อาคารพิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรภูเก็ต
อ่านเพิ่มเติม
อาคารพิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรภูเก็ต
- ที่ตั้ง ถนนมนตรี ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
- ผู้ครอบครอง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2473
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2553
ประวัติ
อาคารพิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรภูเก็ต เดิมเคยเป็นเรือนที่พักอาศัยของพระอนุรักษ์โยธา (นุด) ข้าหลวงรักษาราชการ หัวเมืองฝ่ายตะวันตก สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2473 หลังจากนั้นอาคารถูกใช้เป็นที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขภูเก็ต จนกระทั่งมีการสร้างอาคารสำนักงานไปรษณีย์ภูเก็ตขึ้นมาใหม่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด จึงได้ดำเนินการปรับปรุงอาคารเป็นพิพิธภัณฑ์ ตราไปรษณียากรภูเก็ตขึ้น เพื่อเป็นที่รวบรวมความรู้เรื่องแสตมป์และการสื่อสารต่างๆ ให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาศึกษา หาความรู้ โดยเปิดให้เข้าเยี่ยมชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2547 โดยตัวอาคารได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นโบราณสถานก่อนหน้านั้นในปี พ.ศ. 2542
อาคารพิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรภูเก็ตเป็นอาคารชั้นเดียว โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคาเป็นทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องซีเมนต์ จุดเด่นของอาคารอยู่ที่สัดส่วนและมุขด้านหน้าที่มีแผงปูนปั้นเป็นชื่ออาคารเขียนว่าที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข POST & TELAGRAPH OFFICE เสามุขด้านหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม หน้าต่างเป็นบานไม้เปิดคู่เหนือหน้าต่างเป็นช่องแสง และเหนือช่องแสงมีคิ้วลายปูนปั้น อาคารนี้ไม่มีชายคาแต่ใช้กันสาดเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กยื่นออกมาแทนโดยมีค้ำยัน ตกแต่งลวดลายเป็นระยะ
อาคารพิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรภูเก็ตเป็นอาคารชั้นเดียว โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคาเป็นทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องซีเมนต์ จุดเด่นของอาคารอยู่ที่สัดส่วนและมุขด้านหน้าที่มีแผงปูนปั้นเป็นชื่ออาคารเขียนว่าที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข POST & TELAGRAPH OFFICE เสามุขด้านหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม หน้าต่างเป็นบานไม้เปิดคู่เหนือหน้าต่างเป็นช่องแสง และเหนือช่องแสงมีคิ้วลายปูนปั้น อาคารนี้ไม่มีชายคาแต่ใช้กันสาดเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กยื่นออกมาแทนโดยมีค้ำยัน ตกแต่งลวดลายเป็นระยะ อาคารพิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรภูเก็ตจัดแสดงตราไปรษณีย์ยา
Phuket Philatelic Museum
- Location Montri Road, Tambon Talat Yai, Amphoe Mueang, Phuket Province
- Proprietor Thailand Post Co., Ltd.
- Date of Construction 1930
- Conservation Awarded 2010
History
Phuket Philatelic Museum was once the residence of Phra Anurakyota (Nud), former gorverment official, formerly a telegraph service building of Phuket province constructed in 1930. Its architectural style is Chino-Portuguese. The building has single storey of ferro concrete. It has landscaping steps for a front entrance. Windows have double panes. Above the windows are decorated by stucco moulding. The building has a hipped roof which once was the popular style in Phuket. This building was declared as a registered national historic site on 22 January 1999.
After the Thai Post Co., Ltd. constructed another Phuket Post Office, this building was changed into a philatelic museum of Phuket, one of the eight philatelic museums in the region. Inside it holds exhibitions of postage stamps of the country and other countries along with tools and materials representing the evolution of communication, the origin of postal operations and the processing of postage stamps etc. Its objective is to promote the place as a learning resource for Phuket youths and to be an attraction. Open for all visitors free of charge every Monday to Saturday.










อาคารสำนักงานยาสูบเชียงราย
อ่านเพิ่มเติม
อาคารสำนักงานยาสูบเชียงราย
- ที่ตั้ง เลขที่ 674 ถนนธนาลัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
- ผู้ครอบครอง โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2507
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2553
ประวัติ
สำนักงานยาสูบเชียงรายเริ่มตั้งขึ้นโดย บริษัท ยาสูบ อังกฤษ – อเมริกัน (ไทย) จำกัด (บี.เอ.ที.) เมื่อปีพ.ศ.2476 เดิมบริษัทตั้งสำนักงานในที่ดินและโรงเรือนซึ่งเช่าจากเอกชน ต่อมารัฐบาลรับซื้อกิจการจากบริษัทมาเป็นของรัฐ โดยกรมสรรพาสามิต เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2484 จากนั้นกรมสรรพสามิตจึงได้ซื้อที่ดินพร้อมโรงเรือนจากบริษัทป่าไม้อิสเอเชียติก เอ.อาฟริกัน ที่ถนนธนาลัยและที่ถนนสิงหไคล อำเภอเมือง จำนวน 2 แปลง ในราคา 25,000 บาท แล้วจึงย้ายสำนักงานยาสูบมาอยู่ในที่ตั้งปัจจุบันตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2485 เป็นต้นมา หลังจากนั้นจึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารสำนักงานยาสูบเชียงราย เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2507และเปิดทำการเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2509
อาคารสำนักงานยาสูบเชียงราย เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 2 ชั้น ลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น ผังพื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นที่ใช้สอยชั้นล่างประกอบด้วยโถงบันไดกลางอาคาร
ด้านซ้ายขวาของโถงบันไดเป็นสำนักงาน โดยสำนักงานด้านขวาของโถงบันไดมีความยาวมากกว่าและมีระเบียงล้อมรอบ 3 ด้าน ส่วนพื้นที่ใช้สอยชั้นบนประกอบด้วยโถงบันไดกลางอาคาร โดยชานพักบันไดถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่กลายเป็นระเบียงยื่นยาวออกมาจากตัวอาคารคลุมทางเข้าด้านหน้าโดยไม่มีเสารองรับ ด้านซ้ายของโถงบันไดเป็นสำนักงาน ส่วนด้านขวาของโถงบันไดเป็นห้องประชุมและมีระเบียงล้อมรอบ 3 ด้าน สำหรับห้องน้ำมีทั้งชั้นล่างและชั้นบน จุดเด่นของอาคาร คือ หลังคาห้องประชุมชั้นบนเป็นหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กแบบโครงสร้างเปลือกบาง (Thin Shell Structure) ลักษณะคว่ำหงายสลับกัน 5 ผืน และหลังคายังใช้เป็นฝ้าเพดานภายในห้องประชุมอีกด้วย ส่วนหลังคาสำนักงานและโถงบันไดเป็นหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กแบนเรียบ
อาคารสำนักงานยาสูบเชียงราย เป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมที่สะท้อนยุคสมัยหนึ่งของวงการสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างในประเทศไทย และยังคงมีประโยชน์ใช้สอยจนถึงทุกวันนี้
Chiang Rai Tobacco Office
- Location 647 Thanalai Road, Amphoe Mueang, Chiang Rai Province
- Proprietor Thailand Tobacco Monopoly
- Date of Construction 1964
- Conservation Awarded 2010
History
Chiang Rai Tobacco Office was established by the British-American Tobacco Company Limited(Thailand) (B.A.T.) in 1993. In the past, its office was located in the area, renting an edifice from a privatecompany. Later, the government bought the business owned by the Excise Department. The department began operations on September 1st 1941. Long after two plots of land and an edifice was purchased from East Asiatic A. African Company at Thanalai road and at Singhaklai road in Muang district for 25,000 Baht. The Tobacco Office then moved to the new location on January 24th 1942.
The edifice’s construction began on June 25th 1964 and opened on January 27th in 1966. Itsarchitectural design was very modern. The building is made of ferro concrete with 2-storey. Its exceptional part is on the top of the building because between each pole a concrete plate creating an arch shaped as a roof covering is installed. The six arched concrete plates are alternately arrayed in a face up position and turning inside-out, revealing its curved ceilings along the outer roof. At the entrance of the building is an open porch installed standing alone without any posts. The interior of the building is divided into rooms including offices, a meeting room, a library and bathrooms.






อาคารศรีวิทยา โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม
อ่านเพิ่มเติม
อาคารศรีวิทยา โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม
- ที่ตั้ง ถนนอุตรกิจ ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
- ผู้ครอบครอง โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2470
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2553
ประวัติ
โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม ก่อตั้งโดยคณะมิชชันนารีชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2431 หลังจากได้รับมอบที่ดินริมฝั่งแม่น้ำกกเปิดการเรียนการสอนครั้งแรกเป็นภาษาพื้นเมืองและภาษาอังกฤษ ต่อมาในปี พ.ศ.2450 ได้ย้ายโรงเรียนไปตั้งอยู่บริเวณโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊คในปัจจุบัน หลังจากนั้นจึงย้ายมาตั้งอยู่บนถนนอุตรกิจซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนปัจจุบัน ชื่อของโรงเรียนในขณะ คือ BOY’S SCHOOL เนื่องจากในสมัยก่อนคนไทยยังไม่นิยมให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ โดยมีอาคารหลังแรก คือ ตึกดำ เหตุที่เรียกว่า ตึกดำ เพราะได้ใช้น้ำมันดินสีดำทาทั่วตัวตึก มีนักเรียนรุ่นแรกเป็นผู้ใหญ่ 8 คน เด็ก 16 คน ต่อมาในปี พ.ศ.2457 ได้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น โรงเรียนบริกส์อนุสรณ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ นายแพทย์วิลเลียม เอบริกส์ ผู้มีส่วนผลักดันให้กิจการของโรงเรียนเจริญขึ้น
ในปี พ.ศ. 2470 มีการก่อสร้างอาคารเรียน 2 ชั้น มีชื่อว่า อาคารแบคแทลล์ หลังจากนั้นใน ปี พ.ศ. 2477 โรงเรียนบริกส์อนุสรณ์ได้รวมเข้ากับโรงเรียนสตรีวิชาคาร ซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงที่คณะมิชชันนารีตั้งขึ้นก่อนหน้านี้ แล้วใช้ชื่อโรงเรียนว่า โรงเรียนคริสเตียนวิทยาคม ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยกทัพเข้าประเทศไทย แล้วบังคับให้คริสเตียนยุติกิจกรรมทุกอย่าง แต่ทางราชการยังเห็นคุณประโยชน์ของโรงเรียนจึงได้โอนกิจการของโรงเรียนไปอยู่ในความควบคุมดูแลของรัฐบาล ในปี พ.ศ. 2485 โดยแต่งตั้งให้ศึกษาธิการจังหวัดคุณวิสิษฐ์ เรืองอัมพร เป็นเจ้าของและผู้จัดการและเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น โรงเรียนเชียงรายวิทยาคม หลังจากนั้นคณะมิชชันนารีได้สลายตัวจากประเทศไทย กิจการของโรงเรียนเชียงรายวิทยาคมโอนขึ้นกับมูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทย และได้บริหารจัดการโรงเรียนมาจนถึงปัจจุบัน
อาคารศรีวิทยา หรือ อาคารแบคแทลล์ สร้างขึ้นโดยการช่วยเหลือจากคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนมิชชั่นในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีศาสนฑูต เรย์ ดับบลิว แบคแทลล์ เป็นผู้ดำเนินการสร้าง อาคารแบคแทลล์เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ผังพื้นอาคารเป็นรูปตัวเอช (H) ด้านหน้าอาคารชั้นล่างมีมุขทางเข้า เหนือมุขทางเข้าเป็นระเบียง ชั้นบนของอาคารมีระเบียงด้านหน้ายาวถึงกันโดยตลอด หลังคาอาคารเป็นหลังคาปั้นหยาผสมหลังคาจั่ว ตรงกลางหลังคายกขึ้นไปเป็นหลังคาจั่วอีกชั้นหนึ่ง มีช่องลมบานเกล็ดไม้ยาวตลอดแนวหลังคาจั่ว หลังคาทั้งหมดมุงด้วยกระเบื้องลอนคู่
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาคารศรีวิทยาได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมอยู่ในสภาพดี ปัจจุบัน อาคารหลังนี้ใช้เป็นห้องเรียนศูนย์คอมพิวเตอร์ ห้องศาสนกิจ ห้องศูนย์งานวิชาการ ห้องงานกิจการนักเรียน ห้องพักผู้อำนวยการ และห้องพักผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักเรียน
Chiang Rai Wittayakom School
- Location Uttrakij Road, Tambon Wiang, Amphoe Mueang, Chaing Rai Province
- Proprietor Chaing Rai Wittayakom School
- Date of Construction 1927
- Conservation Awarded 2010
History
The establishment of Chiang Rai Wittayakom School began in 1888 by an American missionary, after obtaining the land near the bank of the Kok River. At that time, the school was named BOY’S SCHOOL as in the past girls were not allowed to study. The first building was Tuk Dam (black building ) due to its black tar painting. In 1914, its name was changed to Briggs Anusorn School in commemoration of Dr. William A. Briggs, who helped drive the growth of the school. Later in year 1934, it was merged with a girl’s school which had been found by a missionary and was renamed as Christian Wittayakom School. During World War II the Japanese army marched troops into Thailand and forced Christians to terminate all activities, the school therefore was transferred to government control in 1942 and it was renamed to Chiang Rai Wittayakom School. Today the school is operated by the Foundation of the Church of Christ in Thailand.
Sriwittaya Building or Black Tar Building is a 2 storey of ferro concrete work with H plan and a veranda in the front entrance of the ground floor and the open porch in the upper floor. There are double layered carved tiles roofs which have hipped and gabled styles. The gable above is made of wood with a wooden louvers outlet.
Until now, the building has been well renovated and repaired and used as computer learning center, religious activities room, academic center, administration room and director office.









อาคารหอวัฒนธรรมนิทัศน์เฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก
อ่านเพิ่มเติม
อาคารหอวัฒนธรรมนิทัศน์เฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก
- ที่ตั้ง ถนนสิงหไคล ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ นายแพทย์วิลเลี่ยม เอ บริกส์ (Dr.William A. Briggs)
- ผู้ครอบครอง สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2443
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2553
ประวัติ
ในปี พ.ศ. 2437 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดการปกครองมณฑลพายัพขึ้น โดยมีเมืองเชียงรายเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลนี้ และทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างศาลากลางของเมืองขึ้น ในปี พ.ศ. 2440 เพื่อเป็นที่ทำงานของหน่วยงานรัฐบาลและข้าหลวงเมืองเชียงราย อาคารนี้ออกแบบโดย นายแพทย์วิลเลี่ยม เอ บริกส์ (Dr.William A. Briggs) นายแพทย์มิชชันนารีชาวอเมริกัน นิกายอเมริกันเพรสไบทีเรียน แห่งกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา อาคารหลังนี้สร้างเสร็จในปี พ.ศ.2443 และใช้เป็นศาลากลางจังหวัดจนถึงปี พ.ศ.2512 เมื่อมีการย้ายหน่วยงานต่างๆ ไปที่อาคารศาลากลางหลังใหม่ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2520 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนอาคารเป็นโบราณสถาน ต่อมาอาคารได้รับการปรับปรุงเป็นหอวัฒนธรรมนิทัศน์เฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก และมีพิธีเปิดอาคารอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่2 เมษายน พ.ศ. 2539
รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของอาคารเป็นแบบโคโลเนียล (Colonial) ลักษณะการก่อสร้างเป็นแบบก่ออิฐระบบกำแพงรับน้ำหนักผนังหนา อาคารสร้างบนฐานยกพื้นสูงประมาณ 1.20 เมตร พื้นเป็นไม้ล้วน ผังพื้นอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบยาว มีมุขหัวท้ายยื่นออกมาเล็กน้อย ส่วนกลางอาคารสูง 2 ชั้น มีความยาว 3 ช่วงเสา แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหน้าเป็นระเบียงมีบันไดตั้งอยู่ที่ปลายทั้งสองข้าง และส่วนหลังกั้นเป็นห้อง สำหรับมุขริมสองข้างสูง 3 ชั้น เหมือนหอคอย เป็นมุขกว้าง 1 ช่วงเสา ลักษณะเป็นห้องโถง หลังคาของส่วนกลางอาคารเป็นหลังคาปั้นหยา หลังคามุขทั้ง 2 ข้าง เป็นหลังคาทรงปิรามิด ทั้งหมดมุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว การตกแต่งอาคารมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นการเน้นด้วยลายปูนปั้นที่กรอบประตูหน้าต่างและแต่ละช่วงเสาประดับเสาอิง จุดเด่นของอาคาร คือ การเจาะช่องเปิดที่ระเบียงหน้าของส่วนกลางอาคารชั้นล่างให้โปร่ง โดยใช้โครงสร้างคานโค้งชุด 3 โค้ง ต่อเนื่องต่อหนึ่งช่วงเสา โดยที่โค้งกลางกว้างกว่าริมสองข้างเล็กน้อย ส่วนชั้นบนอาคารส่วนกลางเป็นหน้าต่างชุด 3 บานเช่นกัน ขณะที่มุขริมทั้งสองมีหน้าต่างไม่เหมือนกันสักชั้นชั้นล่างเป็นหน้าต่างคานโค้งช่วงเดียว ชั้นที่ 2 เป็นชุดกรอบหน้าต่างสี่เหลี่ยม 2 บาน ชั้นที่ 3 เป็นชุดกรอบ 3 บาน
อาคารหอวัฒนธรรมนิทัศน์เฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก จัดแสดงเรื่องราวให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประวัติความเป็นมาของจังหวัดเชียงราย กลุ่มชาติพันธุ์ วิถีชีวิต วัฒนธรรมของกลุ่มชน และบทบาททางเศรษฐกิจของจังหวัดในระดับภูมิภาค ถือได้ว่าเป็นอาคารที่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ทำให้อาคารยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์ และสามารถรักษารูปแบบและวัสดุดั้งเดิมเอาไว้ได้
Chamber of Cultural Observations celebrating His Majesty the King’s 50th Anniversary (Chiang Rai City Hall)
- Location Singhaklai Road, Tambon Wiang, Amphoe Mueang, Chiang Rai Province
- Architect / Designer William A. Briggs Ph. D.
- Date of Construction Office of the National Culture Commission Year of Construction1900
- Conservation Awarded 2010
History
During the reign of King Rama V, many governors from Bangkok were sent to be in charge of the Northern provinces. In 1897 Khun Raknara, the Titled Official, organized an administrative system comprising of Interior Division, Treasury Division and Justice Division. The City Hall of Chiang Rai was then built in 1900 and finished in the same year, during the period of Phra Phol Asa, Governor of Chiang Rai. The design and construction was completed by Dr. William A. Briggs, an American missionary doctor from the American Presbyterian Mission of New York, USA. This building served as the City Hall until 1969before the office has been moved to a new place. Therefore, the old building was refurbished to be the Chamber of Cultural Observations to celebrate His Majesty the King’s 50th anniversary, under the authority of the National Culture Commission, and officially opened on 2nd April 1996.
The City Hall was constructed with bricks following the Colonial style and having 3 storey. The front part features a circular form with connected halls. The walls support overall weight hence there exists neither pole nor concrete beam as normally seen in monasteries of the past. Logs were used as a foundation to support the heaviness of the building. With regard to its structure, the floors are all teak wood and the hipped roof with cement tiles. The exteriors of windows and doors in the second and third floors contain louvers while their interiors include clear sliding mirrors. The doors were made of teak wood in a double casement style. There are also translucent glasses above each room’s door to allow penetrating light.
The Chamber of Cultural Observations exhibits stories which portray His Majesty the King’s grace and benevolence, the history of Chiang Rai province, the area’s ethnic groups, ways of life and culture, as well as Chiang Rai’s economic influence towards the Northern region. The building has been carefully preserved to maintain its condition and original architecture.







อาคารพิพิธภัณฑ์เมืองเฉลิมพระเกียรติ
อ่านเพิ่มเติม
อาคารพิพิธภัณฑ์เมืองเฉลิมพระเกียรติ
- ที่ตั้ง ถนนตากสิน ตำบลระแหง อำเภอเมือง จังหวัดตาก
- ผู้ครอบครอง เทศบาลเมืองตาก
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2553
ประวัติ
อาคารพิพิธภัณฑ์เมืองเฉลิมพระเกียรติ เดิมเป็นจวนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ในอดีตเคยจัดเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงวางศิลาฤกษ์เขื่อนภูมิพล ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2504 และเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาทรงปฏิบัติภารกิจที่จังหวัดตาก ในวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2544 เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา ในปี พ.ศ. 2550 จังหวัดตากได้ปรับปรุงอาคารจวนผู้ว่าราชการจังหวัดตากหลังเก่านี้เป็นพิพิธภัณฑ์เมืองซึ่งมีจุดประสงค์ให้เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้แสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณคดี และงานอนุรักษ์สถาปัตยกรรมของเมืองสำหรับนักเรียน นักศึกษา ประชาชน และผู้สนใจทั่วไป โดยเทศบาลเมืองตากสนับสนุนด้านงบประมาณเป็นส่วนใหญ่ และกรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ 6 จังหวัดสุโขทัย ได้ให้การสนับสนุนการออกแบบการอนุรักษ์ตัวอาคารตามหลักวิชาการ และเมื่อค่ำวันที่ 15 ตุลาคม 2551 จังหวัดตากได้จัดงาน 50 ปี แห่งรอยพระบาทที่ยาตราและได้ทำพิธีเปิดอาคารพิพิธภัณฑ์เมืองเฉลิมพระเกียรติ
อาคารพิพิธภัณฑ์เมืองเฉลิมพระเกียรติ เป็นเรือนไม้สักทอง 2 ชั้น หลังคาปั้นหยา มุงด้วยกระเบื้องลอนคู่ประดับตกแต่งด้วยไม้ฉลุลาย ชั้นบนจัดเป็นห้องแสดงพระราชกรณียกิจที่เป็นภาพถ่ายและอื่นๆ ส่วนชั้นล่างกำลังอยู่ในช่วงดำเนินการติดตั้งวัตถุและสิ่งของมีค่าของจังหวัดตาก พื้นที่โดยรอบอาคารได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้มีความร่มรื่นสวยงาม
อาคารพิพิธภัณฑ์เมืองเฉลิมพระเกียรติเป็นตัวอย่างของความตั้งใจในการอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรม โดยการปรับเปลี่ยนพื้นใช้สอยภายในอาคารเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมที่สำคัญอีกแห่งของเมืองตาก
Muang Chalermprakiat Musueum of Tak Province
- Location Tak Sin Road, Tombon Raheang, Amphoe Mueang, Tak Province
- Proprietor Tak Municipality
- Conservation Awarded 2010
History
Mueang Chalermprakiat Museum of Tak Province was formerly an official residence of Tak’s governor. It is located near the Tak municipal building. In the past, it served as a lodge for His Majesty Bhumibol Adulyadej and Her Majesty Queen Sirikit when they proceeded on the opening ceremony of the Bhumibol Dam in 1958. Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn also stayed here once when she performed her duties in Tak province.
The two storey building is made of gold teak wood decorated with elaborate fretwork. The province has continually maintained the building, keeping it in a perfect condition. On the auspicious occasion of His Majesty Bhumibol Adulyadej’s 80th birthday in 2007, the province renovated this ancient residence transforming it into a town museum for the collection of all local antiquities along with other scattered ancient objects and valuables in surrounding areas of Tak province. The Department of Fine Arts has supported the conservation plan of the building by focusing on its original model which was built entirely of gold teak as well as conserving carved wood with Thai patterns. The first floor exhibits the valuables of Tak province. The upper floor exhibits royal items including photographs and various other items. Theobjective is to encourage people to help preserve the province’s valuable objects. The museum is open to students, the public and other interested people who may wish to visit and learn about the rich provincial history.
















บ้านคุณหลวงฤทธิณรงค์รอน
อ่านเพิ่มเติม
บ้านคุณหลวงฤทธิณรงค์รอน
- ที่ตั้ง เลขที่ 544 ซอยเพชรเกษม 2 แขวงวังท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
- ผู้ครอบครอง โรงเรียนฤทธิณรงค์รอน
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2466
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2553
ประวัติ
บ้านคุณหลวงฤทธิณรงค์รอน เดิมเป็นบ้านพักของหลวงฤทธิณรงค์รอน (เจ๊ก แสงมณี) ผู้บัญชาการกรมทหารราชบุรี เมื่อครั้งรับราชการทหารท่านได้ร่วมเดินทางไปปราบฮ่อ เมื่อได้รับชัยชนะจึงได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยเอก และบรรดาศักดิ์เป็น หลวงฤทธิ์ณรงค์รอน ต่อมาได้ลาออกเพื่อประกอบอาชีพค้าขายและเป็นนายอากร ท่านจึงสร้างบ้านพักตามอย่างขุนนาง ในสมัยรัชกาลที่ 6 นิยมปลูกสร้าง บ้านหลังนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2466 โดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนและบริษัทรับเหมาก่อสร้างชื่อ G. Kluzer & Co. เมื่อคุณหลวงถึงแก่กรรมลงในปี พ.ศ.2487 นางฤทธิณรงค์รอน (แจ่ม แสงมณี) ภรรยาจึงยกบ้านและที่ดิน ให้แก่กระทรวงศึกษาเพื่อจัดตั้งเป็นโรงเรียนในปี พ.ศ.2510 ต่อมาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานในปี พ.ศ. 2533
บ้านคุณหลวงฤทธิณรงค์รอนเป็นสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล 2 ชั้น อาคารแบ่งเป็น 3 ส่วน มีโถงกลางและปีกอาคารทั้ง 2 ฝั่ง สร้างเป็นมุขยื่นออกมา เพดานใช้ไม้ตีเป็นตาราง ประตู หน้าต่าง บันได ช่องลม และพื้นใช้ไม้สักทั้งหมด ปีกด้านซ้ายแบ่งเป็นสองห้องเล็ก ส่วนปีกขวาเป็นโถงยาวจากหน้าถึงหลังบ้าน ปัจจุบันเป็นห้องซ้อมดนตรีไทยของนักเรียน ด้านหลังห้องมีบันไดที่ไม่มี เสารับน้ำหนัก เวียนครึ่งวงกลมอยู่แนบติดกับผนังโค้งเป็นทางขึ้นสู่ชั้นสอง เหนือบันไดมีหน้าต่างและช่องกระจกสูงให้แสงและ ลมผ่านได้ ภายในมีรูปปั้น รูปถ่ายและรูปเขียนคุณหลวงพร้อมรูปภรรยาทั้งสองตั้งอยู่ ส่วนชั้นบนแบ่งห้องไว้คล้ายกับชั้นล่าง จัดแสดงเครื่องลายครามจากทายาท จากวัดสังข์กระจายให้ยืมมาจัดแสดง และจากผู้บริจาคในชุมชน ห้องกลางซึ่งเคยเป็นห้องนอนของคุณหลวง ผนังด้านซ้ายและขวาของห้องมีประตูด้านละ 2 บานเชื่อมห้องถึงกันหมด ห้องด้านหน้าปัจจุบันประดิษฐานรูปพระบรมฉายาลักษณ์พระราชทานของรัชกาลที่ 5 ส่วนห้องเล็กด้านหลังจัดแสดงชุดไทยและศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นที่มี ผู้บริจาคให้
ปัจจุบันเป็นโรงเรียนฤทธิณรงค์รอน เปิดการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาและได้สร้างอาคารต่างๆ เพื่อใช้ ในการศึกษา บ้านคุณหลวงฤทธิณรงค์รอนซึ่งเป็นอาคารที่เก่าที่สุดของโรงเรียนได้รับการอนุรักษ์และจัดเป็นพิพิธภัณฑ์บ้าน คุณหลวงฤทธิณรงค์รอนในส่วนชั้นบน เมื่อปี พ.ศ. 2543 ชั้นล่างนั้นเป็นสำนักงานผู้อำนวยการโรงเรียนและห้องดนตรีไทย
Rit Narong Ron Museum
- Location 544 Soi Petkasem, Khwaeng Wang Tha Phra, Khet Bangkok Yai, Bangkok
- Architect / Designer Italian Architect
- Proprietor The Rit Narong Ron School
- Date of Construction 1923
- Conservation Awarded 2010
History
Rit Narong Ron Museum was the former residence of Luang Rit Narong Ron (Jek Sangmanee) who served in the military and fought to subdue the Chinese Ho rebellion. Returning victorious, he was promoted to the rank of captain and received an honorary title as Luang Rit Narong Ron. He later resigned to become a trader and rightful holder of the government monopoly. The residence he had built was representative of the popular style adopted by the nobility during the reign of King Rama VI. After his death, his wife Mrs. Rit Narong Ron (Jam Sangmenee), bestowed the residence and the property to the Ministry of Education to establish into a school. The residence was registered as a historic site and published in the Royal Thai Government Gazette, Book No. 107, and Part No. 70 on May 1st 1990. Today, it has been transformed as Rit Narong Ron School, offering an education up to high school. Since 2000, the building currently operates as the Rit Narong Ron Museum.
The building was designed and constructed in 1923 by an Italian architect under the “G. KLUZER & CO” construction company. 2 storey high. The building is divided into 3 sections. There is a central hall extending out to two porches. The ceiling is made of wood arranged into squares while doors, windows, stairs, air-vents and floors are made of teak wood. The left side of the building is separated into two small rooms. The right side of the building has a long hall which runs from front to the back which has currently been used as a place where students practice Thai musical instruments. There is no supporting pole behind the hall while steps are laid in a semicircle installed along the curved wall leading up to the entrance. Above the steps are windows and high air passages allowing wind and light to pass through. Inside there is a sculpture and several photographs of his two wives including a portrait of Luang Rit Narong.
The division of rooms upstairs is similar to the layout downstairs. Chinese porcelains borrowed from Wat Sang Kra Jai temple and numerous items donated by the community are exhibited upstairs. The middle room used to be his bedroom, consisting of two doors on each side adjoining other rooms. The front room now hosts a portrait of either King Rama V or King Rama VI (the face is not clear). The small room in the back exhibits donated Thai costumes and local arts and crafts.
















อาคารสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
อ่านเพิ่มเติม
อาคารสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์
- ที่ตั้ง ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ เจน สกลธนารักษ์
- ผู้ครอบครอง สมาคมนิสิตเก่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2510
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2553
ประวัติ
สมาคมนิสิตเก่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สนจ.) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2489 โดยคณะผู้ก่อตั้งสมาคมนิสิตเก่า ผู้บริหารมหาวิทยาลัย และคณาจารย์ จำนวน 1,350 คน ร่วมประชุมเพื่อก่อตั้งสมาคม โดยในครั้งแรกนั้นใช้ชื่อว่า สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ทรงรับสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2489 มีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ทรงเป็นนายกสมาคมพระองค์แรก มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความสามัคคี สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ส่งเสริมการกีฬา การบันเทิง การศึกษา เผยแพร่วิทยาการ ส่งเสริมเกียรติ แห่งสถานศึกษา และสมาชิกผู้ได้ประกอบกิจอันเป็นประโยชน์มีชื่อเสียง การดำเนินงานของสมาคมครั้งแรกนั้นใช้พื้นที่บริเวณร้านไชยณรงค์เป็นสำนักงาน หลังจากนั้น 2 ปี จึงย้ายมาใช้เรือนเก่าที่เคยเป็นบ้านพักผู้บัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(ตำแหน่งนี้เปลี่ยนเป็นอธิการบดีในเวลาต่อมา) ปัจจุบันเรือนเก่านี้ คือ เรือนภะรตราชา ซึ่งเป็นอาคารที่ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในปี พ.ศ. 2540 จนกระทั่งเมื่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีอายุครบ 50 ปี ทางสมาคมจึงได้รับอนุมัติให้จัดสร้างอาคารที่ทำการถาวรของสมาคมขึ้นบนพื้นที่ขนาดครึ่งไร่ ริมถนนพญาไท โดยนายเจน สกลธนารักษ์ เป็นสถาปนิกออกแบบ
อาคารสมาคมนิสิตเก่ามีลักษณะทางสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แบบ Brutalist เป็นทรงสี่เหลี่ยม ผนังอาคารเป็นแบบปิดทึบสื่อถึงความเป็นอิสระจากภายนอก แต่ยังคงรับแสงสว่างและระบายอากาศโดยอาศัยการจัดวางระนาบตื้นลึกของผนัง เพิ่มความน่าสนใจของตัวอาคารด้วยการใช้เทคโนโลยีการหล่อคอนกรีตให้เป็นผิวลอนลูกฟูก เพื่อให้เกิดแสงเงาบนพื้นผิวตัวอาคารและเพิ่มความน่าสนใจ ภายในอาคารแบ่งเป็นห้องต่างๆ เพื่อจัดกิจกรรมของทางสมาคม เช่น ห้องจัดเลี้ยง หอพัก ห้องกีฬาในร่ม ห้องประชุม และห้องสมุด เป็นต้น
ปัจจุบันสมาคมนิสิตเก่าได้ทำการซ่อมบำรุงและอนุรักษ์เพื่อรักษาประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและรักษามรดกสถาปัตยกรรมที่เป็นตัวแทนของยุคสมัยที่ตัวอาคารได้ก่อสร้างขึ้น
Chulalongkorn University Alumni Association under the Patronage of His Majesty the King
- Location Phayathai Raod, Khwaeng Wang Mai, Khet Pathumwan, Bangkok
- Architect / Designer Jane Sakonthanarak
- Proprietor Chulalongkorn University Alumni Association under the Patronage of H.M. the King
- Date of Construction 1967
- Conservation Awarded 2010
History
Chulalongkorn University Alumni Association under the Patronage of His Majesty the King was established on February 16th 1946 by 1,350 founders of the Alumni Association who were directors of the university and professors meeting for the association establishment. The first name given was “Chulalongkorn University Alumni Association”. Later it received royal grace from King Ananda Mahidol to be under the patronage on July 15th 1946. H.R.H. Prince Wan Waithyakon was the first president. Consisting of beneficial members, its aim was to promote harmony, mutual aid, sports, entertainment, education, and disseminating knowledge to honor the institute.
The area around the Chainarong store was originally used as an office. Two years later, it moved to the first floor of an old building located behind the current students’ co-operative. Eventually, the university wanted the area back to construct a library and the move had a direct impact on the Association. It wasn’t until the 50th anniversary of the university that the Association was allowed to construct its permanent building on n 800 sq. m plot of land. Jane Sakonthanarak was the architect of this project.
The building has a modern style, square in shape with a solid reflecting wall whichallows for light and ventilation. Corrugated concrete casting was used to increase the attractiveness of the building. This helps reflect shadows onto the building surface making it visually more interesting. The building has been divided into rooms for activities of the association such as meeting rooms, dormitories, an indoor gym, conference rooms and a library etc.









ตึกกลม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
อ่านเพิ่มเติม
ตึกกลม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- ที่ตั้ง เลขที่ 272 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ อมร ศรีวงศ์
- ผู้ครอบครอง มหาวิทยาลัยมหิดล
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2508
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2553
ประวัติ
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เดิมมีสถานะเป็นโรงเรียนเตรียมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัย แพทย์ศาสตร์ มีศาสตราจารย์ ดร.สตางค์ มงคลสุข ปูชนียบุคลสำคัญด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศไทยเป็นผู้ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2503แล้วได้ยกฐานะเป็นคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์และคณะวิทยาศาสตร์ตามลำดับ มีนักศึกษารุ่นแรกมีจำนวน 65 คน ในครั้งแรกดำเนินการเรียนการสอนที่ตึกเทคนิคการแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ต่อมาได้ย้ายสถานที่ตั้งมาพื้นที่บนถนนพระรามที่ 6ตรงข้ามกระทรวงอุตสาหกรรม และได้รับอนุมัติงบประมาณสร้างอาคารบรรยายกับอาคารทดลองวิทยาศาสตร์เพื่อให้เป็นสถานที่เรียนสำหรับนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ในปี พ.ศ. 2508 เมื่อชาวบ้านย้ายออกจากพื้นที่ชุมชนแออัดสะพานเสาวนีย์ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้สั่งการให้เทศบาลนำขยะมาถมจนเต็มพื้นที่แล้วก่อสร้างอาคารเรียนซึ่งก็คือ อาคารเรียนตึกกลม พร้อมไปกับการก่อสร้างโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยมีนายอมร ศรีวงศ์ เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ ตึกกลมหลังนี้ใช้งบประมาณการก่อสร้างทั้งสิ้น 4 ล้านบาท โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยและมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2508 และเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2511
ตัวอาคารมีรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และมีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ กล่าวคือ เป็นทรงกลมเมื่อมองจากด้านบน และเมื่อมองจากด้านข้างจะมีลักษณะคล้ายกับจานบิน โดยแนวคิดการออกแบบเพื่อต้องการให้ทุกๆ ตำแหน่งของอาคารสามารถ ได้ยินและมองเห็นเท่าเทียมกันทุกจุด ตึกกลมเป็นอาคารเรียนขนาด 1,500 ที่นั่ง ประกอบด้วยห้องบรรยายใหญ่ 1 ห้อง ความจุ 500 ที่นั่ง และห้องบรรยายเล็ก 4 ห้อง ความจุห้องละ 250 ที่นั่ง ด้านล่างอาคารเป็นโถงขนาดใหญ่ และมีลานกว้างรอบตึก นอกจาก ตึกกลมจะใช้เพื่อการเรียนการสอนแล้ว ยังใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมในวาระโอกาสพิเศษต่างๆ ของคณะ เช่น พิธีไหว้ครูประจำปี งานปาฐกถาพิเศษ งานประชุมวิชาการต่างๆ เป็นต้น ตึกกลมได้รับการดูแลจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลในฐานะประวัติศาสตร์ของคณะ
Tuek Klom (Lecture Building), Faculty of Science, Mahidol University
- Location 272 Rama VI Road, Khet Ratchathewi, Bangkok
- Architect / Designer Mr. Amon Sriwong
- Proprietor Mahidol University
- Date of Construction 1965
- Conservation Awarded 2010
History
The Faculty of Science at Mahidol University, formerly a school of Medicine and Faculty of Medical Science, was established in 1960 by a venerable scientist in Thailand, Professor Dr. Stang Mongkolsuk. There were sixty five students when classes were first held in the Medical Techniques building of Chulalongkorn Hospital. Later it was relocated to the Rama VI Road, opposite to the Ministry of Industry, and was also subsidized the budget to construct a lecture building and science laboratories for students of the Faculty of Science.
Tuek Klom at the Faculty of Science in Mahidol University was constructed in 1965 within an area used to be a slum community around Saowani Bridge. When people in the community moved out, Field Marshal Sarit Thanarat, the Prime Minister at that time, commanded the municipality to convert the land into Tuek Klom and construct the Ramathibodi Hospital. The architect was Mr. Amon Sriwong and its total budget of construction was about four million bahts, supported by Thai government and Rockefeller Foundation. His Majesty King Bhumibol Adulyadej presided over the laying of its Foundational Stone ceremony on 19th August 1965 as well as the opening ceremony on 26th February 1968.
Featuring modern and exceptional architecture, the building has a round shape when viewed from above and resembles a flying saucer if viewed from its side. The concept of this design is to create an open space in which the surroundings can be audible and visible expansively from every part of the building. This lecture building provides 1,500 seats, containing one large 500-seat room and four 250-seat rooms. Furthermore, there is a large hall downstair and an open space around the building. Additional to the intended purpose of lecturing, it also serves for various faculties’ activities such as Wai Kru ceremonies, special speeches and academic conferences.
Tuek Klom has been well-preserved by Faculty of Science at Mahidol University as the historic building whose distinguished design represents the widely recognized Late Modernist Architecture.









