พ.ศ. 2554

โรงสี หับ โห้ หิ้น

อ่านเพิ่มเติม

โรงสี หับ โห้ หิ้น

  • ที่ตั้ง เลขที่ 13 ถนนนครนอก ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
  • ผู้ครอบครอง ทายาทตระกูลรัตนปราการ
  • ปีที่สร้าง พ.ศ.2464
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

โรงสี หับ โห้ หิ้น สร้างโดยขุนราชกิจการีย์ (ซุ่นเลี่ยง เสาวพฤกษ์) เป็นโรงสีข้าวใช้เครื่องจักรไอน้ำขนาดใหญ่ มีปล่องไฟสูง 34 เมตร สร้างตามมาตรฐานประเทศอังกฤษ ชื่อ หับ โห้ หิ้น เป็นภาษาฮกเกี้ยน หมายถึง ความสามัคคี ความกลมเกลียว ความเจริญรุ่งเรือง เริ่มดำเนินกิจการในปี พ.ศ. 2470 มีนายสุชาติรัตนปราการ เป็นผู้จัดการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 กองทัพเรือญี่ปุ่นได้บุกยึดเมืองสงขลา และได้ใช้โรงสีเป็นคลังเก็บเวชภัณฑ์กองทัพภาคพื้นบูรพาตลอดระยะสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากสงคราม มีการปรับปรุงพื้นที่โรงสีเพื่อใช้เป็นท่าเทียบเรือด่วนรับส่งผู้โดยสารระหว่างอำเภอระโนดและอำเภอเมืองสงขลาเป็นที่ทดลองผลิตน้ำมะเน็ดออกจำหน่าย น้ำมะเน็ดเป็นน้ำอัดลมรุ่นโบราณรสเปรี้ยวอมหวาน บรรจุในขวดแก้วคอคอด และได้ปรับปรุงอาคารด้านใต้เป็นโรงผลิตน้ำแข็งขนาดเล็ก ต่อมาได้เกิดกิจการโรงสีข้าวขนาดเล็กขึ้นมาก ทำให้ปริมาณข้าวเปลือก ที่เข้ามาป้อนโรงสีลดน้อยลงจนต้องปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2494 หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2495 – 2527 โรงสีได้แปรสภาพเป็นโกดังยางพาราสำหรับขนส่งต่อด้วยเรือลำเลียงไปยังเรือเดินสมุทรซึ่งจอดบังคลื่นลมอยู่ใกล้ๆ เกาะหนู เพื่อนำยางไปจำหน่าย ยังต่างประเทศ เมื่อท่าเรือน้ำลึกสงขลาเปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2527 ทำให้การขนส่งสินค้าด้วยเรือลำเลียงต้องหยุดกิจการไป ทายาทของตระกูลจึงใช้ท่าเทียบเรือโรงสีแดงให้บริการเรือประมงขนาดเล็กต่อมาจนถึงปัจจุบัน โรงสี หับ โห้ หิ้น ประกอบด้วยอาคาร 4 หลัง เชื่อมต่อกัน ด้านหน้าของอาคารทั้งหมดขนานไปกับถนนนครนอกมีความยาวรวมกัน 70 เมตร ด้านข้างของอาคารลึก 25 เมตร ด้านหลังติดทะเลสาบสงขลา อาคารหลังแรกเป็นอาคารชั้นเดียว ถัดมาเป็นอาคารสูง 2 ชั้น อาคารทั้ง 2 หลังนี้เคยใช้เป็นที่วางเครื่องจักรไอน้ำซึ่งนำเข้ามาจากประเทศอังกฤษ ถัดมา เป็นอาคารสีข้าว ซึ่งเป็นอาคารสูงโปร่งพร้อมกับมีทางเข้าออก อาคารหลังสุดท้ายเป็นอาคารชั้นเดียวซึ่งเคยใช้เป็นสำนักงานและที่จอดรถ โครงสร้างของอาคารทั้งหมดสร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง ผนังภายนอกบุด้วยสังกะสีหนานำเข้าจากประเทศอังกฤษ หลังคาของอาคารหลังที่ 1 และหลังที่ 4 เป็นหลังคาจั่ว หลังคาของอาคารหลังที่ 2 เป็นหลังคา 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นหลังคาทรงปั้นหยาและชั้นบน เป็นหลังคาจั่ว ส่วนหลังคาของอาคารสีข้าวเป็นหลังคาจั่วสามชั้น หลังคาของอาคารหลังที่ 1, 2 และ 3 มุงด้วยสังกะสีชนิดเดียวกันกับผนังภายนอกอาคาร ส่วนหลังที่ 4 มุงด้วยกระเบื้องลอนคู่ โดยอาคารทั้งหมดทาด้วยสีแดง ชาวสงขลาจึงเรียกอาคารหลังนี้ว่าโรงสีแดง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทายาทตระกูลรัตนปราการได้ทำนุบำรุงอาคารโรงสี หับ โห้ หิ้นโดยทำการซ่อมแซมโครงสร้าง ส่วนประกอบอาคาร และทาสีภายนอกอาคารอย่างสม่ำเสมอ ทำให้สภาพของอาคารยังคงสภาพความสมบูรณ์ สามารถรักษาคุณค่าทางสถาปัตยกรรมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

Hub Ho Hin Rice Mill

  • Location 13 Nakhon Nok Road, Tambon Bo Yang, Amphoe Mueang, Songkhla Province
  • Proprietor Rattanaprakarn Family
  • Date of Construction 1921
  • Conservation Awarded 2011

History

Hub Ho Hin Rice Mill is a rice mill using a big steam engine with a large chimney of 34 metres high built by Khun Ratchakitkari (Sunliang Saowapruk) following to the standard of the British. The name “Hub Ho Hin” in the Hokkien dialect means the harmonious unity. The operation was started in 1927 and the manager was Mr. Suchart Rattanaprakarn. In 1941, the Japanese Army invaded the city of Songkhla and the mill became a storehouse for military supplies duringthe World War II. After the war, the mill was improved to be a pier to transfer passengers between Ranod District and Muang District, a plant for a traditional soft drink with a small ice plant. The mill was closed down since there were many small rice mills. From 1952-1984, the mill was changed to a rubber warehouse for delivering to ships waiting in the sea. After the deep-sea port of Songkhla was opened in 1984, it had to stop the operation. Then, the family has used the mill as a dock for small fishing boats until now.

It consists of 4 connected units of 70 metres long along the road. Each side of the building is 25 metres deep and the back is close to the Songkhla Lake. The front unit has single storey and the next unit has 2 storeys, which were used to place the steam engine imported from England. The third unit was used as a rice mill with an open entrance. The last one-floored unit was used as an office and a parking. The structure of the building is built with hardwood. The outer walls are lined with thick zinc imported from England. The first and fourth units have a gable roof. The roof of the second unit has 2 tiered; that is: the lower hip roof and the upper gable roof. The roof of the rice mill is a 3 tiered gable roof. The roofs of the first, second and third units are made of thick zinc the same as the zinc of the outer walls of the building. The roof of the fourth unit is covered with carved tiles. The whole building is painted in red so Songkhla people call it as “Red Building”.

The family has maintained the rice mill in good condition of which the architectural style is valuable for the history of the nation.


กลุ่มอาคารบนถนนวานิชบำรุง

อ่านเพิ่มเติม

กลุ่มอาคารบนถนนวานิชบำรุง

  • ที่ตั้ง ชุมชนตลาดล่าง ตำบลนาโพธิ์ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ มุตัน แซ่ฮุน และ เนือง บุญสิทธิ์
  • ผู้ครอบครอง เอกชน 19 ราย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2466
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

กลุ่มอาคารบนถนนวานิชบำรุงตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำสวี และสถานีรถไฟสวี เริ่มก่อสร้างโดยนายมุตัน แซ่ฮุน คหบดีชาวจีนจากเกาะไหหลำ มีการสร้างโรงสีข้าว โรงเลื่อย และห้องแถวไม้ในพื้นที่ ในปี พ.ศ.2466 นายมุตัน แซ่ฮุน ได้สร้างบ้านไม้สองชั้น เป็นบ้านหลังแรกบนถนนเส้นนี้ ส่วนห้องแถวไม้หลังเดิมต่อมาได้ใช้เป็นศาลเจ้าประจำตระกูล ในปี พ.ศ. 2468 เพื่อนบ้านของ นายมุตัน แซ่ฮุน ได้สร้างเรือนแถวไม้ 2 ชั้นขึ้นมา ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนการใช้สอยหลายครั้ง โดยเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีน สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อำเภอสวี ปัจจุบันเป็นบ้านพักอาศัยโดยทายาทของนายบุ่นโหย่ง แซ่ด่าน หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2483 นายเนือง บุญสิทธิ์ คหบดีอีกท่านหนึ่งได้สร้างบ้านไม้ 2 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับบ้านนายมุตัน แซ่ฮุน หลังจากการเสียชีวิตของนายเนือง บุญสิทธิ์ บ้านหลังนี้ก็ได้ตกทอดมาถึงบุตรสาวคนโตใช้เป็นที่พักอาศัยจนถึงปัจจุบัน ภายหลังการก่อสร้างบ้านหลังใหญ่เสร็จสิ้นลง นายมุตัน แซ่ฮุน ได้สร้างเรือนแถวไม้ 2 ชั้น ตลอดแนวสองฟากถนนเพื่อใช้เป็นบ้านเช่าพักอาศัยจนกลายเป็นตลาดร้านค้าที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นเนื่องจากมีผู้คนอพยพเข้ามาทำมาหากินจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ รวมทั้งบ้านหลังใหญ่ริมแม่น้ำสวี ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา

การค้าขายบนถนนวานิชบำรุงเจริญเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างโรงภาพยนตร์และโรงไฟฟ้าเอกชนแห่งแรกและแห่งเดียวขึ้นในชุมชน จนเมื่อประมาณ 30 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการก่อสร้าง ปรับปรุงทางหลวงและถนนเดิม ให้แข็งแรงและเรียบขึ้น ทำให้การขนส่งสินค้าและการเดินทางระหว่างชุมชนโดยทางรถยนต์ได้รับความนิยมมากขึ้นด้วย และการเดินทางโดยทางเรือและทางรถไฟลดบทบาทลง อีกทั้งยังมีการสร้างศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งใหม่ที่อยู่ใกล้กับทางหลวงส่งผลให้การค้าขายบนถนนวานิชบำรุงค่อยๆ ซบเซาลง

กลุ่มอาคารบนถนนวานิชบำรุงก็ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ในปี พ.ศ. 2543 ชุมชนตลาดล่างก็ได้ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ ของผู้กำกับยุทธนา มุกดาสนิท ปัจจุบันกลุ่มอาคารบนถนนวานิชบำรุงถูกใช้เพื่อการพักอาศัยเพียงอย่างเดียว ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวจำนวน 4 หลัง เรือนแถวไม้ 2 ชั้น จำนวน 59 คูหา ที่ว่างและ สิ่งปลูกสร้างอื่นๆ โดยทั้งหมดมีเจ้าของจำนวน 19 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของนายมุตัน แซ่ฮุน ทั้งสิ้น

Buildings on Wanitbamrung Road

  • Location Talat-lang community, Tambon Na-Pho, Amphoe Sawi, Chumphon Province
  • Architect / Designer Mutan Sae-hun & Nueang Bunsit
  • Proprietor 19 private owners
  • Date of Construction 1923
  • Conservation Awarded 2011

History

Located between Sawi River and Sawi Train Station, a group of buildings on Wanitbamrung Road was initially established by Mr.Mutan Sae-hun, a wealthy Chinese proprietor from Hainan Island. A rice mill, sawmill and wooden raw house were constructed at the outset and later in 1923 Mr.Mutan built the first wooden, two-storey house and the wooden raw houses became the holy family shrine. In 1925, his neighbor constructed two-storey wooden row house whose functions have been changed several times from Chinese Language School to Cremation Association of Amphoe Sawi and eventually served as a residence for Mr.Bunyong Sae-dan’s descendants. Later in 1940 another neighbor, Mr.Nueang Bunsit, built a two-storey wooden house right opposite to Mr.Mutan’s place and his oldest daughter has inherited and lived there ever since Mr.Nueang’s demise.

After the completion of his house, Mr.Mutan established 2-storey wooden row houses along both sides of Wanitbamrung Road in order to be served as rental residences but afterwards became a famous marketplace. Since a number of people migrated to the area, the community found itself rapidly expanding. The development includes a large-scale house built along Sawi River 50 years ago.

Trading on Wanitbamrung Road has continuously expanded over the years and thereemerged a cinema and the first private-owned power plant within the community. Roughly 30 years ago, the improvement of highways and roads executed by Thai government increased the popularity of freight and transportation by cars which hence lessened the importance of boats and trains. This change, along with the opening of new economic hub near the highway, resulted in the downward businesses on Wanitbamrung Road.

However, the group of buildings on Wanitbamrung Road has constantly been maintained by Mr. Mutan’s family to keep them in good condition. In 2000, this community was the setting for a Thai movie named “Yuwachonthahan Poetthoempairop” (Boys Will Be Boys – Boys Will Be Men) directed by Mr.Yutthana Mukdasanit. Nowadays the community comprised of 4 single houses, 59 2-storey wooden row houses, other buildings and uninhabited areas, mainly serve as residences owned by 19 proprietors, most of whom are the descendants of Mr. Mutan Sae – hun.


อาคารพระยา พาลาซโซ

อ่านเพิ่มเติม

อาคารพระยา พาลาซโซ

  • ที่ตั้ง เลขที่ 757/1 ซอยสมเด็จพระปิ่นเกล้า 2 ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อ
  • ผู้ออกแบบอนุรักษ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชัย พิทักษ์วรรัตน์
  • ผู้ครอบครอง มูลนิธิอิสลามกรุงเทพวิทยาทาน เช่าโดย บริษัทพระยา พาลาซโซ่ จำกัด
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2466
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

อาคารพระยา พาลาซโซ หรือบ้านบางยี่ขันเดิม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของอำมาตย์เอกพระยาชลภูมิพานิช (ไต้ตั้ด อเนกวนิช) ขุนนางเชื้อสายจีนในสมัยรัชกาลที่ 5 และต้นสกุลอเนกวนิช หลังจากที่พระยาชลภูมิพานิชได้ถึงแก่อนิจกรรม บ้านบางยี่ขันได้ตกแก่ทายาท คือ นายปานจิตต์ อเนกวนิช จนถึง พ.ศ. 2498 หลังจากนั้นบ้านหลังนี้ได้ถูกขายให้กับกลุ่มมุสลิมบางกอกน้อย เพื่อใช้เป็นอาคารเรียนของโรงเรียนราชการุณ หลังจากที่โรงเรียนได้ปิดตัวลงในปี พ.ศ.2521อาคารได้ถูกเช่าโดยโรงเรียนอินทรอาชีวศึกษาจนถึงปี พ.ศ.2539 หลังจากนั้นอาคารหลังนี้ว่างลง ถูกทิ้งร้าง และไม่ได้ใช้งานจนถึงปี พ.ศ.2550 ต่อมาระหว่างปี พ.ศ. 2551 – 2552 อาคารถูกเช่าโดยบริษัทพระยา พาลาซโซ จำกัด คณะผู้บริหาร นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชัย พิทักษ์วรรัตน์ และทีมงานได้เข้ามาศึกษารายละเอียด บูรณะ และปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยของอาคารปัจจุบันได้รับนามใหม่ว่า พระยา พาลาซโซ เปิดเป็นกิจการห้องพัก และห้องอาหาร

อาคารพระยา พาลาซโซ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้น จำนวน 3 หลัง เชื่อมต่อกันด้วยชาน ระหว่างอาคารทั้ง 3 หลัง เป็นลานว่าง ผังพื้นอาคารมีการจัดวางองค์ประกอบแบบสมมาตร ผังพื้นอาคารตรงกลางเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยทั้ง 2 ชั้นประกอบด้วยห้องโถงขนาดใหญ่ 1 ห้อง มีบันไดขนาดใหญ่เป็นทางขึ้นจากภายนอกด้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าสู่โถงชั้น 2 สำหรับผังพื้นอาคารทิศใต้และอาคารทิศเหนือเป็นรูปตัวแอล (L) ที่มีขนาดเท่ากัน แต่ละชั้นแบ่งออกเป็น 4 ห้อง มีบันไดไม้ภายในตั้งอยู่ที่อาคารทิศใต้ พื้นอาคารเป็นไม้ หลังคาของอาคารทั้ง 3 หลัง เป็นหลังคาทรงปั้นหยา โครงสร้างไม้มุงด้วยกระเบื้องจีน หลังคาไม่มีชายคาที่บริเวณขอบหลังคามีระบายน้ำฝนซึ่งไหลลงท่อน้ำสังกะสีที่ติดอยู่กับตัวอาคาร ประตูเป็นบานเปิดคู่ลูกฟักและบานเกร็ดไม้ ช่องแสงไม้เหนือประตูฉลุลวดลายสวยงาม หน้าต่างเป็นบานกระทุ้ง ช่องแสงเหนือหน้าต่างเป็นซุ้มโค้งประดับกระจกสีและกระจกใส รูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบนีโอปัลลาเดียน ปัจจุบันพื้นที่ใช้สอยภายในอาคารถูกปรับเปลี่ยนเป็นห้องพัก ห้องน้ำ และห้องอาหารโดยมีการต่อเติมห้องครัว สร้างสระว่ายน้ำ ห้องเครื่อง ห้องน้ำ และศาลาริมน้ำ

เนื่องจากอาคารถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน มีสภาพทรุดโทรม บางส่วนพังทลาย เกิดน้ำท่วมขังเป็นครั้งคราว และถนนเข้า ไม่ถึง ทำให้การปรับปรุงอาคารโดยคงลักษณะทางสถาปัตยกรรมของอาคารเดิมไว้ให้ได้มากที่สุดเป็นเรื่องที่ท้าทาย อย่างไรก็ตาม จากการทำงานอย่างเต็มความสามารถของทีมงานทำให้การปรับปรุงอาคารสามารถรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมเอาไว้ได้

Phraya Palazzo Building

  • Location 757/1 Soi Somdet Phra Pin Klao 2, Somdet Phra Pin Klao Road, Khwaeng Bang Yi Khan, Khet Bang Phlat, Bangkok
  • Architect / Designer not find name
  • Conservation Designer Asst. Prof. Wichai Pitukworarat
  • Proprietor Krung Thep Wittaya Tan Islamic Foundation Rented by Phraya Palazzo Co., Ltd.
  • Date of Construction 1923
  • Conservation Awarded 2011

History

Praya Palazzo Building or formerly named Ban Bang Yi Khan is located on the bank of the Chao Phraya River. It was the residence of Phraya Chonlapunpanich – a Chinese noble in the reign of King Rama V. He was the founder of Anekwanich Family. In 1955, the house was sold to Bangkok Noi Muslim Group to use as the building of Ratchakarun School. The school was closed down in 1978 and the building has been leased by a vocational school until 1996. After that, the building was deserted. It has been rented by Praya Palazzo Com. Ltd. since 2008. The company executives led by Asst. Prof. Wichai Pitukworarat restored the building and it becomes a hotel and a restaurant named Praya Palazzo.

It consists of 3 brick masonry buildings. Each has 2 storey connected by a terrace. There is a space between the buildings. The first and the second floors consist of a large hall with the stairs leading from outside to the hall of the second floor. The plan of the building in the South and North is in L-shaped design in the same size. Each floor is divided into 4 rooms, with the wooden stairs inside the building in the south. The floor is made of wood. The hipped roof is woodwork covered with Chinese tiles. Above the doors are beautiful wood carving. The arches above the windows are decorated with stained glass and clear glass. The architectural style is Neo Palladian. Presently, the area inside the buildings was modified for guestrooms,bathrooms and a dining room. The kitchen was added as well as a swimming pool and a pavilion, etc.

Although the building was abandoned for a long time and damaged by flooding from time to time and the restoration to maintain the original style is very hard, the working team is able to do very well. This valuable building has been preserved for the architecture and the history of the nation.


อาคารอริยาศรมวิลล่า

อ่านเพิ่มเติม

อาคารอริยาศรมวิลล่า

  • ที่ตั้ง เลขที่ 67 ซอยสุขุมวิท 1 (รื่นฤดี) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา จังหวัดกรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบหม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ และอาจารย์จรัล สมชะนะ
  • ผู้ออกแบบอนุรักษ์ ปริย เชนะกุล (ภูมิสถาปนิกและวางผัง) คุณสุทิต วังรุ่งอรุณ (สถาปนิก) บริษัท IFR โดย เดวิด ลีส์ และลดาวัลย์ ลีละยูวะ (มัณฑนากร)
  • ผู้ครอบครอง จุลวัฒน์ เชนะกุล นิศา เชนะกุล และปริย เชนะกุล
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2485
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

อาคารอริยาศรมวิลล่า หรือบ้านคุณพระเจริญวิศวกรรมเดิม ตั้งอยู่ฝั่งใต้ของคลองแสนแสบ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของคุณพระเจริญวิศวกรรม (เจริญ เชนะกุล) ขุนนางเชื้อสายอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลปัจจุบัน คุณพระเจริญวิศวกรรม ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่นานถึง 27 ปี จนได้รับขนานนามว่าเป็น บิดาแห่งวิศวกรไทย หลังจากที่คุณพระเจริญวิศวกรรมได้ถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. 2530 อาคารหลังนี้จึงตกแก่ทายาท คือ นายจุลวัฒน์ เชนะกุลและต่อมาได้มอบให้บุตรี คือ นางปริย เชนะกุล ซึ่งเป็นภูมิสถาปนิกที่มีความประสงค์ที่จะอนุรักษ์อาคารหลังนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างของอาคารทั้งทางด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และภูมิสถาปัตยกรรม ที่ผสมผสานกลมกลืนอย่างงดงาม โดยเริ่มทำการออกแบบปรับปรุงอาคาร พื้นที่โดยรอบซึ่งมีขนาด 1 ไร่ครึ่ง และก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมด้านหลังในปี พ.ศ.2548 โดยการก่อสร้างแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 ภายใต้ชื่อว่า อริยาศรมวิลล่า เป็นบูติคโฮเต็ล และเปิดให้มีการปฏิบัติธรรมเป็นสาธารณะกุศล

ลักษณะอาคารเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง 3 ชั้น โครงสร้างเป็นผนังรับน้ำหนัก รูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นการผสมผสานระหว่างบ้านทรงไทยร่วมสมัย วัสดุและเทคโนโลยีการก่อสร้างจากตะวันตก ซึ่งทำให้บ้านหลังนี้มีความโปร่งเบา หลังคาที่สูงลาดชันแต่ตวัดปลายให้โค้งอ่อนช้อยสามารถป้องกันแดดฝนได้ดี พื้นอาคาร ประตูหน้าต่าง ช่องลม ราวบันได และลูกกรงฉลุลาย ล้วนทำจากไม้สักที่มีความงดงามด้วยฝีมือช่าง พื้นที่ใช้สอยชั้นล่างประกอบด้วยพื้นที่นั่งเล่นและรับประทานอาหารของแขกซึ่งปรับเปลี่ยนมาจากห้องรับแขกเดิม และห้องอาหารซึ่งยังคงใช้ห้องอาหารเดิม ส่วนบริเวณที่จอดรถเดิมถูกกั้นเป็นพื้นที่ต้อนรับ ขนาดเล็ก พื้นที่ชั้น 2 ประกอบด้วยห้องนอน 2 ห้อง และชั้นสองครึ่งมีห้องนอน 1 ห้อง ซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ รับน้ำหนักโดยค้ำยันไม้ที่ถ่ายแรงลงผนังด้านล่าง พื้นที่ชั้น 3 เป็นห้องพระส่วนตัวของเจ้าของบ้าน ซึ่งปรับเปลี่ยนมาจากห้องนอนเดิมของคุณพระเจริญวิศวกรรม และมีการต่อเติมสะพานเชื่อมชั้น 3 มายังอาคารใหม่ทางด้านหลังบ้าน

นอกจาก อาคารบ้านคุณพระเจริญวิศวกรรม จะได้รับการอนุรักษ์โดยสามารถรักษารูปแบบดั้งเดิมทางสถาปัตยกรรม ที่มีคุณค่าไว้ได้แล้ว การรักษาต้นไม้ ที่ว่างและบรรยากาศโดยรอบอาคาร ยังได้รับการคำนึงถึงเช่นกัน โดยเจ้าของอาคารได้ให้ ความเคารพต่อบ้านหลังนี้ การสื่อความหมายของประวัติความเป็นมา วิถีชีวิตของอดีตท่านเจ้าของสถานที่ เพื่อให้เพียบพร้อม ด้วยคุณค่าของงานอนุรักษ์ที่เป็นองค์รวมอย่างสมบูรณ์ที่สุด

Ariyasomvilla

  • Location 67 Soi Sukhumvit 1 (Ruenrudi), Sukhumvit Road, Khwaeng Khlong Toei Nuea, Khet Vadhana, Bangkok
  • Architect / Designer M.C. Vothayakorn Voravan & Jarun Somchana
  • Conservation Designer Pariya Chenakul (Restoration of landscape architect and planning) Suthit Wangrungarun (Architect) IFR by David Lees and Ladawan Leelayuwa (Interior Designer)
  • Proprietor Julawat Chenakul, Nisa Chenakul and Pariya Chenakul
  • Date of Construction 1942
  • Conservation Awarded 2011

History

Ariyasomvilla or the house of Khun Phra Jaroen Visawakam (Jaroen Chenakul) is located on the South of the Sansab Canal. Khun Phra Jaroen Visawakam, a British engineer, had been the dean of Faculty of Mechanical Engineering of Chulalongkorn University for 27 years until he was designated as the “Father of Thai Engineer”. The building was restored to preserve as a good example of the architecture, engineering and landscape architecture with harmonious beauty. The area consists of 1.5 rai. The new building was built in the back in 2005. The building was completed to provide services in August 2008 under the name “Ariyasomvilla” as a boutique hotel. It is also opened for public charity on Dharma practice.

It is a 3 storey ferro concrete building in a combine contemporary Thai style with materials and construction technology from the West creating the building with a bright light. The high and slope roof with curve at the end can prevent rain and sunshine well. The floor, doors, windows, railings and balustrades are made of teakwood with beautiful craftsmanship. The ground floor is the living and dinner area for the guests. The second floor consists of two bedrooms and the half-second floor has one bedroom. The third floor is the private room of the owner. There is a bridge to go to the new building as well.

Apart from this, the space and trees surrounding the building have been designed to be consistent to the architectural style of the building. It is to indicate to the history and lifestyle of the founder of this building, which is valuable for historic preservation.


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้