูกเรือนเพิ่มอีกหลายหลังเพื่อรองรับผู้ที่มาร่วมกิจกรรม ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่อาจารย์ทรงชัยถึงแก่กรรมใน พ.ศ. 2561 คุณกิตติมา ดิษฐคลึ บุตรีของอาจารย์ทรงชัยได้เข้ามาดูแลบริหารจัดการจนถึงปัจจุบัน
หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวนสระบุรี ก่อตั้งโดย นายทรงชัย วรรณกุล เป็นตัวอย่างขององค์กรภาคประชาชนที่สนับสนุนการอนุรักษ์และต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมโดยผ่านกิจกรรมงานประเพณีโบราณ งานบุญ และงานพิธีต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่าน ซึ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ยังคงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของคนในพื้นที่และผู้มาเยี่ยมเยือนได้มาพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกันตรงตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของนายทรงชัยที่ได้วางไว้






วิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยว ชุมชนบ้านปรางค์นคร จังหวัดนครราชสีมา
อ่านเพิ่มเติม
วิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยว ชุมชนบ้านปรางค์นคร
“วิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวชุมชนบ้านปรางค์นคร เป็นองค์กรที่ดำเนินงานเรื่องการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ของชุมชนบ้านปรางค์นคร ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบราณสถานปรางค์บ้านปรางค์ เทวาลัยในศิลปะขอม โดยได้จุดประกายให้คนในชุมชนได้เห็นคุณค่าของเรือนไม้พื้นถิ่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือนในลักษณะเรือนโคราช ในฐานะอัตลักษณ์สำคัญที่ควรจะต้องช่วยกันรักษาไว้ร่วมกับมรดกทางวัฒนธรรมประเพณีในด้านอื่น ๆ ของชาวไทยโคราช แม้จะเริ่มต้นจากเป้าหมายทางด้านการท่องเที่ยว แต่กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็ได้สนับสนุนให้เกิดการอนุรักษ์บ้านเรือนต่าง ๆ ในชุมชนขึ้น และเปิดเป็นพื้นที่เรียนรู้ให้แก่นักท่องเที่ยวและผู้สนใจโดยทั่วไป โดยเป็นการอนุรักษ์อย่างค่อยเป็นค่อยไปตามกำลังและความสมัครใจของผู้ที่เป็นเจ้าของเรือนโบราณแต่ละหลัง ในการดำเนินงานอนุรักษ์ในอนาคต ควรเพิ่มเติมกระบวนการอนุรักษ์ และการวางแผนการจัดการโดยภาพรวมในระยะยาว โดยอาจประสานการทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมในท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง”
วิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยว ชุมชนบ้านปรางค์นคร ตั้งอยู่ในอำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยดั้งเดิมที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมา อาคารและสิ่งปลูกสร้าง อาหาร ประเพณี และวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวควรค่าแก่การอนุรักษ์ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยจุดเริ่มต้นการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการของชาวบ้านนั้น เกิดขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2561 เมื่อชุมชนบ้านปรางค์ได้รับการคัดเลือกเป็นชุมชน OTOP นวัตวิถี จากพัฒนาชุมชนอำเภอคง ต่อมา พ.ศ. 2562 ชุมชนบ้านปรางค์ได้เข้าร่วมโครงการ “GSB Smart Homestay” ของธนาคารออมสิน ซึ่งทั้ง 2 โครงการ ทำให้ชาวบ้านรู้จักและเข้าใจถึงคุณค่าของภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมของตนเองมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีการปรับปรุงบ้านเรือน และชะลอการรื้อถอน บ้านเรือนบางหลังที่เจ้าของไม่ได้อยู่ในพื้นที่ปล่อยให้ผุพังก็มีการอนุญาตให้ใช้งานและนำไปปรับปรุงฟื้นฟูเพื่อใช้ในการศึกษาเรียนรู้ หลังจากนั้น มีการปรึกษาหารือและทำงานร่วมกันระหว่างชุมชน ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคมจนนำไปสู่การจัดกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย
- การให้ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวประวัติศาสตร์ความเป็นมา และสถาปัตยกรรมของชุมชน
- การจัดตั้งคณะกรรมการชุมชนเพื่อการอนุรักษ์ และมีการประชุมวางแผนการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ
- การจัดกิจกรรมสื่อสารเพื่อประชาสัมพันธ์ให้บุคคลภายนอก นักท่องเที่ยว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับชุมชน
- การจัดกิจกรรมโดยใช้พื้นที่ที่มีการอนุรักษ์เพื่อสร้างรายได้ในชุมชน
วิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยว ชุมชนบ้านปรางค์นคร เป็นตัวอย่างของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการมีส่วนร่วมโดยยึดหลักการมีส่วนร่วมทั้งในระดับการมีส่วนร่วม ขั้นตอนการมีส่วนร่วม และหลักความครอบคลุมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผลงานเชิงประจักษ์ คือ การรวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ ของชุมชน โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นแบบ เรือนโคราช ทั้งในด้านวิวัฒนาการของเรือน คติความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีความเป็นอยู่ ตลอดจนสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ จนนำไปสู่การอนุรักษ์อาคาร และพัฒนาเป็นพื้นที่เรียนรู้ ด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนโคราชให้แก่นักเรียน นักศึกษา และผู้สนใจ รวมทั้งเป็นพื้นที่สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านผ่านกิจกรรมถนนคนเดิน ตลาดไทยโคราช จำหน่ายสินค้าท้องถิ่นให้แก่คนในชุมชน และนักท่องเที่ยว




