พ.ศ. 2525

โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย

อ่านเพิ่มเติม

โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย

  • ที่ตั้ง 197 ถนนราชวิถี กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ นายเอ็ดวาร์ด ฮีลีและพระสมิทธิ์เลขา ออกแบบอาคารรุ่นแรก
  • พระสาโรชรัตนนิมมานก์ และหลวงวิศาลศิลปกรรม ออกแบบอาคารรุ่นที่ 2
  • ผู้ครอบครอง โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2458 – 2460 และรุ่นที่ 2 พ.ศ. 2475
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2525

ประวัติ

โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย เดิมชื่อว่า “โรงเรียนมหาดเล็กหลวง” ก่อตั้งขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในการที่จะสร้างโรงเรียนแทนการสร้างวัดประจำรัชกาลดังรัชกาลก่อนๆ เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2454 ขณะนั้นอาคารต่างๆ ยังเป็นกลุ่มเรือนไม้ หลังคามุงจาก อีก 4 ปีต่อมาจึงได้จัดสร้างอาคารอย่างถาวรขึ้นเป็นรุ่นแรก ประกอบด้วยหอสวด (หอประชุม) และอาคารเรียนรวมทั้งที่พัก 4 คณะ ได้แก่ คณะผู้บังคับการ คณะดุสิต คณะจิตรลดา และคณะพญาไท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯทรงพระราชทานแนวความคิดให้ออกแบบอาคารเป็นแบบไทย เพื่อให้สอดคล้องกับวัดเบญจมบพิตรที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสวนสัตว์ดุสิต นายเอ็ดวาร์ ฮีลี (Edward Healey) และพระสมิทธิ์เลขา (ปลั่ง) เป็นสถาปนิกโครงการเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2458 อาคารดังกล่าวได้ก่อสร้างเสร็จ และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเหยียบอาคารเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2460 อาคารกลุ่มนี้นับเป็นอาคารรุ่นบุกเบิกที่นำลักษณะสถาปัตยกรรมไทยมาใช้กับอาคารหลายชั้น ต่อมาพ.ศ. 2469 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก จึงโปรดเกล้าฯให้ย้ายโรงเรียนราชวิทยาลัย (ก่อตั้งขึ้นในรัชกาลที่ 5) มารวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเพื่อประหยัดงบประมาณ ในการนี้ทรงพระราชนามใหม่ว่า “โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย” เมื่อโรงเรียนขยายตัวขึ้น ดังนั้นจึงได้มีการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติม ได้แก่ ตึกวชิรมงกุฎ เป็นอาคารเรียนถาวร และตึกพยาบาล ออกแบบโดยพระสาโรชรัตนนิมมานก์ (สาโรช ร.สุขยางค์) และหลวงวิศาลศิลปกรรม (เชื้อ ปัทมจินดา) ก่อสร้างขึ้นในปี 2474 แล้วเสร็จปี 2475 ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยเช่นเดียวกับอาคารในรุ่นแรก

Vajiravudh College

  • Location 197 Ratchawithi Road, Bangkok
  • Architect/Designer Mr. Edward Healey and Phra Samitlekha: the first period
  • Phra Sarotrattananimman and Luang Wisansillapakam: the second period Proprietor Vajiravudh College
  • Date of Construction 1915 – 1917 AD.
  • Conservation Awarded 1982 AD.

History

Vajiravudh College was originally called “Mahadlek College” founded by intiation of King Rama VI. The school was opened in 1911, with school house of wooden buildings, thatched roofs. Four years later, construction of permanent building began which comprised the conference hall and buildings should be in Thai style to balance with Wat Benchamabopit on the opposite side of Dusit Zoo. Mr. Edward Healey and Phra Samitlekha were chief architects. The 5 buildings were completed and officially opened on 23rd January, 1917. They rank amongst the first group that applied Thai style to multi-storey buildings. In the reign of King Rama VII, 1926, the world faced the great economic downfall thus the King in order to save the budget, had Ratchawitthayalai School moved and united with Mahadlek College and renamed it “Vajiravudh College”. The increase of students thus led to the second period of construction in 1931 when the Vajuramongkut Building, the grand lecture hall, and a hospital hall were buit designed by Phra Sarotrattananimman and Luang Wisansilapakam. The Building was completed in 1932 in Thai style as those of the first period.


ห้องสมุดเนียลสัน เฮส์

อ่านเพิ่มเติม

ห้องสมุดเนียลสัน เฮส์

  • ที่ตั้ง 195 ถนนสุรวงศ์ กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ นายมาริโอ ตามาญโญ (Mario Tamangno) และ นายโจวันนี แฟร์เรโร (Giovanni Ferrero)
  • ผู้ครอบครอง สมาคมห้องสมุดเนียลสัน เฮส์
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2464
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2525 ใน พ.ศ. 2412

ประวัติ

คณะภรรยาของมิชชันนารีที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยได้รวมตัวกันเพื่อพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนหนังสือกันอ่านเรียกว่า “The Bangkok Ladies Bazaar Association” ซึ่งต่อมาได้จัดตั้งห้องสมุดขึ้น แต่ไม่มีอาคารถาวร เจนนี เนียลสัน (Jennir Nielson) ชาวเดนมาร์ก ภรรยาของนายแพทย์ที เฮย์เวิร์ด เฮส์ (Dr. T Heyward Hays) เป็นกรรมการคนหนึ่งของห้องสมุดนี้เป็นเวลา 25 ปี จนถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2463 หลังจากนั้นคุณหมอเฮส์ได้ซื้อที่ดินถนนสุรวงศ์สร้างเป็นห้องสมุดอย่างถาวรเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงภรรยา เรียกว่าห้องสมุดเนียลสัน เฮส์ เป็นอาคารรูปแบบนีโอคลาสสิค ออกแบบโดยนายมาริโอ ตามาญโญ(Mario Tamago) สถาปนิกชาวอิตาลี และสถาปนิกผู้ช่วยคือ นายโจวันนี แฟร์เรโร (Giovanno Ferrero) ผังอาคารสมมาตร ทางเข้าเป็นโถงรูปกลมหลังคาโดม ส่วนห้องอ่านหนังสือผังรูปตัวเอซ หลังคาปั้นหยามุงกระเบื้องว่าว ผนังโดยรอบเป็นหน้าต่างบานเกล็ดในซุ้มโค้งคั่นด้วยเสาอิง อาคารนี้มีสัดส่วนที่ลงตัวและสง่างาม ซึ่งสถาปนิกคือนายตามาญโญได้กล่าวไว้ว่าเป็นผลงานที่เขารักที่สุด และได้ดูแลการออกแบบจนถึงรายละเอียด อาคารนี้ได้ใช้เป็นห้องสมุดมาตลอดและมีการปรับปรุงบ้าง เช่น ปรับโถงทางเข้าเป็นห้องแสดงงานศิลปะ

Nielson Hays Library

  • Location 195 Surawong Road, Bangkok
  • Architect/Designer Mr. Mario Tamango, Mr. Giovanni Ferraro
  • Proprietor Nielson Hays Library Association
  • Date of Construction 1921 AD.
  • Conservation Awarded 1982 AD.

History

In 1869, a group of missionaries’ wives’ who lived in Bangkok gathered for meeting and exchanging books for reading. The group was called “The Bangkok Ladies Bazaar Association” who later set up a small library, although without a permanent building. Jennie Neilson, a Danish who married Dr. T Hayward Hays, was a member and committee who worked for the library for 25 years until she passed away in 1920. A year later, Dr.Hays, as a memorial for his beloved wife, bought a lanf on Surawong road and had a library hall built in neoclassic style designed by Italian architects, Mr. Mario Tamagno and Mr. Giovanni Ferrero. The building is symmetrically planned with a dome circular entrance hall in the middle, leading to an H-shaped reading hall. It is so integrated, well-designed and elegant that the architect, Mr. Tamagno, himself related that it was his favorite work, which he attended to its very detail. The building has always served as library since its completion; nevertheless there have been some alterations i.e. the entrance hall has been converted to an art gallery.


สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (วังลดาวัลย์)

อ่านเพิ่มเติม

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (วังลดาวัลย์)

  • ที่ตั้ง 173 ถนนราชสีมา เขตดุสิต กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
  • ปีที่สร้าง รัชกาลที่ 5
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2525

ประวัติ

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตั้งอยู่ ณ บริเวณที่เคยเป็นวังที่ประทับของสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ (พระองค์เจ้ายุคลฑิฆัมพร) พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระวิมาดาเธอกรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรดาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างวังนี้ขึ้น และพระราชทานนามว่า “วังลดาวัลย์” เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงกรมหมื่นภูมินทรภักดี (พระองค์เจ้าลดาวัลย์) พระบิดาของพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏฯ แต่ทั่วไปมักเรียกกันว่า “วังแดง” สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ได้ประทับที่วังนี้จนสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2475 จากนั้นวังได้ตกเป็นของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเขตมงคล พระชายา ซึ่งได้ขายวังนี้ให้แก่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในปี 2488 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากนั้นได้มีการบูรณะอาคารพระตำหนักที่ประทับและได้ใช้เป็นที่ทำการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาจนปัจจุบัน พระตำหนักที่ประทับ เป็นสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์รีไววัล ตัวอาคาร 2 ชั้น และมีหอคอย 3 ชั้นทางปีกขวา หลังคาปั้นหยามุงด้วยกระเบื้องโมเนียร์จากฝรั่งเศส ผนังชั้นล่างเซาะร่องเลียนแบบการก่อหิน ชั้นบนผนังเรียบตกแต่งด้วยปูนปั้น นอกจากสถาปัตยกรรมแล้ว รายละเอียดการตกแต่งภายในก็น่าสนใจเพราะมีการนำศิลปะจีนมาใช้การตกแต่ง อาทิ จิตรกรรมฝาผนัง ภาพไม้แกะสลัก เหล็กดัด และดวงโคม

Crown Property Bureau (Wang Ladawan)

  • Location 173 Ratchasima Road, Khet Dusit, Bangkok
  • Architect/Designer Unknown
  • Proprietor Crown Proerty Bureau
  • Date of Construction King Rama V
  • Conservation Awarded 1982 AD.

History

The office of the Crown Property Bureau is located in the palace of Prince Krommaluang Lopburiramet, s son of King Rama V and Phra Wimadathoe Krommaphra Sutthasininat. The King had the palace built for Prince and named it “Wang Ladawan” after the name of the Prince’s grandfather, Krommamuen Phumintharaphaphakdi (Prince Ladawan). Prince Krommaluang Lopburiramet lived at this palace until he passed away in 1932, then the property was sold to Crown Property Bureau in 1945, after WW II. The Bureau had restored the building and has used it as their office until today. The architecture of the palace is Renaissance Revival style, 2-storrey, with a 3 storeyed tower at the right wing. The roof is hipped with monier roof tiles imported from France. The ground floor walls are rusticated; the first floors are plain, decorated with stuccos. The interior is also interestingly adorned with Chinese.


สถานีรถไฟหัวหิน

อ่านเพิ่มเติม

สถานีรถไฟหัวหิน

  • ที่ตั้ง อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง การรถไฟแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2454
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2525

ประวัติ

สถานีรถไฟหัวหิน ประกอบด้วยอาคาร 2 หลัง เป็นอาคารชั้นเดียว โครงสร้างเสา-คานคอนกรีตเสริมเหล็ก ผนังไม้ หลังหนึ่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมวิคตอเรียนแบบ Stick Style หลังคาจั่วปาดมุม (hipped gable) มุมกระเบื้องว่าว ด้านหน้ามีมุขทางเข้า 3 มุข ผนังตกแต่งด้วยการตีไม้แบ่งเป็นช่วงจังหวะและมีเท้าแขนไม้รับชายคา ส่วนอีกหลังหนึ่งมีรูปแบบและองค์ประกอบแบบไทยประยุกต์ ก่อสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2454 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นช่วงที่หัวหิน เป็นสถานที่ตากอากาศที่เป็นที่นิยมสูงสุดในหมู่คหบดีและพระบรมวงศานุวงศ์ สถานีนี้เป็นหนึ่งในสถานีประวัติศาสตร์ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้อนุรักษ์ไว้ และได้ดำเนินการบูรณะปรับปรุงมาเป็นระยะๆ โดยรักษารูปแบบเดิม และได้มีการใช้สอยเป็นสถานีรถไฟสืบเนื่องมาตลอดนับแต่แรกสร้างจนปัจจุบัน

Hua Hin Railway Station

  • Location Amphoe Hua Hin, Prachuab Khrikhan Province
  • Architect/Designer Unknown Proprietor State Railway of Thailand
  • Date of Construction 1911 AD
  • Conservation Awarded 1982 AD

History

Hua Hin Railway Station comprises 2 historic building of one-storey, reinforced concrete structure with wooden walls. One building is Victorian, Stick style with hipped gable roof, cement roof tiles, 3 porches at the front, and wooden walls decorated with battens and brackets. Another building is of applied Thai style. They were constructed in 1911 AD, King Rama VI period, when Hua Hin was the most favorite seaside resort especially amongst members of royal family and rich people. The building is one of Thailand’s historic stations that the State Railway of Thailand has conserved. Restorations and improvements have been implemented along the course of time, however, the original characteristics have been well preserved and it has functioned as a railway station from completion until today.


ศาลากลางภูเก็ต

อ่านเพิ่มเติม

ศาลากลางภูเก็ต

  • ที่ตั้ง 5 ถนนนริศร ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2456
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2525

ประวัติ

ศาลากลางจังหวัดภูเก็ตเป็นอาคาร 2 ชั้น สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล หันหน้าทางทิศใต้ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ล้อมรอบลานโล่ง 2 ลาน ไม่มีหลังคาคลุม ซึ่งเป็นลักษณะการวางผังที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมจีน ทั้งชั้นบนและชั้นล่างมีระเบียงโดยรอบ มีแผงกันแดดบานเกล็ดไม้ที่เหมาะกับภูมิอากาศร้อน ฝนตกชุกของภูเก็ต การตกแต่งอาคารเป็นไม้ฉลุที่ส่องแสง และมุมเสาอาคารนี้เดิมมีแต่ประตู 99 บาน ไม่มีหน้าต่าง ต่อมาจึงมีการต่อเติมหน้าต่าง 2 บาน ที่มุขด้านหลังที่สนามด้านหน้าอาคารประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อาคารหลังนี้ได้ก่อสร้างขึ้นโดยดำริของพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดีสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ท่านได้กำหนดให้บริษัททุ่งคาคอมเปาด์ก่อสร้างอาคารแลกเปลี่ยนกับการอนุญาตให้ประทานบัตรในการขุดแร่ ท่านได้ถึงแก่อนิจกรรมก่อนการก่อสร้าง แต่การก่อสร้างยังคงดำเนินไปจนแล้วเสร็จและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดในคราวเสด็จประพาสภูเก็ตครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2460 อาคารนี้ได้ใช้เป็นศาลากลางจังหวัดมาโดยตลอดและได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี

Phuket Provincial Hall

  • Location 5 Narit Road, Tambon Talad, Amphoe Mueang, Phuket Province
  • Architect/Designer Unknown
  • Proprietor Office of the Permanent Secretary, Ministry of Interior
  • Date of Construction 1913 AD
  • Conservation Awarded 1982 AD

History

Phuket Provincial Hall is a 3-storey building, Colonial style, with rectangular plan that encloses 9 open courts, which is influenced by Chinese architecture. Both floors are surrounded by verandahs on outer and inner sides. Between the varandah columns are fitted with wooden louvres as sun shades. Decorations are wooden fretwork at the light windows and brackets. The original building was with 99 doors, no window, but in later period, 2 windows were added to the back porch. In front of the building, there is a round lawn where the monument of King Rama V is situated. The building was constructed by initiation of Phraya Rasadanupradit (Kho Sim Bi), the Govermor of Monthol Phuket. Thung Kha Compound Co., Ltd. was commissioned to construct the building as an exchange for a mining concession. Phraya Rasdanupradit passed away before the project began, however, the work proceeded until finished and the Hall was officially opened on 22nd April, 1917, presided over by King Rama VI. The building has been used as the Provincial Hall until today, and has been well conserved and maintained as one of Phuket’s historic buildings.


ตำหนักปลายเนิน

อ่านเพิ่มเติม

ตำหนักปลายเนิน

  • ที่ตั้ง 1160 ถนนพระราม 4 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์
  • ผู้ครอบครอง ม.จ. เอมจิตร จิตรพงศ์, ม.จ. กรรณิการ์ จิตรพงศ์
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2457
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2525

ประวัติ

ตำหนักปลายเนิน เดิมเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ แต่เดิมพระองค์ท่านประทับอยู่ที่วังท่าพระ แต่ต่อมาทรงพระดำริจะประทับอยู่ในที่ที่อากาศโปร่งสบายเพื่อช่วยให้พระอนามัยสมบูรณ์ขึ้น จึงได้ทรงหาซื้อที่นาบริเวณคลองเตย ซึ่งเป็นชานเมืองในสมัยนั้นและสร้างตำหนักขึ้นในปี พ.ศ. 2457 ส่วนตำหนักที่ประทับนั้น ทรงให้ซื้อเรือนไทยอย่างโบราณที่สมัยนั้นไม่นิยมเห็นว่าล้าสมัย เจ้าของจึงมักขายไปในราคาถูก ทรงนำมาจัดวางผังตามแบบของพระองค์ท่าน คือจัดวางเรือนตามตะวันทุกหลัง เพื่อให้ลมพัดผ่านอย่างทั่วถึง ไม่จัดเป็นหมู่ล้อมชานแบบโบราณ ที่ประทับส่วนพระองค์เป็นเรือน 2 หลัง เชื่อมต่อกันด้วยชาน หลังหนึ่งเรียกว่า “ตำหนักโถง” อีกหลักเรียกว่า “ตำหนักบรรทม” จากตำหนักโถงมีชานกว้างเชื่อมกับเรือนของพระชายาและพระโอรสธิดา เมื่อแรกสร้างหลังคามุงจากทุกหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นกระเบื้องไม้สักใน พ.ศ. 2507 หลังจากที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์สิ้นพระชนม์แล้ว 17 ปี ได้มีการปรับปรุงบ้าน จึงย้ายเฉพาะเรือนที่ประทับ 2 หลัง ลงมาทางใต้ของที่ตั้งเดิมประมาณ 30 เมตร และดำเนินการบูรณะ โดยเปลี่ยนวัสดุบางส่วนแต่ผังและรูปแบบของอาคารบังเป็นแบบเดิม ภายในห้องต่างๆ จัดเป็นที่เก็บรักษาศิลปวัตถุของพระองค์ท่านที่นำมาจากวังท่าพระ ปัจจุบันตำหนักปลายเนินเปิดให้เข้าชมเฉพาะวันครบรอบวันประสูติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ คือวันที่ 28 เมษายน ของทุกปี

Tamnak Plai Noen

  • Location 1160 Rama VI Road, Khwaeng Khlong Toei, Khet Khlong Toei, Bangkok
  • Architect/Designer Prince Krommaphraya Narisaranuwattiwong Proprietor Mom Chao Emchit Chitraphong
  • Date of Construction 1914 AD.
  • Conservation Awarded 1982 AD.

History

Tamnak Plai Noen (Plai Noen Pavilion) was formerly a residence of Prince Krommaphraya Narisaranuwattiwong, who has this pavilion built in Khlong Toei, a countryside of those days, where he would stay as a resort to improve his health. The pavilion was built in 1914, which comprises Thai traditional houses bought and laid out according to the Prince’s design. Thus the houses were built on east-west axis in order to get better ventilation than grouping them around a deck as traditionally done. The Prince had two houses as his private quarter, one of which is a reception hall, another residential hall. These halls were connected to his wife’s and children houses by a large deck. All building was thatched at first built, but later changed to teak shingles. In 1964, 17 years after the Prince passed away, a major development of the whole area was carried out and only the Prince’s 2 private houses were conserved and relocated, with some alterations of material. At present, they serve as exhibition halls for the Prince’s art object which is open to the public only on his birthday anniversary, 28th April of every year.


ตึกสุนันทาลัย

อ่านเพิ่มเติม

ตึกสุนันทาลัย

  • ที่ตั้ง โรงเรียนราชินี 444 ถนนมหาราช แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง โรงเรียนราชินี
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2423
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2525

ประวัติ

ตึกสุนันทาลัย เป็นสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิค ผังรูปกากบาทมีมุขหน้าหลังคาจั่ว ด้านหน้าทำเป็นแผงประดับปิดหน้าจั่วรูปโค้ง ประดับตราแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 และปูนปั้น ที่แผงประดับมีอักษรปูนปั้นเขียนว่า “Royal Seminary” ถัดลงมาคั่นด้วยคิ้วบัวมีจารึกกล่าวถึงปีที่ก่อสร้างอาคาร รอบอาคารทั้งสองชั้นเป็นระเบียงอยู่ภายในแนวซุ้มโค้ง (arcade) แต่เดิมที่ส่วนกลางของอาคารเคยมีหลังคาซ้อนชั้นคล้ายโดมแปดเหลี่ยม ที่ยอดเป็นหอแบบที่เรียกว่า lantern แต่ต่อมาได้รื้อออกไป ตึกสุนันทาลัยนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2423 เพื่อเป็นที่ระลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งสวรรคตด้วยอุบัติเหตุทางเรือ เมื่อแรกสร้างเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสุนันทาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนชาย ต่อมาในปี พ.ศ. 2445 โรงเรียนสุนันทาลัยได้ปิดลงเพราะมีนักเรียนน้อย จึงโปรดเกล้าฯ ให้โรงเรียนราชินีที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถทรงจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2447 ย้ายมายังบริเวณโรงเรียนสุนันทาลัยเดิมในปีพ.ศ. 2449 ตึกสุนันทาลัยจึงเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนราชินีตั้งแต่นั้นมา แต่เดิมตึกสุนันทาลัยเคยใช้เป็นอาคารเรียนและตึกประชุม เคยมีการบูรณะใหญ่ใน พ.ศ. 2528 ปัจจุบันชั้นล่างใช้เป็นโรงอาหาร และบางส่วนของชั้นบนใช้เป็นห้องเรียนดนตรีไทย

Sunanthalai Building

  • Location Rajini School 444 Maharat Road, Khwaeng Phra Borommaharatchawang, Khet Phra Nakhon, Bangkok
  • Architect/Designer Unknown
  • Proprietor Rajini School
  • Date of Construction 1880 AD
  • Conservation Awarded 1982 AD

History

Sunanthalai Building is a neoclassic architecture with cross-shaped plan, hipped roof, which is enhanced by an arched fractable decorate with the Royal Seal of King Rama V, supported by a beam on which the name “Royal Seminary” is written in stucco. Both floors are surrounded by arcades. Originally, the middle area war covered by a tired roof of octagonal dome shape with a lantern at the top, but this part has been removed. Sunanthalai Building was built by order of King Rama V as a memorial hall for Queen Sunanthakumarirat who died of a boat accident. The building was firstly the Sunanthalai School until it was closed down in 1902. Then the King had Rajini School of Queen Si Patcharinthra moved here in 1906. The building was formerly used as classrooms and conference hall. After major restoration in 1985, the ground floor is used as canteen and part of the first floor is for thai music classes.


จวนผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา (พระตำหนักเขาน้อย)

อ่านเพิ่มเติม

จวนผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา (พระตำหนักเขาน้อย)

  • ที่ตั้ง 3 ถนนสะเดา ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง กระทรวงมหาดไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2454
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2525

ประวัติ

จวนผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เดิมเป็นพระตำหนักของพลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ก่อสร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. 2454 ระหว่างที่พระองค์ท่านเสด็จไปดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ช่วงพ.ศ. 2453 – 2458 และต่อมาทรงดำรงตำแหน่งอุปราชมณฑลปักษ์ใต้ในช่วงปี 2458 – 2468 พระตำหนักนี้เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จประพาสเมืองสงขลาในเดือนมิถุนายน 2458 อีกทั้งเคยเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถในรัชกาลปัจจุบัน เมื่อปีพ.ศ. 2502 ตัวอาคารมีรูปแบบสถาปัตยกรรมโดเมสติก รีไววัล หลังคาปั้นหยาทรงสูงมุงกระเบื้องดินเผาปลายแหลมแบบพื้นถิ่น มีมุขยื่นทางปีกซ้ายและปีกขวา ระหว่างทั้ง 2 เป็นห้องใต้หลังคาซึ่งมีหลังคายื่นเป็นเพิงซ้อนอยู่บนหลังคาหลัก ภาพรวมคล้ายบ้านพื้นถิ่นของอังกฤษ ภายในอาคารยังอนุรักษ์เครื่องเรือนโบราณและการตกแต่งที่น่าสนใจ อาทิ ตู้ติดผนังรูปโค้งตามรูปห้อง และครัวฝรั่งซึ่งประดับด้วยกระเบื้องดินเผาเกาะยอที่เนื้อดินมีลวดลายคล้ายหินอ่อนแปลกกว่าที่อื่น พระตำหนักเขาน้อยได้รับการอนุรักษ์ไว้ และใช้เป็นจวนผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลามาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2507 จนปัจจุบัน

Songkhla Governor Residence (Phra Tamnak Khao Noi)

  • Location 3 Sadao Road, Tambon BoYang, Amphoe Mueang, Songkhla Province
  • Architect/Designer Unknown
  • Proprietor Ministry of Interior
  • Date of Construction 1911 AD
  • Conservation Awarded 1982 AD

History

Songkhla Governor Residence was originally called “Phra Tamnak Khao Noi” (Khao Noi Pavilion), the residence of General Prince Yukhonthikhamphon Krommaluang Lopburiramet built in 1911 AD during the time when he was the Viceroy of Monthol Pak Tai during 1915 – 1925. It used to be a reception house for King Rama VI on his visit to the south in June, 1915. HM King Bhumibol Adulyadej and HM Queen Sirikit also stayed at this pavilion in 1959. The pavilion is Domestic Revival architecture with high-pitched hipped roof, local terracotta roof tiles, and one porch at each wing. Between the two porches is an attic, which is partly covered by a lean-to roof projecting from the main roof. The appearance is similar to that English vernacular house. The interior still retains the original atmosphere with the old built-in furniture and a Western style kitchen, which is interestingly decorated with local tiles that has special texture like marble. Phra Tamnak Khao Noi has been conserved and used as the Governor Residence since 1964 until the present day.


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้