พ.ศ. 2551

อาคารฟองหลี

อ่านเพิ่มเติม

อาคารฟองหลี

  • ที่ตั้ง ตำบลสวนดอก อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ เจ้าสัวฟอง ผู้ออกแบบอนุรักษ์ กิติศักดิ์ เฮงษฎีกุล และบริษัท คอมโพซิชั่น เอ จำกัด
  • ผู้ครอบครอง กิติศักดิ์ เฮงษฎีกุล และทายาทตระกูล สุรวิชัย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2434 – 2444
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551

ประวัติ

อาคารฟองหลีสร้างโดย จีนฟอง หรือเจ้าสัวฟอง ผู้ซึ่งได้รับสัมปทานป่าไม้ ทั้งยังเป็นเจ้าภาษีนายอากรฝิ่นและสุรา ของเมืองลำปาง นับเป็นชาวจีนที่มีฐานะดีที่สุด เจ้าสัวฟองยังสนิทสนมกับเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้ายซึ่งได้ตั้งนามสกุลให้เจ้าสัวฟองว่า ฟองอาภา หลังจากเจ้าสัวฟองถึงแก่กรรม อาคารฟองหลีได้ตกทอดสู่ทายาทและมีการเปลี่ยนผู้ครอบครองหลายครั้ง จนกระทั่งได้ตกทอดมาถึงทายาทของนางคำใส เฮวอิน ซึ่งได้ให้เช่าอาคารหลังนี้อยู่อาศัยหลายปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 หน้าจั่วด้านทิศตะวันตกพังทลายลงมา ทางจังหวัดจึงได้มีหนังสือเตือนให้ซ่อมแซม และในที่สุดก็มีคำสั่งรื้อถอนภายใน 7 วันแม้ว่าเจ้าของอาคารในขณะนั้นมีความคิดที่จะอนุรักษ์อาคารแห่งนี้ไว้ แต่ต้องใช้ทุนทรัพย์จำนวนมากในการบูรณะ ต่อมาคุณกิติศักดิ์ เฮงษฎีกุล และทายาทตระกูลสุรวิชัย ได้ซื้ออาคารหลังนี้และได้ทำการบูรณะอาคารตามหลักวิชาการ เพื่อให้อาคารมีสภาพสมบูรณ์ดังเดิม ในระหว่างการบูรณะในปี พ.ศ. 2538 ได้พบตราของบริษัทบอมเบย์เบอร์มาบนหัวเสาไม้ของอาคาร ซึ่งบริษัทดังกล่าวเข้ามาตั้งสาขาในจังหวัดลำปางเมื่อปี พ.ศ.2434 ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าอาคารฟองหลีน่าจะถูกสร้างขึ้นช่วงปี พ.ศ. 2434 – 2444

อาคารฟองหลีเป็นอาคาร 2 ชั้น ยกพื้นสูงจากถนนประมาณ 1 เมตร กว้าง 16 เมตร ลึก 10 เมตร หลังคาจั่วตัดขวางแบบจีนผนังอาคารเป็นแบบผนังก่ออิฐรับน้ำหนักหนา 40 เซนติเมตร มีการเสริมบัวหงายแบบตะวันตกคาดระหว่างชั้นบนและชั้นล่างอาคารขอบหน้าต่างมีการทำคิ้วก่อบัวเป็นลายปูนปั้นแบบตะวันตกไว้เหนือหน้าต่างเพื่อกันน้ำฝนหยดย้อย หน้าต่าง มีบานเกล็ดไม่ให้ลมเข้า โดยสามารถเปิดบานกระทุ้งหรือเปิดได้ตลอดแนวเหมือนบานประตู มีการใช้บานพับ กลอน และเหล็กเส้นกับประตูหน้าต่าง ส่วนการยึดไม้ใช้ระบบเดือยและสลัก ชั้นล่างเป็นห้องโล่ง ส่วนชั้นบนเป็นห้องนอนพร้อมกับมีระเบียงทางด้านหน้า จุดเด่นของอาคาร คือ ราวระเบียงและชายคาด้านหน้าตกแต่งด้วยไม้สักฉลุลายโปร่ง เสาไม้รับระเบียง 5 ต้น มีลักษณะศิลปะแบบตะวันตก บานประตูชั้นบนและชั้นล่างเป็นบานเฟี้ยมลูกฟักไม้สักแบบจีน เหนือประตูบานเฟี้ยมทางเข้าอาคารชั้นล่างเป็นกรอบรูปครึ่งวงกลม ภายในกรอบแบ่งเป็น 7 ช่อง แต่ละช่องประดับด้วยไม้ฉลุลวดลายพรรณพฤกษา ค้ำยันระหว่างพื้นชั้น 2 และเสาไม้รับระเบียงด้านหน้าฉลุประดับตกแต่งเสาเม็ดเล็กๆ ทแยงมุม

อาคารฟองหลีถือเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมในยุครุ่งเรืองของจังหวัดลำปางที่มีการผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันตกและตะวันออกได้อย่างน่าชื่นชม และเป็นอาคารที่สามารถรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรม ได้เป็นอย่างดี

Fong-LEE Building

  • Location Tambon Suandok, Amphoe Mueang. Lampang Province
  • Architect / Designer Chausua Fong Lee
  • Conservation Designer Kittisak Hengsadekul and Composition A Co., Ltd.
  • Proprietor Kittisak Hengsadekul and Surachai family
  • Date of Construction 1891 – 1901
  • Conservation Awarded 2008

History

Fong-Lee Building is regarded as an example of architectures in flourishing period of Lampang. The founder of this architecture was a wealthy Chinese merchant called “Jeanfong” who was a close friend of Chao Bunwahtwongmanit, the last ruler of Lampang. His last name is “Fong Ahpah”. After his death, his children inherited the business and went by the name “Fong-Lee Company”. However, the company has changed hands several times. Eventually, the building fell into the hands of Mr. Kittisak Hengsadeekul and Surachai family. In year 1995, during the renovation, the seal of Bombay Burma, who operated in Lampang, during 1891 – 1892, was found on the top of the column. It can be assumed that the building was built during the period.

“Fong-Lee Building” is a row building with 2 storey. It was built from bricks masonry and wood. It is decorated with Kanompangking pattern. Its gable was made in Chinese style. The second floor consists of a bedroom and front veranda. Furthermore, doors on both floor include hinges and folding panels made from Chinese teak. There are air windows carved in a shape of flowers above the doors. The hinges, bolts and steel rods used with doors and windows are regarded as the first use in the reigh of King Rama V.


อาคารเก้าห้อง

อ่านเพิ่มเติม

อาคารเก้าห้อง

  • ที่ตั้ง เลขที่ 82,84,86,88,90,92,94,96 และ 98 ถนนพระอาทิตย์ แขวงวัดชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบไม่ปรากฏชื่อ ผู้ออกแบบอนุรักษ์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2490
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551

ประวัติ

อาคารเก้าห้อง ตั้งอยู่บริเวณถนนพระอาทิตย์ บริเวณปากซอยชนะสงคราม สร้างขึ้นสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โดยเริ่มแรกก่อนที่จะมีการก่อสร้างอาคารนั้น เดิมเป็นที่ดินของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ซึ่งได้มาโดยการรับซื้อจากเจ้านายในสมัยนั้น ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2483 ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในบริเวณนี้ได้ถูกระเบิดและเพลิงไหม้และถูกปล่อยให้รกร้าง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2490 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เห็นว่าที่อยู่อาศัยหายาก ประชาชนได้รับความเดือดร้อน จึงเห็นควรให้สร้างตึกแถว จำนวน 9 ห้องขึ้นเพื่อใช้ในการอยู่อาศัยและพาณิชยกรรม

อาคารเก้าห้อง เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้น ผนังภายนอกฉาบเรียบ หลังคาทรงจั่ว มุงกระเบื้องว่าว มีผนังกันไฟก่อจากผนังขึ้นเป็นสันหลังคาเป็นช่วงๆ ละ 3 คูหา ด้านหน้าอาคารมีกันสาดคอนกรีตเสริมเหล็กคลุมทางเท้าตลอดแนวอาคาร หน้าต่างชั้นบนของแต่ละคูหาเป็นหน้าต่างชนิดบานเปิดและบานกระทุ้ง ลายลูกฟักไม้กระดานดุน ส่วนประตูด้านหน้าอาคารเป็นประตูบานเฟี้ยม ถือเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์นในยุคแรกๆ

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้เข้ามาบูรณะปรับปรุงพร้อมทั้งอนุรักษ์โครงสร้างเดิมเอาไว้ เนื่องจากตัวอาคารมีอายุมากกว่า 60 ปี ทำให้อาคารเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ประกอบกับตัวอาคารเดิมมีขนาดเล็ก ทำให้ผู้เช่าส่วนใหญ่ต่อเติมตัวอาคารไปในลักษณะต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการค้าและการอยู่อาศัย จึงเกิดปัญหาและผลกระทบต่อโครงสร้างหลักของอาคาร หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดปัญหาเรื่องความปลอดภัย รวมทั้งรูปแบบอาคารที่ต่อเติมขาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้อาคารไม่สวยงาม โดยเริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2546 บูรณะแล้วเสร็จในเดือนมกราคม พ.ศ. 2550

The Nine-Roomed Row Building

  • Location 82, 84, 86, 88, 90, 92, 94, 96 and 98 Phra Athit Road, Khwaeng Wat Chanasongkram, Khet Phra Nakon, Bangkok
  • Architect / Designer not find name Conservation Designer The Crown Property Bureau
  • Proprietor The Crown Property Bureau
  • Date of Construction 1947
  • Conservation Awarded 2008

History

The nine-roomed row building on Phra Athit Road (Soi Chanasongkram) is regarded as one of the most eccentric old buildings as it stands out from other buildings on the road. Its land was formerly owned by King Rama VI but the construction was started in the reign of King Rama VII. In 1940, all properties in this area had been damaged from explosions and abandoned by residents. Therefore, the Crown Property Bureau initiated the construction of the nine-roomed row building, for residential and commercial purposes, in order to relieve the difficulties of local people.

This row building is 2-storey, consisting of 9 rooms whose size is 4 x 7 metres each. Its roof was covered with kite shaped concrete roof tiles. Each room has a balcony projecting from the front of the building and serving various functions depending on each renter’s purpose. It also features fireproof walls ascended to the roof ridge, and folded front doors representing Modernist architect which could hardly be seen at present.

The building has been attentively renovated by the Crown Property Bureau while its original structure has still remained. Since the building is above 60 years old, it became dilapidated. In addition, most of the renters extended some parts to serve as accommodations and business areas. The building’s structure; as a result, was critically affected which possibly leads to instability. Besides the overall scenery was destroyed due to those disorderly extensions by residents. The restoration project began in 2003 and completed in January 2007.


ร้านถวิล

อ่านเพิ่มเติม

ร้านถวิล

  • ที่ตั้ง เลขที่ 35 – 39 ถนนช้างม่อย ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
  • ผู้ครอบครอง ครอบครัวเทียนนิมิตร
  • ปีที่สร้าง พ.ศ.2492
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551

ประวัติ

นางถวิลและนายเซียมจุ้ย แซ่เตีย ได้สร้างอาคารหลังนี้โดยว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างชาวญวน โดยประสงค์ให้อาคาร มีความพิเศษและแตกต่างจากอาคารพาณิชย์หลังอื่นในย่านช้างม่อย จึงเป็นผลให้อาคารมีลักษณะเฉพาะตัว ตั้งแต่แรกอาคารหลังนี้ใช้เพื่อพักอาศัยเพียงอย่างเดียว ต่อมาปี พ.ศ.2515 ได้ใช้อาคารทำการค้าขายเครื่องปั้นดินเผา ขายยาและของชำ ราวปี พ.ศ.2520ได้เปลี่ยนเป็นร้านตัดเสื้อจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

ร้านถวิลเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 คูหา 2 ชั้น ในยุคแรกๆ ของเชียงใหม่ สร้างในช่วงที่มีวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่เข้ามาอย่างแพร่หลาย โดยการขนส่งโดยทางรถไฟ ดังนั้นโครงสร้างอาคารส่วนใหญ่ ได้แก่ พื้น เสาและคาน จึงเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก มีการเจาะช่องระบายอากาศที่พื้นชั้น 2 ให้ทะลุกันระหว่างชั้นล่างและชั้นบน และมีการทำดาดฟ้าคอนกรีตเสริมเหล็ก ลูกกรงเหล็กดัดบริเวณระเบียงประดับด้วยครีบคอนกรีตเสริมเหล็ก และลวดลายปูนเปลือยหล่อ

อาคารร้านถวิลนับว่าเป็นสถาปัตยกรรมยุคโมเดิร์นที่ปรากฏในแห่งแรกๆ ในเชียงใหม่ ด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากอาคารพาณิชย์ทั่วไปในขณะนั้นจึงเป็นอาคารที่มีความพิเศษที่สมควรได้รับการอนุรักษ์

Thawin Shop

  • Location 35-39 Chang Moi Road, Tambon Si Phum, Amphoe Mueang, Chiang Mai Province
  • Proprietor Thiannimit Family
  • Date of Construction 1949
  • Conservation Awarded 2008

History

Mrs. Thawin and Mr. Siamchui Sae-Tia constructed this building with the desire to make it look unique and stand out from other commercial buildings in Chang Moi area. Initially served as an accommodation, it later became a retail store of earthenware, drug and grocery in 1972 and was converted to tailor shop from 1977 to present.

Tawin shop is a 3-block and 2-storey ferro concrete building, constructed during the early period that modern construction materials were recently transported to the city by train. Hence most of its structure such as floors, pillars and beams were reinforced with steel. Ventilator was created by making a channel between its lower and upper floor. Moreover, there presents reinforced deck and steeled balustrades at terrace decorated with ferro concrete struts and bare plaster casts.

This building is deemed as a trailblazer of modern architecture in Chiang Mai. Due to its unique and outstanding style, Tawin shop has been preserved to remain in existence through time.


ไชน่าอินน์ คาเฟ่

อ่านเพิ่มเติม

ไชน่าอินน์ คาเฟ่

  • ที่ตั้ง เลขที่ 20 ถนนถลาง ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
  • ผู้ครอบครอง ตระกูลตัณฑวนิช เช่าโดย สุภัทร พรหมจรรย์
  • ปีที่สร้าง สมัยรัชกาลที่ 5
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551

ประวัติ

ไชน่าอินน์ คาเฟ่ เดิมเป็นบ้านของ อ๋องบุ้นเทียม พ่อตาของพระพิทักษ์ชินประชา (ตันม้าเสียง) คหบดีคนสำคัญของ เมืองภูเก็ต และเป็นสำนักงานกิจการโพยก๊วน สำหรับรับซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เห็นได้จากป้ายด้านหน้าอาคารซึ่งเป็นป้ายสำนักงานแลกเปลี่ยนเงินตรา ฮับหล่องฮวด และป้ายภาษาจีนครึ่งวงกลมเป็นข้อความประชาสัมพันธ์กิจการว่าห้างแห่งนี้รับโอนเงินไปยังเมืองเซี่ยเหมินมณฑลฮกเกี้ยนในจีน รวมถึงจารึกภาษาจีนที่มีความหมายว่า ให้ธุรกิจเฟื่องฟูงอกงามภายหลังจากพ่อตาของพระพิทักษ์ชินประชาเสียชีวิต อาคารหลังนี้ได้ตกทอดมายังทายาทตามลำดับ ต่อมาอาคารอยู่ในสภาพทรุดโทรมและถูกปิด จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2545 คุณสุภัทร พรหมจรรย์ ได้เข้ามาเช่าอาคารและเริ่มบูรณะปรับปรุงเพื่อเป็นร้านอาหารและขายของตกแต่งบ้าน การบูรณะซ่อมแซมใช้เวลา 2 ปี และในวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2547

คุณสุภัทรได้เปิดร้านโดยใช้ชื่อว่า ไชน่าอินน์ คาเฟ่

ไชน่าอินน์ คาเฟ่ เป็นตึกแถว 1 คูหา กว้างประมาณ 5 เมตร สูง 2 ชั้น และมีส่วนต่อเติมชั้นเดียวอยู่ด้านหลัง ผนังอาคารหลักเป็นแบบผนังก่ออิฐรับน้ำหนัก ผังพื้นอาคารหลักเป็นรูปตัวยู (U) ชั้นล่างประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก คือ อาเขด หรือ หง่อคาขี่(Koh Kaki แปลว่า ทางเดินกว้าง 5 ฟุตจีน) เป็นพื้นที่ว่างด้านหน้าอยู่ใต้ระเบียงชั้นบนซึ่งช่วยกันแดดกับฝน ส่วนค้าขายด้านหน้าติดกับอาเขต ช่องเปิดโล่งกลางอาคารมีห้องน้ำซึ่งต่อเติมขึ้นภายหลังและมีบันไดขึ้นลงอยู่ติดกับ ผนังอาคารหลักด้านทิศตะวันตก และส่วนค้าขายด้านหลังมีประตูเชื่อมต่อกับสวนหลังบ้าน และเชื่อมต่อกับส่วนต่อเติมชั้นเดียวเป็นร้านอาหารและห้องครัวชั้นบนประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ ส่วนเก็บของมีระเบียงด้านหน้า (อยู่เหนืออาเขต และส่วนค้าขายด้านหน้า) ส่วนพักอาศัย(อยู่เหนือส่วนค้าขายด้านหลัง) และทางเดินเชื่อมระหว่างส่วนเก็บของด้านหน้าและส่วนพักอาศัย หลังคาของส่วนเก็บของด้านหน้าและส่วนพักอาศัยด้านหลังเป็นหลังคาจั่วเชื่อมต่อกันด้วยหลังคาเหนือบันไดทางเดินเชื่อมชั้นบน หลังคาทั้งหมดเดิมมุงด้วยกระเบื้องหลังคาดินเผา ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกระเบื้องลอนคู่ ประตูทางเข้าด้านหน้าเป็นประตูไม้บานปิดคู่แกะสลักเป็นลวดลายพรรณพฤกษาแบบศิลปะจีน เหนือประตูมีป้ายร้านเดิมแขวนอยู่ และมีไม้แกะสลักเป็นรูปสิงโตตั้งอยู่มุมซ้ายและขวาเหนือวงกบประตู ด้านข้างซ้ายขวาของประตูเป็นหน้าต่างไม้บานเปิดคู่กรุกระจกใส ภายในกรอบหน้าต่างมีซี่เหล็กกับขโมย

ไชน่าอินน์ คาเฟ่ เป็นตัวอย่างของความพยายามในการปรับปรุงฟื้นฟูอาคารเดิมเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจเสียดายที่ยังไม่ได้ปรับปรุงฟื้นฟูให้ถูกต้องตามหลักวิชาการอย่างเคร่งครัด จึงทำให้องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมดั้งเดิมบางส่วนสูญเสียไป เช่น การเปลี่ยนแปลงกระเบื้องผนังชั้นล่าง และการเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคา การรื้อผนังบานเกล็ดไม้ เพื่อทำระเบียงตลอดแนวด้านหน้าอาคารชั้นบน

China Inn Café & Restaurant

  • Location 20 Thalang Road, Tambon Talat Yai, Amphoe Mueang, Phuket Province
  • Architect(s)/Designer(s): –
  • Proprietor Tanthawanit ‘s family Rented by Supatr Prommachan
  • Date of Construction Reign of King Rama V
  • Conservation Awarded 2008

History

“China Inn Cafe” adopts the architectural style known as “Chino-Portuguese Style”, a combination of west and east civilization established by a wealthy person from Phuket. This building was formerly used as money transfer location to China. Hokkien Chinese who came to trade would send money back to their homes. The outstanding characteristics was “Ngo-ka-gee” which is an arch bridge among the buildings. This arch bridge served as a protective shade for people.

The China Inn Café was old and damaged having been unlived on a long time. However, Sitti Tanthawanit, the new owner appreciated this style of architecture and decided to rent the building, renovate it and currently runs a restaurant business. The opening day of China Inn Café was on 14 October 2004.


วังวาริชเวสม์

อ่านเพิ่มเติม

วังวาริชเวสม์

  • ที่ตั้ง ซอยสุโขทัย 6 ถนนสุโขทัย เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ พระสาโรชรัตนนิมมานก์
  • ผู้ออกแบบอนุรักษ์ดร.ยุวรัตน์ เหมะศิลปิน และฐิติวุฒิ ชัยสวัสดิ์อารี
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เช่าโดย บริษัท แมชชิ่ง สตูดิโอ จำกัด (มหาชน)
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2476
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551

ประวัติ

วังวาริชเวสม์เป็นที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงประภาพรรณพิไล (ประสูติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2428) กับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงวาปีบุษบากร (ประสูติเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2434) พระขนิษฐาซึ่งทั้งสองพระองค์เป็นพระธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับเจ้าจอมมารดาพร้อม พระตำหนักนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2476 พระสาโรชรัตนนิมมานก์ (สาโรช สุขยางค์) เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างบนที่ดินมรดกของเจ้าจอมมารดาพร้อม แต่พระองค์เจ้าหญิงประภาพรรณพิไลยไม่โปรดที่นี่ จึงเสด็จย้ายไปประทับที่วังริมถนนวิทยุ พระองค์เจ้าหญิงวาปีบุษบากรจึงประทับที่วังวาริชเวสม์นี้เพียงพระองค์เดียว จนสิ้นพระชนม์ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2525 ชื่อตำหนักได้รับการตั้งชื่อจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดเทพศิรินทราวาส ว่า วาริชเวสม์ คำว่า วาริช หมายถึง น้ำหรือดอกบัว และเวสม์ หมายถึง ที่อยู่รวมกัน ดังนั้น วาริชเวสม์ หมายถึง ที่อยู่ของผู้เกิดจากน้ำ ซึ่งสอดคล้องกับคำว่า วาปี ที่หมายถึงบึงน้ำ วังวาริชเวสม์เป็นอาคารหลังแรกๆ ในช่วงของการเปลี่ยนยุคทางสถาปัตยกรรมจากตอนปลายสมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งยังมีความคิดที่ติดกับรูปแบบเดิมอิงกับอิทธิพลสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบโบราณมาสู่ยุคต้นรัชกาลที่ 8 ที่มีความทันสมัยและเป็นสากลมากยิ่งขึ้น การก่อสร้างจึงเน้นความประหยัดและเรียบง่ายเนื่องจากบ้านเมืองขณะนั้นอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ วัสดุก่อสร้างเปลี่ยนจากวัสดุธรรมชาติมาเป็นวัสดุที่คงทนถาวรโดยนำคอนกรีตเสริมเหล็กมาใช้แทนไม้หรือปูน ทั้งในส่วนที่เป็นโครงสร้างและองค์ประกอบตกแต่งใช้ลวดลายเรขาคณิตแทนลวดลายฉลุแบบเดิม (บ้านขนมปังขิง)นอกจากนี้ยังเป็นยุคเปลี่ยนสถาปนิกจากที่เคยเป็นเจ้านายขุนนางหรือชาวต่างชาติ มาเป็นสามัญชน สะท้อนให้เห็นวิวัฒนาการเชิงรูปแบบและโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมในประเทศไทย

ตำหนักของวังวาริชเวสม์มี 2 ชั้น รูปแบบสถาปัตยกรรมผสมระหว่างสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แบบอาร์ต นูโว (Art Nouveau) กับแบบโคโลเนียล หลังคาปั้นหยาผสมจั่ว ชั้นล่างด้านหน้าด้านหน้าเว้นช่องเสาตอนบนทำเป็นวงโค้งเปิดโล่ง

ปัจจุบัน วังวาริชเวสม์ เป็นอาคารอนุรักษ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และอยู่ในความครอบครองการใช้ประโยชน์ของบริษัท แม็ทชิ่ง สตูดิโอ จำกัด (มหาชน)

Warichwes Palace

  • Location Soi Sukhothai, Sukhothai Road, Khet Dusit, Bangkok
  • Architect / Designer Phra Sarotratthananimman
  • Conservation Designer Yuwarat Hemasilpin Ph.D. & Thitiwoot Chaisawataree
  • Proprietor The Crown Property Bureau Rented by Matching Studio Public Company Limited
  • Date of Construction 1933
  • Conservation Awarded 2008

History

“Warichwes Palace” belonged to Her Royal Highness Princess Wapeebussabahkorn, the eighty forth daughter of King Chulalongkorn (King Rama V) and Chao Chom Marada Prom. She was born on 25 June 1891 and passed away in 15 December 1982 at age 91.

Her royal palace was constructed in 1933. Phra Sarotratthananimman is not only an architect, but also supervised the construction work. Built on Chao Chom Marada Prom’s land heritage. Somdej Phraputthakosajarn, the abbot of Wat Thepsirinthrawas, gave the name “Warichwes” to this palace. The word “warich” means water and lotus and the word “wes” means a residence. The name of the palace, therefore, means a residence owned by a person who was born from water, and consequently means as same as Her Royal Highness’ name “Wapee” (a swamp).


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้