พ.ศ. 2549

พิพิธภัณฑ์พธำมะรงค์

อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์พธำมะรงค์

  • ที่ตั้ง เลขที่ 1 ถนนจะนะ ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
  • ผู้ครอบครอง เทศบาลนครสงขลา
  • ปีที่สร้าง พ.ศ.2532
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2549

ประวัติ

บ้านพิพิธภัณฑ์พธำมะรงค์ หรือบ้านประจำตำแหน่งพะทำมะรง (เดิมใช้คำว่า พธำมะรงศ์) อันเป็นตำแหน่งเก่าแก่ ของข้าราชการกรมราชทัณฑ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ซึ่งครั้งหนึ่ง รองอำมาตย์โทขุนวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) บิดาของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ (นายกรัฐมนตรีคนที่ 16 และรัฐบุรุษของไทย) ท่านได้เคยดำรงตำแหน่ง พะทำมะรงพิเศษ เมืองสงขลา ในปี พ.ศ.2457 ต่อมาบ้านหลังนี้ได้ผุพังไปตามกาลเวลา และโดนรื้อถอนลง ต่อมาในปี พ.ศ. 2530นายสนิท รุจิณรงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ในขณะนั้น ร่วมกับภาครัฐและเอกชน ได้เริ่มก่อสร้างบ้านประจำตำแหน่งพะทำมะรงขึ้นมาใหม่ ตามหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนั้น บนที่ดินซึ่งได้รับการบริจาคจากเอกชน ไม่ใช่ที่ตั้งเดิมของบ้าน โดยมีจุดประสงค์ เพื่อเป็นการเชิดชูวงศ์ตระกูลติณสูลานนท์ ในวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2532 มีพิธีเปิดใช้อาคารอย่างเป็นทางการ ด้วยงบประมาณการก่อสร้าง 736,039 บาท ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์พธำมะรงค์ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากเทศบาลนครสงขลา โดยเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าเข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ นอกจากนี้ในช่วงเย็นของวันศุกร์ และวันเสาร์ พิพิธภัณฑ์ยังได้เปิดให้เข้าชมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการเรียนรู้บนกิจกรรมถนนคนเดินอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์พธำมะรงค์ เป็นเรือนไม้ยกพื้นชั้นเดียวใต้ถุนสูง วางบนฐานเสาสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด 0.40 x 0.40 เมตร หลังคาทรงปั้นหยาแบบเรือนภาคใต้ มุงด้วยกระเบื้องเกาะยอ ประกอบด้วย เรือนพักอาศัย และเรือนครัว มีชานพื้นไม้เปิดโล่ง เชื่อมถึงกัน ผนังไม้ตีซ้อนเกล็ดถ่ายน้ำหนักสู่โครงเคร่า และเสาไม้ตามลำดับ หน้าต่างและประตูเป็นบานเปิดคู่ ภายในมีการจัดแสดงข้างของเครื่องใช้ ตลอดจนภาพสื่อความหมายถึงประวัติของครอบครัวติณสูลานนท์ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ด้านข้างของพิพิธภัณฑ์เป็นเรือนไม้โปร่งชั้นเดียว และบ่อน้ำ ปัจจุบันเรือนดังกล่าวใช้เป็นศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวของเทศบาลนครสงขลา

พิพิธภัณฑ์พธำมะรงค์เป็นตัวอย่างงานอนุรักษ์ประเภทการสร้างขึ้นใหม่ อีกทั้งยังมีความสำคัญในแง่ของการริเริ่มและร่วมมือของประชาชนเพื่อเชิดชูเกียรติประวัติของบุคคลสำคัญในท้องถิ่น

Phathammarong Museum

  • Location Chana Road, Tambon Bo Yang, Amphoe Mueang, Songkhla Province Proprietor Songkhla Municipality
  • Date of Construction Circa 1988 – 1989
  • Conservation Awarded 2006

History

General Prem Tinsulanonda, 16th Prime Minister of Thailand and Thai statesman, was born on 26thAugust, 1920. His parents are Rong Ammat Ek Luang Phinitthanthakam (Bueng Tinsulanonda) and Mrs. On Matthakun. General Prem is a nationally significant person, a native of Songkhla who has made great contributions to the country. He took the position of the 16th Prime Minister of Thailand on 2ndMarch, 1980, and served 5 terms as a Prime Minister. At present, he is the Head of the Privy Council to H.M. the King.

Phathammarong Museum (Jail Warden Museum) is a reconstruction of General Prem Tinsulanonda’s birthplace, a house when his father was a warden of Songkhla Prison. The house is a traditional Southern Thai architecture, built of wood on raised floor, local pointed-end terracotta tiled roof. The site on which the building is located was a private property contributed by the owner to build the Phathammarong museum.

Phathammarong Museum is an model example of a home reconstruction. It serves as a memorial, as well as being important in terms of public initiation and cooperation aimed at honoring an important person of the locality who has become a historic figure.


อาคารสถานีรถไฟเชียงใหม่

อ่านเพิ่มเติม

อาคารสถานีรถไฟเชียงใหม่

  • ที่ตั้ง ถนนเจริญเมือง ตำบลวัดเกตุ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ
  • ผู้ครอบครอง การรถไฟแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2490 – 2491
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2549

ประวัติ

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารสถานีรถไฟเชียงใหม่หลังเดิม ได้ถูกเครื่องบินบี 24 ทิ้งระเบิดพินาศสิ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2486 หลังจากนั้น กรมรถไฟหลวงได้ดำเนินการออกแบบและจัดสร้างอาคารสถานีรถไฟเชียงใหม่หลังปัจจุบันขึ้น อาคารได้รับการออกแบบโดยหม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ ในปี พ.ศ. 2489 ซึ่งปรากฏข้อความในแบบพิมพ์เขียวอาคารสถานีรถไฟเชียงใหม่ว่า ลอกจากแบบเดิม 12 ม.ค.2589 ชำรุด อาคารสถานีรถไฟเชียงใหม่หลังนี้เปิดใช้งานในปี พ.ศ. 2491

ผังพื้นของอาคารสถานีรถไฟเชียงใหม่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนด้านทิศตะวันตกเป็นอาคาร 2 ชั้นผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าประกอบด้วยห้องจำหน่ายตั๋ว ห้องทำงานของนายสถานีและพนักงานการรถไฟ ส่วนด้านทิศตะวันออกประกอบด้วยส่วนทำงานเจ้าหน้าที่ ห้องรับรอง ห้องน้ำ ห้องฝากสัมภาระและหอนาฬิกา ซึ่งเป็น

จุดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของสถานีรถไฟแห่งนี้ และส่วนกลางอาคารเป็นโถงพักคอยซึ่งเชื่อมต่อส่วนตะวันตก ส่วนตะวันออก และชานชาลาเข้าไว้ด้วยกัน รูปแบบสถาปัตยกรรมอาคารสถานีรถไฟเชียงใหม่เป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนแบบไทยภาคกลางประยุกต์ เช่น การใช้ตัวเหงาปั้นลมที่หลังคา ใช้หลังคาจัตุรมุขซ้อนชั้นบริเวณหอนาฬิกา รวมไปถึงการประดับตกแต่งส่วนรายละเอียดบริเวณเสา บัวหัวเสา เป็นต้น ผสมกับรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในการออกแบบผังอาคารตามประโยชน์ใช้สอย และการใช้ผนังชั้นบนของอาคารด้านทิศตะวันตกรูปแบบฮาฟ ทิมเบอร์ (Half timber)

การรถไฟแห่งประเทศไทยได้มีการต่อเติมและปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยอาคารสถานีเชียงใหม่ โดยปรับผังพื้นอาคารให้ต่างไปจากแบบที่หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ ทำการออกแบบไว้เล็กน้อยและได้เพิ่มอาคารที่ใช้เป็นพื้นที่สำหรับร้านอาหารและห้องน้ำภายในบริเวณอาคารสถานี โดยอาคารที่ทำการก่อสร้างเพิ่มเติมก็ได้รับการออกแบบให้มีรูปแบบที่สอดคล้องและกลมกลืนกับอาคารเดิม นอกจากนี้อาคารสถานีรถไฟเชียงใหม่ยังได้รับการอนุรักษ์รูปแบบอาคารเดิมไว้รวมไปถึงการบำรุงรักษาอาคารให้ใช้งานได้สะดวกและอยู่ในสภาพดีเสมอเพื่อคงอยู่เป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของสถานีปลายทางในการเดินทางบนเส้นทางรถไฟสายเหนือตลอดไป

Chiang Mai Railway Station Building

  • Location Charoenmueang Road, Tambon Wat Ket, Amphoe Mueang, Chiang Mai Province
  • Architect / Designer M.C. Wothayakon Worawan
  • Proprietor State Railway of Thailand
  • Date of Construction 1947-1948
  • Conservation Awarded 2006

History

The previous railway station of Chiang Mai was devastated during the Second World War; hence the new railway station was designed by Professor Mom Chao Wothayakon Worawan in 1946 and officially opened in 1948.

The plan was divided in to three parts. Ticket office, station master and administrator office are in the west side. Operational area, reception, restrooms, luggage storage and a prominent icon “clock tower” are located in the east while the central part is a hallway connecting east and west sections and platforms together. This brick masonry train station features the applied Central Thailand style by using Ngoa Pan Lom at the roof, Tetrahedron at the clock tower and detailed decorations at pillars and capitals. Furthermore, Western architecture also influenced the functionality of plan design and half-timber technique was applied to wall surfaces in the upper storey of the west building.

Afterwards, State Railway of Thailand slightly altered Mom Chao Wothayakon’s original plan and extended the area for indoor cafeteria and restrooms. However, the architectural style was still well-maintained and the building has been preserved in proper condition to perpetuate the iconic terminal of Northern line.


อาคารบริติชเคาน์ซิลเชียงใหม่

อ่านเพิ่มเติม

อาคารบริติชเคาน์ซิลเชียงใหม่

  • ที่ตั้ง เลขที่ 198 ถนนบำรุงราษฎร์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
  • ผู้ครอบครอง ชาตรี ชัยมงคล เช่าโดย บริษัท บริติชเคาน์ซิล
  • ปีที่สร้าง ประมาณปี พ.ศ. 2480
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2549

ประวัติ

อาคารบริติชเคาน์ซิลเดิมเคยเป็นอาคารบ้านพักของชาวอเมริกัน ในอดีตย่านนี้เป็นที่พักของอเมริกัน มิชชันนารี ซึ่งประกอบด้วยโบสถ์ โรงพยาบาลแมคคอร์มิค โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย และโรงเรียนดาราวิทยาลัย ในเชียงใหม่มีอาคารรูปแบบเดียวกันอีก 2 หลัง ได้แก่ บ้านคิวริปเปอร์ (Arther Lionel Queripel’s House) ผู้จัดการบริษัทบอมเบย์เบอร์มา และบ้านนายแพทย์เอ็ดวิน ซี คอร์ต (Dr.Edwin C. Cort’s House) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแมคคอร์มิค ต่อมาอาคารหลังนี้ได้ใช้เป็นที่ทำการธนาคารสยามกัลมาจล สาขาเชียงใหม่ เมื่อธนาคารย้ายออกไป อาคารก็ถูกทิ้งร้างไประยะหนึ่ง หลังจากนั้น ชาวต่างชาติเข้ามาเช่า จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2530 บริษัท บริติชเคาน์ซิล ได้เช่าอาคารจนถึงปัจจุบัน

อาคารบริติชเคาน์ซิล ก่อสร้างขึ้นในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งย่านนี้มีความเจริญรุ่งเรือง เนื่องจากชาวตะวันตกที่มาทำธุรกิจการสัมปทานไม้และการเผยแพร่ศาสนา ตั้งโรงพยาบาลและโรงเรียน ทำให้อาคารหลังนี้มีรูปลักษณ์ที่มีคุณค่าแก่บริบทย่านนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบตะวันตกผสมศิลปะท้องถิ่นภาคเหนือ ชั้นล่างเป็นเสาก่ออิฐฉาบปูน ชั้นบนเป็นโครงสร้างไม้ หลังคาเป็นหลังคาปั้นหยาผสมหลังคาจั่ว มุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์ มีเตาผิงและปล่องเตาผิง มีระเบียงโดยรอบชั้นบนและชั้นล่าง มีการใช้วัสดุและภูมิปัญญาท้องถิ่นผสมผสาน เช่น การใช้ไม้ทำลวดลายในส่วนระเบียง พื้น ประตู หน้าต่าง ราวบันได

บริษัท บริติชเคาน์ซิล ได้เช่าอาคารหลังนี้จากเจ้าของ โดยมีเงื่อนไขไม่ให้ดัดแปลง ปรับปรุงอาคารและต่อเติมอาคาร และให้ทำการอนุรักษ์บำรุงรักษาอาคารโดยการซ่อมแซมและตกแต่งภายในให้ทันสมัยและเหมาะสมต่อการใช้สอย อย่างไรก็ตามพบว่า ระเบียงอาคารโดยรอบทั้ง 2 ชั้น มีการต่อเติม กั้นห้อง มาตั้งแต่เดิมอยู่แล้ว และมีการติดตั้งอุปกรณ์อาคาร อาทิเช่น เครื่องปรับอากาศระบบไฟฟ้า บันไดหนีไฟ และอุปกรณ์ดับเพลิงสมัยใหม่

British Council, Chiang Mai

  • Location 198 Bamrungrat Road, Amphoe Mueang, Chiang Mai Province
  • Proprietor Chatri Chaimongkhon (rented by British Council)
  • Date of Construction Circa 1937
  • Conservation Awarded 2006

History

British Council at Chiang Mai originally served as a residence for American missionaries before being converted to an office of Siam Commercial Bank, Chiang Mai Branch. After the bank moved out, the building was deserted for a period of time. It was subsequently occupied by foreigners until British council has rented the building in 1987 to function as its office in Chiang Mai until today.

British Council’s building, constructed prior to World War II, is located to the east of Ping River which was a flourishing business area at that time. The building thus represents the outstanding characteristic of its surrounding. Besides, it reflects the mixture of Western Colonial style and Traditional Northern Thai architecture such as hipped roofs with gables at ridge ends, fireplace chimney and balconies on all sides.

British Council had the building renovated in 2001, based on the concept that none of adaptation or extension would be executed. Therefore, merely minor repairs and interior decorations were carried out as well as certain facilities like air conditioning, electrical system, and modern fire extinguishers have been furnished.


กลุ่มอาคารเก่าโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย

อ่านเพิ่มเติม

กลุ่มอาคารเก่าโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย

  • ที่ตั้ง เลขที่ 117 ถนนแก้วนวรัฐ ตำบลวัดเกต อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ มีผู้ออกแบบหลายท่าน
  • ผู้ครอบครอง โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย
  • ปีที่สร้าง ตั้งแต่ พ.ศ. 2448 – 2491
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2549

ประวัติ

โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย เริ่มจากเป็นโรงเรียนชายวังสิงห์คำ ซึ่งเป็นโรงเรียนชายแห่งแรกในเชียงใหม่ ก่อตั้งโดย ดร.เดวิด กอร์ม เลย์ คอลลินส์ มิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน หลังจากนั้น ดร. วิลเลียม แฮรีส ได้มารับตำแหน่งครูใหญ่ต่อในปี พ.ศ. 2442 ซึ่งพ่อครู ดร.วิลเลียมและแม่ครูคอร์นีเลีย แฮรีส ภรรยา เห็นว่าโรงเรียนเดิมคับแคบจึงได้เรี่ยไรเงินเพื่อซื้อที่ดินและก่อสร้างโรงเรียนใหม่ขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2447 – 2448 รวมทั้งก่อสร้างบ้านแฮรีสเป็นอาคารหลังแรกของโรงเรียนขึ้น และเคยใช้เป็นสถานที่รับเสด็จสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมารในคราวเสด็จประพาสมณฑลพายัพ และทรงวางศิลาฤกษ์ตึกเรียนบัทเลอร์เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2448 โอกาสนั้นได้พระราชทานนามแก่โรงเรียนว่า โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2539บ้านแฮรีส และโบสถ์ ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปัจจุบันภายในบริเวณโรงเรียนยังมีอาคารเก่าแก่ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ได้แก่

บ้านพักมิชชันนารี ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2440 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอเมริกัน ไม่ทราบชื่อ รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น แบบโคโลเนียล มีระเบียงโดยรอบทั้งชั้นล่างและชั้นบน เดิมใช้เป็นที่พักของมิชชันนารีที่เข้ามาสอนที่โรงเรียน

อาคารเคนเนดี ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2453 ออกแบบโดยพ่อครูเรียด (Rev. Reid) รูปแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียลเป็นอาคาร 2 ชั้น มีโถงบันไดอยู่กลาง มีห้องขนาดใหญ่ทางปีกทั้ง 2 ข้าง ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง โครงสร้างผนังรับน้ำหนัก พื้นไม้ อาคารนี้ก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นหอพักนักเรียนประจำของโรงเรียน โดยได้รับทุนบริจาคจากตระกูลเคนเนดี ปัจจุบันปรับปรุงเป็นอาคารเรียน และที่ทำการครูระดับประถมศึกษา

อาคารเนลสัน เฮส์ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2463 เป็นอาคารอนุสรณ์แห่งความรักของนายแพทย์โทมัส เฮย์วาร์ด เฮส์ ซึ่งได้บริจาคเงินก่อสร้างขึ้นเป็นที่ระลึกถึงนางเจนนี เนลสัน เฮส์ ภรรยาของท่านที่ถึงแก่กรรม โดยใช้เป็นตึกวิทยาศาสตร์ รูปแบบอาคารมี 2 ชั้น เสาก่ออิฐมีระเบียงโดยรอบทั้งชั้นล่างและชั้นบน พื้นอาคารเป็นไม้ ปัจจุบันใช้เป็นอาคารเรียนระดับประถมศึกษา

อาคารเพาเวอร์ส ฮอลล์ ก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2471 โดยมีผู้บริจาครายใหญ่ คือ นายโทมัส แฮรีส เพาเวอร์ส สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาทรงพระกรุณาเสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอาคาร เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2471 เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กชั้นเดียว หลังคาจั่วผสมปั้นหยา พื้นและเพดานเป็นไม้ โครงสร้างเพดานเป็นโครงแข็งทำด้วยไม้ ไม่มีเสากลาง ทำให้มีพื้นที่ภายในกว้างขวาง เหมาะสมต่อการใช้สอยเป็นห้องสมุด

อาคารโรงละคร ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2472 – 2473 ออกแบบโดยนายแวน แอลเล็น แฮรีส เป็นอาคารชั้นเดียว รูปแบบ โคโลเนียล โครงสร้างผนังรับน้ำหนัก หลังคาจั่วโครงไม้ ก่อสร้างขึ้นจากทุนบริจาคของเพื่อนร่วมชั้นของพ่อครูแฮรีส ที่มหาวิทยาลัยปรินสตัน มลรัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา

อาคารบัทเลอร์ เป็นอาคารที่ก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2491 แทนอาคารบัทเลอร์หลังเดิม เริ่มการสร้างโดยพ่อครู ดร.เคนเนท อี. แวลส์ อาคารนี้เป็นอาคาร 2 ชั้น หลังคามะนิลา มีระเบียงด้านหน้า พื้นไม้ ปัจจุบันใช้เป็นอาคารเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น

อาคารแฮรีส ก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2491 ได้รับการตั้งชื่อว่าอาคารแฮรีสเพื่อเป็นเกียรติประวัติแด่พ่อครู ดร.วิลเลียม แฮรีส ผู้อุทิศชีวิตตลอดระยะเวลา 46 ปี บุกเบิกและก่อสร้างโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัยขึ้น อาคารนี้เป็นอาคาร 2 ชั้น หลังคามะนิลามีระเบียงด้านหน้า ปัจจุบันใช้เป็นอาคารเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น

Prince Royal’s College

  • Location 117 Kaeo Nawarat Road, Tambon Wat Ket, Amphoe Mueang, Chiang Mai Province
  • Architect / Designer Several architects
  • Proprietor Prince Royal’s College
  • Date of Construction 1905 – 1948
  • Conservation Awarded 2006

History

The Prince Royal’s College was originated from Wang Sing Kham Male School, the first men’s school in Chiang Mai founded by Dr. David Gorm Lay Collins, a missionary of the American Presbyterian. Dr. William Harris succeeded him as the principal in 1899. He and his wife, Mrs. Cornelia Harris, seeing the need for a larger area for the school, solicited contributions for buying the land and building a new school during 1904 – 1905, thus the Harris House, the first building, was constructed.

Ban Harris, or Harris House, was used for receiving HRH Crown Prince Vajiravudh during his visit to Monthon Phayap (Northern Administrative Unit) when he presided over the Official Foundation Stone Laying of Butler Building, the first classroom building on January 2nd, 1905. On the occasion, the Prince renamed the school “Prince Royal’s College” . In 1996, Harris House and the Church have received an Architectural Conservation Award given by the Association of Siamese Architects under Royal Patronage

There are several old buildings in the school which have been well conserved namely:

Missionary House Built in 1897, designed by an American architect whose name was not recorded. The house, a 2- storey Colonial building featuring verandahs on both floors, used to be a residence of missionaries who taught at the school.

Kennedy Hall Built in 1910, designed by Rev. Reid in Colonial style. The building is 2-stories high, with acentral staircase hall and large rooms on both wings. The structure is a wall-bearing with wooden floors. The building was built as a dormitory for students by contributions from the Kennedy family. At present, Kennedy Hall has been renovated and used as a lecture hall and office of elementary teachers.

Neilson Hays Building Designed by an American architect and built in 1920. The building is a memorial of love of Dr. Thomas Hayward Hays who contributed for building construction in memory of his deceased wife, Mrs. Jenny Neilson Hays. Originally used as a science building, it is quoted as the first pre-medical school of the North. The building is 2-storey structure with brick columns, verandahs, wooden floors, and functions as an elementary classroom building.

Powers Hall Built in 1928 by contributions of Mr. Thomas Harris Powers, hence the name “Powers Hall”. Upon completion, Queen Sawangwatthana, a consort of King Rama V presided over the Official Opening on 5thJanuary, 1928. The hall is single-storey, reinforced concrete building, hipped roof with gables at both ridge ends, wooden floors and ceilings. Its distinguished characteristics is the structural system which applies timber rigid frames to cover long span, making the interior spacious and open, suitable for its function as a library.

Auditorium Built during 1929 – 1930, designed by Mr. Van Ellen Harris. It is a single-storey Colonial architectureof wall-bearing structure, gable roof with wooden structure. The construction was contributed by Dr. Harris’s classmates in Princeton University, New Jersey, United States.

Butler Building Built in 1948 to replace the original Butler Building, initiated by Dr. Kenneth E. Wells, who took the position of principal administration and property to Prince Royal’s College. The building is 2-storey, Manila roof (hipped roof with gables at both ridge ends), with a front verandahs and wooden floors. At present, the building is used as a classroom building for lower secondary levels.

Harris Building Simultaneously built in 1948. The building was named “Harris Building” to honor Dr. William Harris who dedicated 46 years of his life in pioneering and founding the Prince Royal’s College. The building is a 2-storey, Manila roof (hipped roof with gables at both ridge ends) with front verandahs. At present, the building houses lower secondary school classrooms.


อาคารพิพิธภัณฑ์จวนไร้พรมแดน

อ่านเพิ่มเติม

อาคารพิพิธภัณฑ์จวนไร้พรมแดน

  • ที่ตั้ง ถนนตากสินมหาราช ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง
  • ผู้ครอบครอง จังหวัดระยอง
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2468
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2549

ประวัติ

อาคารพิพิธภัณฑ์จวนไร้พรมแดน เดิมเป็นอาคารจวนผู้ว่าราชการจังหวัดระยองที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2468 ในสมัยของพระยาวโรดมภักดี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดระยองระหว่างปี พ.ศ. 2464 – 2470 ต่อมาอาคารหลังนี้ถูกปล่อยให้มีสภาพทรุดโทรม หลังจากนั้น นางพวงเพชร กันยาบาล นายกเหล่ากาชาดจังหวัดระยอง (ภริยานายประกิต กันยาบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองในขณะนั้น) ได้ยกร่างโครงการศูนย์ศิลปาชีพเฉลิมพระเกียรติ เสนอขออนุมัติจากสภากาชาดไทย และได้ดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์อาคารเพื่อใช้เป็นที่ทำการโครงการ แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2546 และใช้ชื่ออาคารว่า ศูนย์ศิลปาชีพเฉลิมพระเกียรติ ครบรอบ 48 พรรษาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จังหวัดระยอง หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2547นายเสนอ จันทรา ได้รับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และได้เดินทางมายังอาคารหลังนี้พร้อมด้วยนางพรรณี จันทรา ภริยาซึ่งเป็นนายกเหล่ากาชาดจังหวัดระยอง คุณพรรณีได้เห็นความงามและคุณค่าของอาคาร มีความรู้สึกประทับใจ ประกอบกับมีความตั้งใจที่จะจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ขึ้น ท่านจึงเห็นความเหมาะสมที่จะใช้อาคารประวัติศาสตร์หลังนี้เป็นที่ทำการศูนย์การเรียนรู้ดังกล่าว จึงได้จัดตั้ง โครงการพิพิธภัณฑ์จวนไร้พรมแดน โดยปรับปรุงอาคารให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศและเป็นศูนย์ศิลปวัฒนธรรมชุมชน จังหวัดระยอง เป็นทางเลือกให้กับชุมชนในการใช้เวลาว่าง และเป็นแหล่งถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นให้กับเยาวชนและผู้ที่สนใจ โครงการพิพิธภัณฑ์จวนไร้พรมแดน เปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน อาคารพิพิธภัณฑ์จวนไร้พรมแดนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นเรือนไม้ยกใต้ถุนสูง มีบันไดภายนอกสำหรับขึ้นลงอาคารเชื่อมกับนอกชาน เสาส่วนล่างอาคารเป็นเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก ส่วนชั้นบนเสาไม้ หลังคาปั้นหยา มุงกระเบื้องว่าว ประตูและหน้าต่างเป็นไม้ มีการตกแต่งอาคารด้วยไม้ฉลุงดงาม อาคารพิพิธภัณฑ์จวนไร้พรมแดนนับเป็นตัวอย่างของการปรับปรุงฟื้นฟูที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สามารถรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมไว้ได้ นอกจากนี้ การใช้สอยอาคารยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและสังคมได้อย่างแท้จริง

Ban Nonthi (Ban Phibuntham)

  • Location 17, Rama I Road (at the corner of Kasatsuek Bridge and Yotse Bridge), Khwaeng Rong Mueang, Khet Pathumwan, Bangkok
  • Architect / Designer Central Building : no information 3-storey Building : Ercole Manfredi
  • Proprietor Department of Alternative Energy Development and Efficiency, Ministry of Energy
  • Date of Construction 1897
  • Conservation Awarded 2006

History

Ban Nonthi (Nonthi house) was built circa 1897 and given to Phraya Anurakratchamonthian (Mom Ratchawong Pum Malakul) by King Rama V. Later in 1913, building extension and landscape development were carried out from King Rama VI’s grant. In collaboration of Mr. Ercole Manfredi (architect), Mr. Galetti (engineer), Mr. Forno (artist), Mr. Dong Chong (craftsman) cooperating with Thai craftsmen, and Professor Rigoli (walls and ceilings painter), a new 3-storey building was set up within roughly 1 year on the budget of 150,000 Thai bahts. During the second world war, in 1941, Ban Nonthi was seriously damaged by explosions. Therefore, the government of General P. Phibunsongkhram approved the transaction to buy this house in 1955, having it restored and converting to a reception hall for state visitors. Some of the vital guests who had visited are Phraya Kallayanamaitri, Mr. Richard Nixon (when he was the Vice President of the United States), the President of Myanmar, Sadet Chao Suwanphuma of the Kingdom of Laos, etc., and Ban Nonthi was renamed “Ban Phibuntham”. In 1959, it was assigned to the National Energy Office which became a part of Ministry of Energy at present. Ban Nonthi (Nonthi House) represents Classic Revival architecture and features exquisite decorations in forms of carvings,sculptures and paintings, mostly influenced by Renaissance art. Distinctive elements are the display of Nondi (name of a bull, vehicle of Shiva) bull’s heads at door frames and other parts of the house, ceilings decorated with wood carvings and paintings of both Western pictures and depictions of Thai stories, such as Ramayana and Mekhla and Ramasura, painted in Western techniques, as well as magnificent floral and fruit designs. Major restoration of Nonthi House was carried out during 2003 – 2004 by the Fine Arts Department in order to preserve the historical and architechtural notablility of this house.


หอประชุมราชแพทยาลัยและศาลาท่าน้ำ

อ่านเพิ่มเติม

หอประชุมราชแพทยาลัยและศาลาท่าน้ำ

  • ที่ตั้ง โรงพยาบาลศิริราช ถนนพรานนก แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ หอประชุมราชแพทยาลัย ออกแบบโดย ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ ศาลาท่าน้ำ
  • ออกแบบโดย หลวงวิศาลศิลปกรรม ผู้ครอบครอง โรงพยาบาลศิริราช
  • ปีที่สร้าง หอประชุมราชแพทยาลัย พ.ศ. 2495 ศาลาท่าน้ำ พ.ศ. 2466
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2549

ประวัติ

โรงพยาบาลศิริราชเป็นสถาบันทางการแพทย์แห่งแรกของไทย ถือกำเนิดขึ้นโดยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการเป็นคอมมิตตี(Committee) จัดการโรงพยาบาลรักษาคนป่วยไข้ให้เป็นทานแก่ประชาชนทั่วไปขึ้นเป็นครั้งแรก ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2429ขณะที่คอมมิตตีกำลังดำเนินงาน สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ ได้สิ้นพระชนม์ด้วยโรคบิด เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2430 หลังจากที่พระราชทานเพลิงพระศพแล้ว ไม้และวัสดุที่ได้จากการก่อสร้างพระเมรุ ได้นำมาใช้ก่อสร้างอาคารกลุ่มแรกของโรงพยาบาล ซึ่งก่อสร้างขึ้น ณ บริเวณวังหลัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานนามโรงพยาบาลนี้ว่า โรงศิริราชพยาบาล และได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงพยาบาลอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2431

ศาลาท่าน้ำแต่เดิมเป็นอาคารไม้ หลังคาจั่ว ต่อมาในปี พ.ศ.2466 เมื่อเริ่มมีการปรับปรุงโรงพยาบาล ได้มีการก่อสร้าง ศาลาท่าน้ำใหม่ ออกแบบโดยหลวงวิศาลศิลปกรรม (เชื้อ ปัทมจินดา) เป็นสถาปัตยกรรมรูปแบบคลาสสิครีไววัล (Classic Revival) ลักษณะเป็นศาลาโล่ง หลังคาปั้นหยามุงกระเบื้องว่าว โดยมีการนำเอาลักษณะ Palladian motif มาใช้ และมีโป๊ะเป็นคอนกรีตศาลาท่าน้ำเป็นอาคารเก่าที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงพยาบาลศิริราชหลังหนึ่ง เป็นที่ซึ่งเคยเป็นที่สัญจรไปมาของผู้คนเพราะประชาชนทั่วไปใช้การสัญจรทางน้ำเป็นหลักโดยเฉพาะก่อนปี พ.ศ. 2475 ผู้ป่วยทางฝั่งพระนครจะเดินทางมาโรงพยาบาลศิริราชได้โดยทางน้ำเท่านั้น

หอประชุมราชแพทยาลัยได้ก่อสร้างขึ้นหลังจากการฉลอง 60 ปีศิริราช ณ บริเวณริมน้ำ เพื่อใช้เป็นอาคารอเนกประสงค์ ทั้งประชุม จัดงาน สอบ และเล่นกีฬา ออกแบบโดย ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ ในรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่ คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลได้ตั้งชื่ออาคารนี้ว่า หอประชุมราชแพทยาลัย เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงโรงเรียนราชแพทยาลัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดหอประชุม และพระราชทานปริญญาบัตร ณ หอประชุมนี้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2495

ปัจจุบันภายในบริเวณโรงพยาบาลศิริราชมีการก่อสร้างตึกใหม่ทดแทนตึกเดิม เพื่อให้รองรับกับความต้องการของผู้ป่วยที่มีจำนวนมากมาย ทำให้อาคารดั้งเดิมส่วนใหญ่ถูกรื้อถอนเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ยังคงมีอาคารที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของโรงพยาบาล รวมถึงศาลาท่าน้ำยังคงอนุรักษ์ไว้ตามแบบเดิม แม้ว่าจะได้ปรับปรุงเปลี่ยนส่วนโป๊ะและสะพานเป็นเหล็กให้แข็งแรงทนทานยิ่งขึ้น ส่วนหอประชุมราชแพทยาลัยก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและเป็นหนึ่งในอาคารอนุรักษ์ของโรงพยาบาลศิริราช

Siriraj Hospital

  • Location Phran Nok Road, Khwaeng Siriraj, Khet Bangkok Noi, Bangkok
  • Architect / Designer Ratchaphaettayalai Hall by Prof. M.C. Wothayakon Worawan Waterside Pavilion by Luang Wisansinlapakam
  • Proprietor Siriraj Hospital
  • Date of Construction Ratchaphaettayalai Hall 1952 Waterside Pavilion 1923 Conservation Awarded 2006

History

Siriraj Hospital, Thailand’s first medical institution, was initiated by the gracious kindness of HM King Chulalongkorn (Rama V) who had set up a committee comprising of royal family members and officials to establish a hospital for public service on 26th March, 1886. While the committee was working on this project, H.R.H. PrinceSirirajkakuthaphan, son of King Rama V, passed away from dysentery. Wood andmaterials from his Royal Funeral Pyre construction were taken to build the first buildings of the hospital in Wang Lang area and King Rama V named the hospital “Rong Siriraj Phayaban” (Siriraj Hospital), and presided over the opening ceremony on 26thApril, 1888.

Sala Tha Nam (Waterside Pavilion)

Sala Tha Nam was originally a wooden pavilion with gable roof. During a major renovation of the hospital in 1923, the pavilion was rebuilt and designed by Luang Wisan Silapakam (Chuea Pattamajinda).

Being influenced from Classic Revival architecture, it is an open building, hipped roof finished with kite shaped concrete roof tiles, along with application of Palladian Motif and concrete floating platform. The pavilion became a symbol of Siriraj Hospital and was originally a pier serving general people who traveled across the river by ferry boats, especially prior to 1932 when the hospital was only accessible by water route.

Ratchaphaetthayalai Hall

Constructed beside the river after the 60th Anniversary celebration of Siriraj Hospital, Ratchaphaetthayalai has served as a multi-purpose hall for various functions such as conference, ceremony, examination, and sports competitions. The building was designed by Professor Mom Chao Wothayakon Worawan in contemporaryThai style and the Faculty of Medicine Siriraj Hospital named the building “Ratchaphaetthayalai Hall” as a memorial to the Royal Medical School founded in the reign of King Rama V. Furthermore, HM King Bhumibol Adulyadej presided over its opening ceremony and conferred academic degrees on the graduation ceremony at the hall for the first time on 19th June, 1952.

At present Siriraj Hospital is crowded with new buildings due to the increasing number of patients and many old buildings were demolished. However, some of the original buildings still exist and have been well-conserved as the testimony to the hospital’s long establishment.


อาคารบริติชคลับ

อ่านเพิ่มเติม

อาคารบริติชคลับ

  • ที่ตั้ง เลขที่ 189 ถนนสุรวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ
  • ผู้ครอบครอง บริติชคลับ
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2458
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2549

ประวัติ

บริติชคลับก่อตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2446 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นที่พบปะสังสรรค์และนันทนาการสำหรับชาวอังกฤษในประเทศสยาม เมื่อแรกก่อตั้งมีสมาชิกประมาณ 60 – 70 คน ประกอบด้วย นักการทูต ผู้บริหารบริษัทอังกฤษที่มาลงทุนในประเทศไทย ชาวอังกฤษที่ทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานราชการต่างๆ นายธนาคาร ทนายความ และผู้พิพากษาชาวอังกฤษที่ทำงานในศาลอังกฤษนอกอาณาเขต แต่สมาชิกกลุ่มใหญ่ที่สุดคือกลุ่มนักธุรกิจและพ่อค้า อย่างไรก็ดี รายนามสมาชิกส่วนใหญ่สูญไปพร้อมกับเอกสารจำนวนมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารคลับเฮาส์เดิมเป็นอาคาร 2 ชั้น สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล เปิดทำการ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2446

ต่อมาได้รื้ออาคารเดิมออกด้วยจำนวนสมาชิกที่มากขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานที่ดินเพื่อสร้างอาคารใหม่ ในปี พ.ศ. 2458 ซึ่งยังคงอยู่ถึงทุกวันนี้ สันนิษฐานว่าออกแบบโดยสถาปนิกชาวอังกฤษแต่ไม่ปรากฏชื่อ

อาคารคลับเฮาส์ใหม่นี้เป็นอาคาร 2 ชั้น ก่ออิฐฉาบปูน รูปแบบจอร์เจียน (Georgian) ซึ่งเป็นที่นิยมในอังกฤษจากผลงานของเซอร์คริสโตเฟอร์ เร็น (Sir Christopher Wren) ลักษณะเด่น คือ ผังอาคารสมมาตร เน้นทางเข้าที่ตั้งอยู่กึ่งกลางด้านยาวของอาคารด้วยซุ้มโค้ง และหน้าจั่วประดับปูนปั้นแบบวิหารกรีก มีภาพลักษณ์ที่แสดงถึงความมั่นคง แข็งแรงและสง่างาม

อาคารนี้ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี และยังใช้เป็นอาคารคลับเฮาส์ของบริติชคลับมาจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 100 ปีมาแล้ว

British Club

  • Location 189 Surawong Road, Khet Bang Rak, Bangkok
  • Proprietor British Club
  • Date of Construction 1915
  • Conservation Awarded 2006

History

British Club was founded in 23rd April 1903 during the reign of King Rama V and intended to be a meeting place and entertainment centre for British expatriates in Thailand. Initial members, around 60-70 persons, were diplomats, British investors, government consultants, bankers, lawyers and judges. Although the member lists have been lost during the Second World War, evidences show the majority of members were businessmen and traders.

The original clubhouse, opened on 6th July 1903, was a 2-storey Colonial architecture. Due to the increasing number of club members, it was demolished and replaced by the new one in 1915, being endowed with a property from King Rama VI and designed by an anonymous British architect.

The new clubhouse is a 2-storey building in Georgian style, popularized in England by Sir Christopher Wren. The distinctive features are its symmetrical layout highlighting the arched entrance in the middle of the building with stucco pediment as seen in Greek temples depicting stable, solid and dignified appearance. This building has been well-maintained and has served as the British Club House for above 100 years.


อาคารที่ทำการพัสดุการรถไฟแห่งประเทศไทย

อ่านเพิ่มเติม

อาคารที่ทำการพัสดุการรถไฟแห่งประเทศไทย

  • ที่ตั้ง ถนนพระรามหนึ่ง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ หลวงสุขวัฒน์สุนทร วิศวกรของกรมรถไฟ
  • ผู้ครอบครอง การรถไฟแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2471 – 2474
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2549

ประวัติ

แต่เดิมนั้น อาคารคลังพัสดุของกรมรถไฟหลวงมีอยู่กระจัดกระจายและไม่อยู่เป็นศูนย์เดียวกัน ดังนั้นจึงมีดำริที่จะก่อสร้างอาคารพัสดุกลางที่ยศเสขึ้น การก่อสร้างเริ่มต้นในปี พ.ศ.2471 งานตอกเสาเข็มและงานรากฐานแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2472 หลังจากนั้นจึงเริ่มงานโครงสร้างประธานของอาคารพัสดุกลาง อาคารพัสดุกลางหลังนี้ก่อสร้างเสร็จ และเปิดทำการในวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 หลังจากนั้นมีการรื้อถอนอาคารคลังพัสดุต่างๆ ได้แก่ อาคารพัสดุกลางหลังเดิม คลังไปรษณีย์โทรเลข คลังพัสดุสิ่งของคืน คลังพัสดุยศเสเดิม คลังพัสดุเครื่องมือสำรวจ คลังพัสดุกองโรงแรม และคลังพัสดุโทรเลข จากนั้นก็มีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงกองและสำนักงานต่างๆ ในอาคารพัสดุกลางหลังใหม่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารหลังนี้เคยใช้เป็นที่ทำการกรมรถไฟหลังจากที่อาคารกรมรถไฟโดนระเบิดทำลาย ต่อมาในปี พ.ศ. 2494 ได้มีการต่อเติมปีกอาคารทั้งสอง (อาคารทิศเหนือ และอาคารทิศใต้) ให้เป็นตึก 3 ชั้น เหมือนอาคารด้านหน้า (อาคารทิศตะวันตก) ในช่วงนั้นระหว่างอาคารทั้ง 3 เป็นลานคอนกรีตขนาดใหญ่สำหรับขนถ่ายสินค้าที่จะเข้ามาเก็บในคลัง สร้างเป็นรางรถไฟจากทิศเหนือวิ่งตัดทะลุเข้ามาในตัวตึกส่วนที่เป็นคลังพัสดุทั้ง 2 ปีกเส้นหนึ่ง อีกเส้นหนึ่งวิ่งจากทิศตะวันออกตัดฉากกับรางแรกมาจ่ออยู่หน้าอาคารทิศตะวันตก จุดตัดของรางรถไฟทั้ง 2 เส้น ทำเป็นแป้นกลมหมุนได้สำหรับปรับรางให้เปลี่ยนแกนได้ ปัจจุบัน อาคารที่ทำการพัสดุใช้เป็นที่ทำงานของหน่วยงานต่างๆ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย และลานคอนกรีตขนาดใหญ่ใช้เป็นที่จอดรถ ผังพื้นอาคารที่ทำการพัสดุเป็นรูปตัวยู (U) รูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบโมเดิร์น โครงสร้างอาคารเป็นระบบเสาและคานคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคาอาคารทิศตะวันตกเป็นหลังคาทรงปั้นหยา เหนือหลังคาปั้นหยามีหลังคาจั่วอีกชั้นหนึ่งเพื่อระบายอากาศ ส่วนหลังคาอาคารทิศเหนือ และอาคารทิศใต้เป็นหลังคาคอนกรีตแบนผสมกับหลังคาปั้นหยา เหนือหลังคาปั้นหยามีหลังคาจั่วอีกชั้นหนึ่งเพื่อระบายอากาศเช่นกัน จุดเด่นของอาคารอยู่ที่ผนังภายนอกทั้งหมดก่ออิฐเปิดผิว ยกเว้นชั้น 2 และ 3 ของอาคารทิศตะวันตกเป็นผนังโครงและฝาไม้ มีระเบียงทางเดินยาวไปตลอดแนวอาคารทั้งด้านหน้าและด้านหลังของอาคาร พื้นอาคาร ทิศตะวันตกเป็นพื้นไม้เทคอนกรีต ทับหน้าวางบนตงเหล็ก ช่องประตูหน้าต่างเป็นกรอบสี่เหลี่ยมเรียบง่าย มีทั้งขนาดปกติและขนาดใหญ่แล้วแต่พื้นที่ใช้สอย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ปรับปรุงดูแลให้อาคารที่ทำการพัสดุอยู่ในสภาพดี สามารถรักษาคุณค่าทางสถาปัตยกรรมเอาไว้ได้ และเป็นตัวอย่างอาคารแบบโมเดิร์นยุคแรกๆ ของประเทศ

Warehouse of the Store Department, State Railway of Thailand

  • Location Rama I Road, Khwaeng Rong Mueang, Khet Pathumwan, Bangkok
  • Architect / Designer Luang Sukwatsunthon, an architect of Department of the Royal State Railways of Siam
  • Proprietor State Railway of Thailand
  • Date of Construction 1928-1931
  • Conservation Awarded 2006

History

Previously warehouse buildings of Department of the Royal State Railways of Siam were scattered in different places. The centralized storing warehouse; consequently, was established at Yot Se area in 1928 and officially opened on 16 November 1931. During the Second World War, Department of the Royal State Railways’ office was severely destroyed and then was moved to this building. Later in 1951, extensions were added to north building and south building to become 3-storey storages, resembling the front building in the west. All three buildings at present serve as offices for various departments of State Railway of Thailand in which a large concrete parking area was situated in the middle. The warehouse represents U-shape plan in Modern architecture, whose structurewas composed of ferro concrete beams and columns. The west building has hipped roof while the north building and the south building apply a mixture of flat concrete and hiped roof, all of which are mounted by roof vents. The distinguished feature of this warehouse is the use of exposed brick masonry on all exterior walls, except for the wooden walls in the second and third floors of the west building. Besides, there are corridors lying parallel to the front and the rear of these buildings. The State Railway of Thailand has continually maintained the decent conditionof this warehouse. As a result, its historical value as one of the earliest modern architecture of Thailand has been preserved to endurably remain.


บ้านพิบูลธรรม (บ้านนนที)

อ่านเพิ่มเติม

บ้านพิบูลธรรม (บ้านนนที)

  • ที่ตั้ง กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เลขที่ 17 ถนนพระรามที่ 1 (ริมสะพานกษัตริย์ศึกต่อสะพานยศเส) แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ตึกกลาง ไม่ปรากฏหลักฐานชื่อผู้ออกแบบ ตึก 3 ชั้น ออกแบบโดย แอร์โกเล มันเฟรดี
  • ผู้ครอบครอง กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
  • ปีที่สร้าง ประมาณปีพ.ศ. 2440
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2549

ประวัติ

บ้านพิบูลธรรม เดิมเรียกว่าบ้านนนทีก่อสร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานบ้านนนทีให้กับพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล) ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยา ธรรมาธิกรณาธิบดี เสนาบดีกระทรวงวัง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งในปี พ.ศ. 2456 พระองค์ได้พระราชทานเงินให้ก่อสร้างตึก 3 ชั้น อีกหลัง มีสะพานเชื่อมติดต่อกับอาคารหลังแรก พร้อมตกแต่งบริเวณและอาคาร หลังเดิม สถาปนิกผู้ออกแบบ คือ นายแอร์โกเล มันเฟรดี (Ercole Manfredi) นายกาเล็ตตี เป็นวิศวกร นายฟอร์โน ช่วยออกแบบลวดลาย นายดองชอง ช่างชาวเซี่ยงไฮ้เป็นผู้แกะสลักลวดลายร่วมกับช่างไทย ส่วนงานจิตรกรรมฝาผนังและเพดานดำเนินการโดยศาสตราจารย์ริโกลี การก่อสร้างใช้เวลา 1 ปีเศษใช้ค่าก่อสร้างประมาณ 150,000 บาทเศษ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาทอดพระเนตรและประทับค้างคืนในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2463

ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านนนทีได้ถูกระเบิดเสียหายอย่างหนักเกินจะซ่อมแซมได้ ทางเจ้าของบ้านจึงเสนอขายโดยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้อนุมัติให้ซื้อไว้ในปี พ.ศ. 2498 และได้ปรับปรุงซ่อมแซมเพื่อใช้เป็นสถานที่รับรองแขกเมือง ซึ่งก็ได้มีบุคคลสำคัญมาพักหลายท่าน อาทิ พระยากัลยาณไมตรี นายริชาร์ด นิกสัน เมื่อครั้งยังเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประธานสหภาพพม่า เสด็จเจ้าสุวรรณภูมาแห่งราชอาณาจักรลาว เป็นต้น และบ้านนนทีได้รับขนานนามใหม่ว่า บ้านพิบูลธรรม

ต่อมาในปี พ.ศ. 2502 บ้านนนทีได้รับอนุมัติให้เป็นที่ทำการของการพลังงานแห่งชาติ และได้เปลี่ยนชื่อหน่วยงานเป็นกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มาเป็นลำดับ และสังกัดกระทรวงพลังงานจนถึงปัจจุบัน

บ้านพิบูลธรรมส่วนตึก 3 ชั้น เป็นสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิค รีไววัล (Classic Revival) มีลักษณะเด่นนอกจาก ตัวสถาปัตยกรรมแล้ว ยังได้แก่การตกแต่งที่มีอย่างครบถ้วน ทั้งการแกะสลัก ประติมากรรม และจิตรกรรม ซึ่งองค์ประกอบ ส่วนใหญ่ ได้รับอิทธิพลศิลปะเรอเนสซองส์ อาทิ มีการประดับรูปหัววัวนนทิการตามชื่อ บ้านนนที ที่กรอบประตูและตามส่วนต่างๆ ของอาคาร เพดานห้องต่างๆ ตกแต่งด้วยไม้แกะสลักประกอบภาพจิตรกรรมอย่างงดงามมีทั้งลวดลายแบบตะวันตกและภาพจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ตอนทศกัณฐ์ลักนางสีดา ภาพนางเมขลาและรามสูร วาดแบบจิตรกรรมตะวันตก นอกจากนี้ก็มีการตกแต่ง ด้วยลวดลายเครือเถาดอกไม้และผลไม้ สวยงามน่าชมอย่างยิ่ง

บ้านพิบูลธรรมได้รับการบูรณะในช่วงปี พ.ศ. 2546 – 2547 โดยกรมศิลปากร ทำให้อาคารยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์ สามารถรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี

Ban Nonthi (Ban Phibuntham)

  • Location 17, Rama I Road (at the corner of Kasatsuek Bridge and Yotse Bridge), Khwaeng Rong Mueang, Khet Pathumwan, Bangkok
  • Architect / Designer Central Building : no information 3-storey Building : Ercole Manfredi
  • Proprietor Department of Alternative Energy Development and Efficiency, Ministry of Energy
  • Date of Construction 1897
  • Conservation Awarded 2006

History

Ban Nonthi (Nonthi house) was built circa 1897 and given to Phraya Anurakratchamonthian (Mom Ratchawong Pum Malakul) by King Rama V. Later in 1913, building extension and landscape development were carried out from King Rama VI’s grant. In collaboration of Mr. Ercole Manfredi (architect), Mr. Galetti (engineer), Mr. Forno (artist), Mr. Dong Chong (craftsman) cooperating with Thai craftsmen, and Professor Rigoli (walls and ceilings painter), a new 3-storey building was set up within roughly 1 year on the budget of 150,000 Thai bahts.

During the second world war, in 1941, Ban Nonthi was seriously damaged by explosions. Therefore, the government of General P. Phibunsongkhram approved the transaction to buy this house in 1955, having it restored and converting to a reception hall for state visitors. Some of the vital guests who had visited are Phraya Kallayanamaitri, Mr. Richard Nixon (when he was the Vice President of the United States), the President of Myanmar, Sadet Chao Suwanphuma of the Kingdom of Laos, etc., and Ban Nonthi was renamed “Ban Phibuntham”. In 1959, it was assigned to the National Energy Office which became a part of Ministry of Energy at present.

Ban Nonthi (Nonthi House) represents Classic Revival architecture and features exquisite decorations in forms of carvings,sculptures and paintings, mostly influenced by Renaissance art. Distinctive elements are the display of Nondi (name of a bull, vehicle of Shiva) bull’s heads at door frames and other parts of the house, ceilings decorated with wood carvings and paintings of both Western pictures and depictions of Thai stories, such as Ramayana and Mekhla and Ramasura, painted in Western techniques, as well as magnificent floral and fruit designs.

Major restoration of Nonthi House was carried out during 2003 – 2004 by the Fine Arts Department in order to preserve the historical and architechtural notablility of this house.


อาคารโรงซ่อมรถโดยสารโรงงานมักกะสัน

อ่านเพิ่มเติม

อาคารโรงซ่อมรถโดยสารโรงงานมักกะสัน

  • ที่ตั้ง ถนนนิคมมักกะสัน แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี จังหวัดกรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ วิศวกรชาวยุโรป
  • ผู้ครอบครอง การรถไฟแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2465
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2549

ประวัติ

เมื่อกิจการรถไฟหลวงมีความเจริญก้าวหน้า ทำให้ย่านสถานีรถไฟหัวลำโพงไม่สามารถรองรับปริมาณการซ่อมบำรุงรถไฟ ที่เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นใน ปี พ.ศ.2450 กรมรถไฟหลวงจึงได้สร้างโรงงานซ่อมบำรุงแห่งใหม่ที่ตำบลทุ่งบางกระสัน (มักกะสัน) และเปิด ทำการในปี พ.ศ.2453 อาคารโรงงานที่สร้างขึ้นในระยะแรกนั้นเป็นอาคารที่มีขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2465 กรมรถไฟหลวงได้สร้างอาคารโรงซ่อมรถโดยสาร พร้อมปั้นจั่นไฟฟ้าเหนือหัวขนาด 15 ตัน 2 เครื่อง เป็นอาคารที่สร้างได้มาตรฐานหลังแรกของโรงงาน หลังจากนั้นมีการสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ เช่น โรงซ่อมรถจักรและหม้อน้ำ ตึกที่ทำการต่างๆ และบ้านพักวิศวกรและสารวัตร เป็นต้น หลังปี พ.ศ. 2500 มีการย้ายการซ่อมรถโดยสารไปที่อาคารหลังอื่น อาคารโรงซ่อมรถโดยสารหลังนี้จึงได้รับการบูรณะ เปลี่ยนการใช้สอยอาคารเป็นคลังเก็บพัสดุและอุปกรณ์ และใช้เป็นโรงเก็บรถไฟพระที่นั่งจนถึงปัจจุบัน

อาคารโรงซ่อมรถโดยสารมีขนาดของอาคารกว้าง 32 เมตร ยาว 125 เมตร และสูง 20 เมตร ผังพื้นของอาคารแบ่งออกเป็น3 ส่วน คือ ส่วนโถงกลาง กว้าง 20 เมตร โครงสร้างเป็นระบบเสาและคานคอนกรีตเสริมเหล็ก ใช้เป็นพื้นที่ซ่อมรถโดยสาร มีการวางรางไปตามความยาวอาคาร 3 ราง ใต้รางขุดลึกลงไปเป็นคูคอนกรีตสำหรับช่างซ่อมใต้ท้องรถได้ ด้านบนใต้ระดับขื่อมีคานเหล็กเคลื่อนที่ (Crane) สำหรับยกรถโดยสารวิ่งไปมาตลอดความยาวอาคาร ส่วนริมสองข้างของโถงกลาง กว้างด้านละ 6 เมตร

มีรางซ่อมข้างละ 1 ราง ผนังด้านหน้าและด้านหลังของอาคารประกอบด้วยประตูโครงสร้างคานโค้งต่อเนื่อง 5 ช่วง ที่โถงกลาง 3 ช่วงและริมข้างละช่วง ส่วนบนของผนังโถงกลางแบ่งซอยออกเป็นคานโค้งต่อเนื่องขนาดเล็ก 6 ช่วงติดต่อกัน เป็นช่องแสงกรุกระจก หลังคาโครงเหล็กทรัสเป็นจั่วเปิดยอดยกขึ้นไปเป็นจั่วเล็กอีกชั้นหนึ่งเพื่อระบายลม ที่หน้าบันมีตัวเลขไทยระบุปีที่สร้าง 2465 และอักษรย่อ ร.ฟ.ผ. หรือกรมรถไฟแผ่นดิน (เป็นชื่อที่ใช้ระหว่างปี พ.ศ. 2464 – 2467) หลังคาริมสองข้างเป็นทรงเพิง ผนังด้านยาว ทั้งสองข้างเป็นผนังก่ออิฐเปิดผิว แต่ละช่วงเจาะช่องแสงกรุกระจกช่องละ 2 บาน ตลอดแนวอาคาร

อาคารโรงซ่อมรถโดยสารเป็นอาคารในโรงงานมักกะสันที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงมีการใช้งานอยู่ สามารถรักษาโครงสร้างและ วัสดุดั้งเดิมเอาไว้ได้ ถือว่าเป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่า และเป็นตัวอย่างอาคารที่แสดงให้เห็นโครงสร้างสร้าง เสา คาน พื้น และผนัง ที่ไม่มีการปิดบังและตกแต่งใดๆ ทั้งสิ้น

The Train Repair Plant, Makkasan Workshop

  • Location Nikhom Makkasan, Khwaeng Makkasan, Khet Ratchathewi, Bangkok
  • Architect / Designer an European engineer
  • Proprietor State Railway of Thailand
  • Date of Construction 1922
  • Conservation Awarded 2006

History

As the state railway business has been flourished, Bangkok Railway Station (Hualamphong Station) could no longer handle with the increasing amount of disrepair trains. In 1907; therefore, the Department of the Royal State Railways of Siam established a new repair plant at Tambon Thungbangkrasan (Makkasan), officially opened in 1910. It was initially a small building; then a factory containing two 15-ton electric overhead cranes including other buildings such as locomotive and boiler repairing plants, offices and residences for engineers and police inspectors have been added. After 1957, the repair plant was moved to another place. This building has subsequently been restored and converted to an equipment storage before becoming a warehouse of royal trains until present.

The plant is 32 x 125 x 20 metres in size, whose plan was divided into three parts. The central hall (20 metres in width) was structured with ferro concrete columns and beams. It serves as repairing area in which three rails were laid parallel to the building and a concrete pit was created underneath in order to make repairs under the carriages. Furthermore, there was a moving crane attached to the beams up above for conveying trains around the plant. Both sides of the central hall (6 metres in width) have one rail each. Front and rear walls consist of series of 5 arched doors while the upper part of central hall features series of 6 arched glass windows allowing sunlight to penetrate in. Its steel roof truss was also finished with mounted gable vent for better ventilation.

The Train Repair Plant is the most ancient building in Makkasan Workshop which is still in function. The maintenance of structure and materials engenders this invaluable architectural heritage remaining in complete genuine condition.


สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม)

อ่านเพิ่มเติม

สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม)

  • ที่ตั้ง เลขที่ 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ มาริโอ ตามานโญ
  • ผู้ออกแบบอนุรักษ์บริษัท กุฎาคาร จำกัด และ บริษัท สโตนเฮ้นจ์ จำกัด
  • ผู้ครอบครอง สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.)
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2464 – 2465
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2549

ประวัติ

อาคารสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เดิมคือ อาคารกระทรวงพาณิชย์ซึ่งมีฐานะเป็นกรมพาณิชย์และ สถิติพยากรณ์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ยกขึ้นเป็นกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2463 จากนั้นได้มีการออกแบบและก่อสร้างอาคารขึ้นเพื่อเป็นที่ทำการของกระทรวงโดยตั้งอยู่ ณ บริเวณที่ดินส่วนหนึ่งที่เคยเป็นวังเดิมของพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 วังนี้อยู่ในบริเวณด้านใต้ของวัดพระเชตุพน จึงถูกเรียกว่า วังท้ายวัดพระเชตุพนฯ ตัวอาคารกระทรวงออกแบบ โดยนายมาริโอ ตามานโญ (Mario Tamagno) สถาปนิกชาวอิตาเลียน ร่วมกับวิศวกรกอลโล สปินโญ และสถาปนิกกวาเดรลลีส่วนลวดลายตกแต่งออกแบบโดยนายวิตโตริโอ โนวี ศิลปินชาวอิตาเลียน นับเป็นหนึ่งในอาคารสำนักงานราชการแห่งแรกๆ ของไทยเริ่มก่อสร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2464 แล้วเสร็จในปีถัดมา อาคารนี้ได้ใช้เป็นที่ทำการของกระทรวงมากว่า 70 ปี จนกระทั่งเมื่อกระทรวงพาณิชย์ได้ย้ายไปที่ทำการใหม่ ณ ตำบลบางกระสอ จังหวัดนนทบุรี ในปี พ.ศ. 2532 อาคารกระทรวงพาณิชย์หลังเก่านี้จึงว่างจากการใช้สอย จนสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2547 ได้เล็งเห็นความสำคัญของอาคารทั้งในเชิงประวัติศาสตร์รูปแบบสถาปัตยกรรม และทำเลที่ตั้ง จึงได้ดำเนินการอนุรักษ์และปรับปรุงอาคารเพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือมิวเซียมสยาม เป็นแหล่งข้อมูลความรู้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 แล้วเสร็จและเปิดให้ใช้บริการได้ในปี พ.ศ. 2551

มิวเซียมสยามมีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิค รีไววัล (Classic Revival) เป็นอาคาร 3 ชั้น มีโครงสร้างผสมระหว่างคอนกรีตเสริมเหล็กกับระบบกำแพงรับน้ำหนัก ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีมุขกลางและมุขปลายซ้ายขวา หลังคาปั้นหยา มีโถงบันไดอยู่กลาง ตกแต่งด้วยลวดบัวปูนปั้นและซุ้มโค้ง ชั้นล่างทำปูนปั้นเลียนแบบลายหินก่อ (rustication)

ในการบูรณะอาคารได้พยายามที่จะศึกษาและอนุรักษ์อาคารไว้ตามแบบดั้งเดิมมากที่สุด โดยมีการเพิ่มเติมองค์ประกอบบางอย่างที่จำเป็น ได้แก่ ระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ และห้องน้ำ ปัจจุบันอาคารสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติหรือมิวเซียมสยามนี้ได้จัดเป็นอาคารนิทรรศการ โดยมีเนื้อหาหลักเรื่องความเป็นมาของผู้คนและวัฒนธรรมในดินแดนประเทศไทยและอุษาคเนย์ ส่วนพื้นที่ด้านหลังอาคาร ที่ได้รื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างเพิ่มเติมในสมัยหลังออกไปแล้ว และมีโครงการที่จะก่อสร้างอาคารนิทรรศการหลังใหม่ และพัฒนาภูมิทัศน์เป็นลานกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้

National Discovery Museum Institute (Museum Siam)

  • Location Sanamchai Road, Khwaeng Phra Borom Maha Ratchawang, Khet Phra Nakhon, Bangkok
  • Architect / Designer Mario Tamagno
  • Conservation Designer Kudakahn Co., Ltd. &Stonehenge Co., Ltd.
  • Proprietor National Discovery Museum Institute Date of
  • Construction 1921 – 1922
  • Conservation Awarded 2006

History

National Discovery Museum Institute buliding was original the ministry of commerce, formerly called “The Department of Commerce and Statistical Forecasts”, was elevated to a ministry by King Rama VI on 20th August, 1920. The office building of the new ministry was designed and constructed the following year.

Located on the southern side of Wat Phra Chetuphon ,the Office of the Ministry of Commerce was constructed on the land formerly belonging to princes, the sons of King Rama III. The building was designed by Mr. Mario Tamagno, an Italian architect, in collaboration with Mr. Gollo, engineer, and Mr. Guadrelli, architect. Decorative elements were designed by Mr. Vittorio Novi, an Italian artist.This building, intentionally designed as an office building, is one of the first office buildings in Thailand. Construction began circa 1921 and completed in 1922. The architectural style is Classic Revival, with a distinctive application of colossal order. The building is a 3-storey, hipped roof, with a staircase hall in the middle, rusticated walls on ground floor, stucco mouldings and arches. The building had served as the ministry office building for over 70 years since its completion.

In 1989, the Ministry of Commerce moved to a new office in Tambon Bang Kra Sor, Nonthaburi. The former office building was deserted until the National Discovery Museum Institute (NDMI) was established in 2004. Recognizing the significance of the old building in terms of history, architecture, and setting, the NDMI had the building conserved and restored commencing in 2005 and open for the public in 2006.

The restoration concept was to study and conserve most of the building’s original features, with minor addition of new facilities and utilities i.e. electricalsystem, air conditioning system, elevators and toilets. The building is now an exhibition hall, wherein the principal exhibition content are the origins of people and cultures in Thailand and Southeast Asia. The area at the rear of the building, from which later period buildings and structures were removed, will be a site for a new exhibition hall and landscape development under the theme “Activity Ground for Learning”.


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้