อาคารอำนวยการโรงพยาบาลอานันทมหิดล
อ่านเพิ่มเติม
อาคารอำนวยการโรงพยาบาลอานันทมหิดล
- ที่ตั้ง เลขที่ 35 หมู่ 6 ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
- ผู้ครอบครอง กรมแพทย์ทหารบก
- ปีที่สร้าง พ.ศ.2480
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551
ประวัติ
ในปี พ.ศ. 2480 พันเอก หลวงพิบูลสงคราม (ยศขณะนั้น) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ย้ายหน่วยทหารบางส่วนจากกรุงเทพมหานครมาตั้งที่จังหวัดลพบุรี พร้อมได้จัดตั้งโรงพยาบาลไว้ในจังหวัดลพบุรีเพื่อรองรับ การรักษาพยาบาลของทหาร และประชาชนในจังหวัดลพบุรีรวมทั้งจังหวัดใกล้เคียง แต่กระทรวงกลาโหมไม่มีเงินพอที่จะสร้างโรงพยาบาล จึงได้มีหนังสือกราบทูลไปยังคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และได้รับความเห็นชอบ อีกทั้งได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนหนึ่งในการก่อสร้างและได้รับพระราชทานให้ใช้พระนาม ตึกอานันทมหิดล ซึ่งปัจจุบันคือ อาคารอำนวยการ โรงพยาบาลอานันทมหิดล การก่อสร้างได้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2480 และแล้วเสร็จในปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เสด็จพระราชดำเนินมากระทำพิธีเปิด เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2481 ในระยะแรกที่โรงพยาบาลยังไม่สามารถรองรับการรักษาพยาบาลให้แก่ผู้ป่วยได้เพียงพอ เนื่องจากงบประมาณของกองทัพบกส่วนใหญ่ต้องใช้ในการป้องกันประเทศในสงครามมหาเอเชียบูรพา ต่อมาในปี พ.ศ. 2486 สงครามมหาเอเชียบูรพาวีความรุนแรงขึ้น ทำให้มีทหารได้รับบาดเจ็บจากสงคราม เป็นจำนวนมาก จนโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักของกองทัพบกไม่สามารถรับผู้ป่วยได้เพียงพอกองทัพบกจึงได้ดำเนินการปรับปรุงโรงพยาบาลอานันทมหิดล จนสามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้เพียงพอเพื่อช่วยแบ่งเบาภารกิจด้านการรักษาพยาบาลให้แก่กองทัพบกได้ และสามารถสนับสนุนภารกิจของกองทัพบกได้ตลอดมา รวมทั้งการดูแลทหารและประชาชนที่เจ็บป่วยในพื้นที่จังหวัดลพบุรี
อาคารอำนวยการซึ่งเป็นอาคารที่สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อเริ่มตั้งโรงพยาบาล มีลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้นรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ผังเป็นรูปผืนผ้า หลังคาทรงตัดไม่มีการตกแต่งประดับลวดลาย ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบที่นิยมสร้างในช่วงเวลานั้น
อาคารอำนวยการโรงพยาบาลอานันทมหิดล นอกจากจะเป็นอาคารที่ได้รับการดูแลซ่อมบำรุงไว้เพื่อการใช้เป็นสถานพยาบาล ตลอดตั้งแต่เมื่อแรกสร้างมาจนถึงปัจจุบัน แล้วยังเป็นอาคารอนุรักษ์ที่สะท้อนประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นจังหวัดลพบุรีที่เคยเป็นศูนย์กลางที่สองของกองทัพบก และรักษามรดกทางสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่ที่ร่วมสมัยกับอดีตของโรงพยาบาล
Administration Building of Anandamahidol Hospital
- Location 35 Mu 6, Tambon Kao Samyod, Amphoe Mueang, Lopburi Province
- Proprietor Royal Thai Army Medical Department
- Date of Construction 1937
- Conservation Awarded 2008
History
In 1937, Administration Building of Anandamahidol Hospital, name of the King Rama VIII, was found by Colonel Luang Phiboonsongkram, the Minister of Defense in order to be one more hospital in Lopburi for soldiers and people in the province and nearby with some financial supports of the King and the agreement of the King’s regent.
The rectangle 2 storey building is a modern architectural style with undecorated roof which was very popular at that time.
Besides the medical service facilitation, the hospital building is well preserved to represent local history of Lopburi, the second center of Thai Army, and the contemporary architectural heritage.








อาคาร 100 ปี โรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์
อ่านเพิ่มเติม
อาคาร 100 ปี โรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์
- ที่ตั้ง เลขที่ 146 ถนนเทศบาลสาย 1 แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร
- ผู้ครอบครอง โรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์
- ปีที่สร้าง พ.ศ.2461
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551
ประวัติ
โรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์ถือกำเนิดในปี พ.ศ. 2449 โดยพระสังฆราชฌอง หลุยส์ เวย์ (Jean Louis Vey) ได้จัดสร้างโรงเรียนและมอบให้คณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร (Soeurs de Saint Paul de Chartres) เป็นผู้ดำเนินการ เดิมโรงเรียนตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณกุฎิจีน ตำบลวัดกัลยาณ์ ฝั่งธนบุรี ระยะแรกจัดการเรียนการสอนวิชา ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ และศิลปหัตถกรรม โดยรับนักเรียนทั้งชายและหญิง ต่อมากิจการของโรงเรียนเจริญก้าวหน้ามากขึ้น จึงย้ายโรงเรียนจากริมแม่น้ำมาอยู่ในบริเวณปัจจุบันในปี พ.ศ. 2461 โดยมีอาคาร 100 ปีหรืออาคารเยซู สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2461 เป็นอาคารแรก ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2484 – 2487 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผลให้โรงเรียนต้องปิดการเรียนการสอนลงชั่วคราว และในปี พ.ศ. 2485 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในโรงเรียนทำให้ ตัวอาคาร 100 ปี ได้รับความเสียหายอย่างมาก จึงมีการปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่องหลายสมัย โดยเฉพาะในสมัยของเซอร์มารี กอแรตรี สุมล ไผ่ทอง อธิการิณีคนที่ 14 ได้ปรับปรุงอาคารและให้เป็นสถานที่เรียนของนักเรียนอนุบาล
อาคาร 100 ปีเป็นอาคารไม้ทั้งหลัง 3 ชั้น สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ภายในอาคารเป็นห้องโถง ด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง เป็นบันไดทางขึ้น ด้านหน้าเป็นระเบียงมีหลังคาคลุมมีแผง ไม้ฉลุลายที่สวยงาม
อธิการิณีท่านปัจจุบันคือ เซอร์สแตลลา นิลเขต ได้พัฒนาปรับปรุงอาคารอีกครั้งหนึ่งในวาระครบรอบ 100 ปี ของโรงเรียนและเปลี่ยนอาคาร 100 ปี จากอาคารเรียนของนักเรียนชั้นอนุบาลให้เป็น ศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนซางตาครู้ส คอนแวนท์ ซึ่งมีการจัดแสดงเรื่องราวต่างๆ เป็นสื่อการสอนที่มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนของโรงเรียนเกิดทักษะแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืน
The 100 Years Memorial Building of Santa Cruz Convent School
- Location 146 Thatsaban Sai 1 Road, Khwaeng Wat Kanlaya, Khet Thonburi, Bangkok
- Proprietor Phakinee St. Paul de Chatthra
- Date of Construction 1918
- Conservation Awarded 2008
History
Santa Cruz Convent School was founded in 1906 by a supreme patriarch named Jean Louis Vey. He founded the school and entrusted Phakinee St. Paul de Chatthra to manage the school. The school, formerly located on Chaophraya Riverside in Wat Kanlaya, Thonburi.provided only courses of French, English and handicrafts in the beginning. There were only 20 male and female students. As the school gradually became more successful, it was moved to the present location in 1918. The first Building in the new location is a 3 – storey building.
The 100 Years Memorial Building or Jesus Building was completed in 1918. Entirely built from wood, it consists of 3 storey with a hall inside the building with 2 stairways on both sides of the building. In front of the building is a veranda covered with wood roof carved into very beautiful patterns.
The school was closed during World War II (1941-1944) and after World War II (in 1942), big floods destroyed the 100 Years Memorial Building. For this reason, the school had been repaired for years, especially in the time of Sir Maria Goratte Sumon Phaitong, the fourteenth headmaster. She improved the building and transformed it into a kindergarten. Eventually, Sir Stella Nilkhat, the present headmaster, had the building restored again tocommemorate the 100 years anniversary. The 100 Years Memorial Building was changed into the “LearningCenter of Santa Cruz Convent School” which displays several effective teaching media tools to develop thestudents enrichment and knowledge skills.










อาคารพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว
อ่านเพิ่มเติม
อาคารพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว
- ที่ตั้ง เลขที่ 28 ถนนกระบี่ ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ เอี๋ยว หงาเอียน
- ผู้ครอบครอง มูลนิธิกุศลสงเคราะห์จังหวัดภูเก็ต (ล็อกเซี่ยนก๊ก)
- ปีที่สร้าง พ.ศ.2477
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551
ประวัติ
พื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัวเดิมเป็นศาลเจ้า รวมทั้งเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนชั้นสูงชื่อ ฮั่วบุ่น ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อพ.ศ. 2454 ต่อมาในปี พ.ศ.2489 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนภูเกตจุงหัว และในปี พ.ศ.2491 ได้เปลี่ยนมาเป็น โรงเรียน ภูเก็ตไทยหัว จนกระทั่งปี พ.ศ.2538 โรงเรียนภูเก็ตไทยหัวได้ย้ายไปอยู่ที่ตั้งใหม่ และอาคารโรงเรียนภูเก็ตไทยหัวที่สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2477 ได้กลายเป็นสถานที่พบปะของครูครูและศิษย์เก่า ต่อมาในปี พ.ศ.2545 อาคารเรียนหลังนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน หลังจากนั้น มูลนิธิกุศลสงเคราะห์ จังหวัดภูเก็ต และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ปรึกษาหารือและตกลง ที่จะปรับปรุงอาคารและพื้นที่โดยรอบเพื่อจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551
อาคารพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยเป็นอาคารตึก 2 ชั้น ผังอาคารเป็นแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบสมมาตรล้อมลาน กลางอาคารที่ตรงกับช่องเปิดโล่งในหลังคา หลังคาเป็นหลังคาปั้นหยาผสมหลังคาจั่ว มุงกระเบื้องกาบกล้วยดินเผา ใต้หลังคามีกันสาดคอนกรีตเสริมเหล็กยื่นออกมาประมาณ 1 เมตร จุดเด่นของอาคาร คือ องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของด้านหน้าอาคารประกอบด้วยบันไดทางขึ้นเป็นบันไดคอนกรีตเสริมเหล็กจำนวน 5 ขั้น ความยาวบันไดยาวตลอดอาคาร เหนือบันไดเป็นซุ้มโค้งเตี้ยขนาดใหญ่ 3 ซุ้ม แต่ละซุ้มมีเสากลมรับโค้ง หัวเสาตกแต่งลวดลายบัวสวยงาม เป็นแบบกึ่งระเบียบไอโอนิคและคอรินเธียน ผนังของอาคารเซาะร่องขนาดใหญ่ ระหว่างชั้นล่างและชั้นบนมีแนวคิ้วบัวปูนปั้นคั่นผนังเหนือคิ้วบัวและใต้คิ้วบัวติดป้ายชื่อโรงเรียนเป็นภาษาอังกฤษไทยและจีน ชั้นบนเป็นซุ้มหน้าต่าง 3 ซุ้ม แต่ละซุ้มเป็นช่องหน้าต่าง 2 ช่อง กรอบหน้าต่างด้านบนเป็นจั่วแบบโรมัน บานหน้าต่างเป็นไม้และมีช่องแสงกระจกใสเหนือบานหน้าต่าง เหนือซุ้มช่วงกลางมีหน้าจั่วปูนปั้น มีรูปค้างคาว ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์มงคลของจีนอยู่บนยอดจั่ว
อาคารพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมที่สำคัญของเมือง โดยการปรับเปลี่ยนพื้นใช้สอยภายในอาคารเพื่อจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพเข้ามายังเกาะภูเก็ตการก่อร่างสร้างตัว ประเพณีวิถีชน อาชีพ และภูมิปัญญา ประวัติของปูชนียบุคคลและโรงเรียนจีนที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาการของเมืองภูเก็ตสืบมา ถือว่าเป็นการเผยแพร่ความรู้ให้กับชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยวทั่วไปได้ตระหนักและเห็นถึงความสำคัญและคุณค่าทางมรดกวัฒนธรรมของเมือง
Phuketthaihua Museum
- Location 28 Krabi Road , Tambon Talat Neuar, Amphoe Mueang, Phuket Province
- Architect / Designer Aiew Nga-eian
- Proprietor Kusonsongkrau Organization, Phuket
- Date of Construction 1934
- Conservation Awarded 2008
History
The museum of Phuketthaihua was once a Chinese shrine, and Chinese language school called “Hua-Bun” founded in 1911 which later was renamed as “Jung Hua” in 1946 and became “Thai-Hua” in 1948. In 1995 the Thaihua Phuket school moved to new location. The building that was built in 1934 thenbecome a alumni association. In 2002 the building was registered as National Monument. In year 2008 Phuket foundation renovated the building and open as Thaihua Phuket Museum.
The museum is 2-storey building with rectangular plan and an open court in the middle. It has hip-gable roof and its most noticeable feature is the 5 steps staircase along the length of the building. On top of staircase, there are 3 arches with Ionic and Corinthian columns. Walls are grooved and decorated with corbel and name board in English, Thai and Chinese language. The second story situate 3 windows chamber, each has 2 open void and on top of window frame a roman like pediment. Window panels are wood alternated with glass. In the top-middle of each pediment is decorated with the stucco image of a bat.
The building of Phuketthaihua School has presently been Phuketthaihua Museum in order to reveal Phuket’s background , cultures and local traditions. Above all , another main aim is to cause Phuket’s people and foreigners to realize the significance of Phuket’s origin.
Thaihua Phuket Museum has shown their effort on their history and architectural heritage conservation by managing to exhibition the story of their local history, how the Chinese had moved here and settle down and the way they lived their life; their belief and intellectual knowledge together with many biographies of the important people of the old Chinese school as to educate visitors and local Phuket resident to their valuable history.








อาคารพิพิธภัณฑ์จังหวัดตราด
อ่านเพิ่มเติม
อาคารพิพิธภัณฑ์จังหวัดตราด
- ที่ตั้ง ถนนสันติสุข ตำลบางพระ อำเภอเมือง จังหวัดตราด
- ผู้ครอบครอง เทศบาลเมืองตราด
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2465
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551
ประวัติ
อาคารพิพิธภัณฑ์จังหวัดตลาด เดิมคือ ศาลากลางจังหวัดตราด (หลังเก่า) สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2465 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อใช้เป็นอาคารสถานที่ราชการของจังหวัดตราดมีลักษณะ เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง หลังคามุงกระเบื้องซีเมนต์ลอนลูกฟูก เมื่อศูนย์ราชการของจังหวัดย้ายไปที่ทำการหลังใหม่อาคารหลังนี้จึงถูกปล่อยให้ร้างลงจนทำให้สภาพของอาคารส่วนใหญ่ชำรุดเสียหายเกือบทั้งหลัง ต่อมากรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในปี พ.ศ. 2539 หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2548 ตัวอาคารถูกเพลิงไหม้ทั้งหลังทำให้อาคารได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด จังหวัดตราดทั้งส่วนราชการ องค์กรส่วนปกครองท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนชาวตราด ได้ตระหนักเห็นถึงคุณค่าความสำคัญของตัวอาคารศาลากลางหลังเก่าแห่งนี้จึงได้ทำการซ่อมแซมใหม่
ศาลากลางจังหวัดตราดหลังเก่านี้เป็นอาคารไม้ยกพื้นสูงใต้ถุนเปิดโล่ง รูปแบบสถาปัตยกรรมผสมระหว่างแบบเรือนไทยท้องถิ่นกับแบบโคโลเนียล ผังอาคารเป็นรูปผืนผ้ายาว หลังคาเป็นปั้นหยาผสมจั่ว ด้านหน้ามีมุขยืนหน้าจั่ว เสาด้านล่าง เป็นเสาปูน
ปัจจุบันเทศบาลเมืองตราดได้รับมอบศาลากลางหลังเก่าไว้ในการดูแล และพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชาวตราด รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของจังหวัดอีกแห่งหนึ่ง โดยจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและวิถีชีวิตจังหวัดตราดต่อไป
Trat Museum (The Old City Hall)
- Location Santhisuk Road, Tambon Bang Phra, Amphoe Mueang, Trat Province
- Proprietor Trat Municipality
- Date of Construction 1922
- Conservation Awarded 2008
History
The old city hall of Trat province was built in 1922 (during the reign of King Rama VI). The purpose of the building was firstly to serve as a bureaucratic area. It is one storey building with a raised floor. Its roof is tiled with corrugated asbestos cement roofing. After the city hall moved to another location, this building had beenneglected and became almost totally dilapidated. On December 18, 1996, it was officially registered as an archaeological site of Thailand by The Fine Arts Department.
In 2005, the entire building was eventually damaged by fire, Trat province involving the government, the private sector and the local people, realizing that the building is extremely valuable as well as memorable, decided to engage in reparation. After its restoration, Trat donated the building to the Municipal Administration of Trat Province in order to develop it as a historical and cultural learning center of Trat. It is now also a historical and cultural museum of Trat.











อาคารพิพิธภัณฑ์ชุมชนเมือง เทศบาลเมืองลำพูน
อ่านเพิ่มเติม
อาคารพิพิธภัณฑ์ชุมชนเมือง เทศบาลเมืองลำพูน
- ที่ตั้ง เลขที่ 10 ถนนวังซ้าย ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ นายช่างชาวจีน
- ผู้ครอบครอง สมาคมจีนจังหวัดลำพูน เช่าโดยเทศบาลเมืองลำพูน
- ปีที่สร้าง พ.ศ.2455
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551
ประวัติ
อาคารพิพิธภัณฑ์ชุมชนเมือง เทศบาลเมืองลำพูน เดิมเป็นคุ้มเจ้าราชสัมพันธ์วงษ์(พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) สร้างขึ้นในสมัยเจ้าหลวงจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 10 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่มพ่อค้าชาวจีนในจังหวัดลำพูนได้รวบรวมเงินและได้ซื้อที่ดิน รวมทั้งอาคารคุ้มเจ้าราชสัมพันธ์วงษ์จากผู้ครอบครองเดิมเพื่อใช้เป็นที่พบปะพูดคุยของกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในจังหวัด และเป็นสถานที่สอนภาษาจีนและวิชาอื่นๆ โดยใช้ชื่อว่า โรงเรียนหวุ่นเจิ้ง และได้ปิดกิจการลงในปี พ.ศ. 2492 ด้วยเหตุผลทางการเมือง ต่อมาระหว่างปี พ.ศ. 2495 – 2529 อาคารได้ถูกใช้เป็นโรงเรียนมงคลวิทยา หลังจากนั้นคุ้มเจ้าราชสัมพันธ์วงษ์ได้ถูกทิ้งร้าง หลังจากนั้นอาคารได้ถูกเช่าเป็นร้านอาหาร ต่อมาเมื่อร้านอาหารได้ปิดกิจการลง สมาคมชาวจีนจังหวัดลำพูนจึงให้สถานีวิทยุ อ.ส.ม.ท. ลำพูน เช่าพื้นที่คุ้มเจ้าราชสัมพันธ์วงษ์เป็นสถานที่จัดรายการวิทยุจนกระทั่งหมดสัญญาลงในปี พ.ศ.2548 หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2550 เทศบาลเมืองลำพูน โดยนายกเทศมนตรีประภัสร์ ภู่เจริญ ได้ขอเช่าอาคารเพื่อการอนุรักษ์ หลังจากนั้นกลุ่มอาสาสมัคร กวงแหวน หละปูน ได้ขอเทศบาลเมืองลำพูนเข้ามาใช้อาคารเพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนเมือง ปัจจุบัน การบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์อยู่ภายใต้การดูแลของเทศบาลเมืองลำพูนคุ้มเจ้าราชสัมพันธ์วงษ์เป็นเรือนขนาดใหญ่ 2 ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนเป็นเครื่องไม้ หลังคาจั่วผสมหลังคาปั้นหยา มุงกระเบื้องดินเผา ผังพื้นอาคารเมื่อแรกสร้างเป็น รูปตัวยู (U) แบบสมมาตร มีมุขหน้ายื่นออกมาจากปีกทั้ง 2 ข้าง มุขทั้ง 2 เชื่อมด้วยระเบียงยาวภายในเรือนมีบันไดไม้สำหรับขึ้นลงอยู่บริเวณหัวมุมของเรือนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หลังจากนั้น ได้มีการต่อเติมอาคารบริเวณด้านที่ติดกับบันไดไม้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเรือน ส่วนต่อเติมนี้สูง 2 ชั้น ซึ่งเคยใช้เป็นห้องนอนทั้งชั้นบน และชั้นล่าง ปัจจุบัน พื้นที่ชั้นล่างของอาคารใช้เป็นส่วนจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองลำพูน ประวัติคุ้ม เจ้าราชสัมพันธ์วงษ์ และประเพณีวัฒนธรรมของชาวลำพูน เพื่อให้นักเรียนนักศึกษา และผู้ที่สนใจทั่วไปได้เข้ามาทำการศึกษา หาความรู้ส่วนพื้นที่ชั้นบนของอาคารยังอยู่ระหว่างการปรับปรุง
อาคารพิพิธภัณฑ์ชุมชนเมือง เทศบาลเมืองลำพูน ถือเป็นอาคารที่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี สามารถรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่ยังคงความสมบูรณ์ตามสภาพเดิมไว้ได้ และเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมือง
Chao Ratchasumpan’s Residence
- Location Tambon Nai Muang, Amphoe Mueang, Lamphun Province
- Architect / Designer an anonymous Chinese architect
- Proprietor Municipal Administration of Lamphun Province Chinese Association of Lamphun
- Rented by Lamphun Municipality
- Date of Construction 1912
- Conservation Awarded 2008
History
Formerly, the Museum of Chao Ratchasumpan building was Chao Ratchasumpan (Phutthawong Na Chiang Mai)’s residence. It was constructed in 1912 in the reign of Chaoluang Chakrakumkachonsak, the tenth ruler of Lamphun (reign of King Rama VI). The building was the residence of Chao Ratchasumpan living with his wife, Chaoying Sumpanwong and their children.
The residence’s structure is in a U-shape, 2-storey buiding. There are 2 porticoes on both sides of the building. The porticoes are connected by a long veranda. Two more bedrooms were added into another building in the north. The ground floor was laid with brick masonry, but the second floor was built from teak. The gable was combined with a hip roof.
After World War II a group of Chinese merchants in Lamphun had purchased the land including the Chao Ratchasumpan’s residence. After that the building was used for these Chinese merchants’ meetings and a Chinese language school called “Wunjerng School”. The school was closed after 4 years (in 1949) because of a state of politics. The name of “Wunjerng School” was changed into “Mongkonwitthaya” in 1952. Then it was rented as a radio station until 2005.
Then Municipal Administration of Lamphun Province has organized “Project of Local Museum” The local museum of Lamphun consists of Lamphun Chronicle (falls on Rattanakosin period), displaying Lamphun’s way of life, old photographs of Lamphun including photos of Miss Thailand from Lamphun.






พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก
อ่านเพิ่มเติม
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก
- ที่ตั้ง เลขที่ 273 ซอยเจริญกรุง 43 ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
- ผู้ครอบครอง อาจารย์วราพร สุรวดี บริจาคให้กรุงเทพมหานคร
- ปีที่สร้าง พ.ศ.2480
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551
ประวัติ
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก เดิมชื่อ พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก ก่อตั้งขึ้นด้วยความมุ่งมั่นและความตั้งใจของอาจารย์วราพร สุรวดี ผู้เป็นเจ้าของซึ่งอยากจะจัดบ้านและทรัพย์สินที่ได้รับมรดกจากมารดา คือ นางสอาง สุรวดี (ตันบุญเล็ก) ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ อาจารย์ได้ปรึกษาหารือกับคณะกรรมการชุมชนและมีความเห็นร่วมกันว่าควรยกให้เป็นสมบัติของกรุงเทพมหานคร รวมทั้งการบริหารจัดการด้วย โดยอาจารย์ได้ทำเรื่องยกบ้านหลังนี้โอนกรรมสิทธิ์ แก่กรุงเทพมหานครเสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่1 ตุลาคม พ.ศ. 2547 และกรุงเทพมหานครได้เข้ามาบริหารจัดการเป็นต้นมา โดยจัดบริเวณของชั้น 2 ของอาคาร 3 เป็นนิทรรศการภาพรวมของกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะย่านบางรักในอดีตจนถึงปัจจุบัน และรวมกับอาคารอื่นๆ ในเขตบ้านภายใต้ชื่อ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนำร่องสนองนโยบายการมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นของแต่ละเขต
การจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์มุ่งนำเสนอ วิถีชีวิตของชาวกรุงเทพฯ ที่มีฐานะปานกลาง ในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ราวปี พ.ศ. 2480 – 2500) แบ่งออกเป็น 4 อาคารคือ อาคารหลังที่ 1 เป็นบ้านไม้ทรงปั้นหยาสร้าง ในปี พ.ศ. 2480 ภายในบ้านยังคงรักษาบรรยากาศเดิมไม่ว่าจะเป็นห้องนอนห้องรับแขก หรือแม้แต่เครื่องเรือนก็เป็น ยุคเดียวกันกับบ้าน ส่วนอาคารหลังที่ 2 เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ซึ่งเดิมเคยตั้งอยู่ที่ซอยงามดูพลี ย่านทุ่งมหาเมฆ แล้วได้รื้อมาสร้างใหม่ไว้ที่นี่ เจ้าของเดิมคือ นายแพทย์ฟรานซิส คริสเตียน ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษสิ่งของภายในบ้าน จึงบ่งบอกถึงการถ่ายทอดวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตกได้อย่างน่าสนใจ จัดเป็นห้องนิทรรศการแสดงสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องครัว เครื่องมือช่าง ฯลฯ และอาคารหลังที่ 3 ชั้นล่าง จัดแสดงเอกสาร เช่น โฉนด สำมะโนครัว แผนที่ต่างๆ ที่เจ้าของบ้านเคยเก็บสะสมไว้ ชั้นบน จัดแสดงนิทรรศการภาพรวมของกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สุดท้ายคือ อาคารหลังที่ 4 ปัจจุบันเป็นห้องสมุดอาจารย์วราพร
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นของอาจารย์วราพร สุรวดี และกรุงเทพมหานครในการอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่า และเปิดโอกาสให้เยาวชนและผู้สนใจทั่วไปได้เข้ามาศึกษาหาความรู้
Local Bangkok Museum, Bang Rak (A House on Charoenkrung 43)
- Location 273 Soi CharoenKrung 43, Charoenkrung Road, Khet Bangrak, Bangkok
- Proprietor Professor Waraporn Surawadee donated to Bangkok Metropolis
- Date of Construction 1937
- Conservation Awarded 2008
History
The Bangkokian Museum was founded by the strong will anddetermination of Professor Waraporn Surawadee . Having inherited the house and its possessions from her mother, Mrs. Sa-Ahng Surawadee (Tanbunlak), the professor was truly committed to transform her house into a museum to offer future generations access to Thailand’s cultural heritage. Upon the advice of the local community committee, the professor decided to transfer ownership of the house to Bangkok Metropolis to manage its operations under the name “Local Bangkok Museum Bang Rak, effective 1 October 2004
Located on the second floor of building No.3 is consecrated to an exhibition hall displaying images of Bangkok past to present and considered as an exemplary model project in line with district policies.
Focusing on the middle class way of life in old Bangkok before and after World War II (1937-1957), the exhibition is divided as follows:
The first building erected in 1937, is built entirely of wood with ahipped roof . Home interior and decorations are maintained in its original form be it the bedroom , living room and home furnishings.
The second building display tools used in the old days such as houseware, kitchenware, and mechanical equipments. The former owner being a British – educated doctor, the ambiance interestingly reflects a mélange of eastern and western cultures.
The third building displays several official documents such as title deeds, family registrations and maps collected by the houseowner. Images of Bangkok from past to present is beautifully displayed and well categorized.
The fourth building has currently become the Waraporn library, named after its founder who successfully fulfilled her aim to educate the new generation on the historical and culture value of our past.
















