หอไตรหนองขุหลุ
อ่านเพิ่มเติม
หอไตรหนองขุหลุ
- ที่ตั้ง บ้านขุหลุ ตำบลขุหลุ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี
- ผู้ออกแบบ หลวงปู่สิงห์ เจ้าอาวาสวัดศรีโพธิ์ชัย
- ผู้ครอบครอง เทศบาลตระการพืชผล
- ปีที่สร้าง พ.ศ. 2459
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2547
ประวัติ
หอไตรหนองขุหลุตั้งอยู่ในหนองขุหลุซึ่งเป็นหนองน้ำธรรมชาติใกล้วัดศรีโพธิ์ชัย โดยหลวงปู่สิงห์เจ้าอาวาสวัดศรีโพธิ์ชัยในขณะนั้นเห็นว่าหนองขุหลุเป็นหนองน้ำที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมในการสร้างหอไตร เพื่อใช้เป็นที่เก็บคัมภีร์ใบลานและตำราทางพุทธศาสนาหลวงปู่สิงห์จึงได้บอกกล่าวชาวบ้านให้หาไม้กระดานและวัสดุอื่นๆ มาช่วยกันในการก่อสร้าง กำหนดเริ่มก่อสร้างในเดือน 5 ซึ่งเป็นฤดูแล้งเหมาะแก่การตั้งเสาในหนองน้ำซึ่งแห้งลงมาก เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วก็ได้หาช่างแกะสลักตกแต่งลวดลาย การเข้าถึงหอไตรนั้นพระต้องพายเรือเข้าไป หลังจากนั้นจึงมีการสร้างสะพานไม้เพื่อเข้าชมหอไตรได้สะดวกมากขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 8 อุบลราชธานี กรมศิลปากร ได้เข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์หอไตรหนองขุหลุ หลังจากนั้น ในปีพ.ศ. 2544กรมศิลปากรได้ประกาศให้หอไตรหนองขุหลุเป็นโบราณสถาน
หอไตรหนองขุหลุเป็นอาคารไม้ยกพื้นสูงรองรับด้วยเสาไม้ 25 ต้น หลังคาจั่วมีปีกนกโดยรอบ มุงด้วยกระเบื้องดินเผา ส่วนประดับหลังคาคือตัวเหงาไม้แกะสลักรูปนาค ช่อฟ้า รวยระกาและคันทวยแกะสลักเป็นลายก้านขด โดยรอบอาคารตีไม้เข้าลิ้น ในแนวตั้ง ทรวดทรงอาคารแผ่กว้างหลังคาสูงทิ้งชายคาลาดต่ำ หอไตรหนองขุหลุมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบพื้นบ้านที่มี ความงามเรียบง่าย ให้ความรู้สึกสงบนิ่งและสมดุล
นอกจากความสำคัญของหอไตรหนองขุหลุในด้านสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นแล้ว ยังนับเป็นปูชนียสถานที่เรียกว่าธรรมเจดีย์ ดังนั้นการอนุรักษ์หอไตรหนองขุหลุจึงไม่ได้เป็นเพียงการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการสืบทอดพระศาสนาให้ดำรงอยู่เป็นสรณะของชาวพุทธที่ยั่งยืนสืบไปอีกประการหนึ่งด้วย นอกจากนี้ลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่งของหอไตรหนองขุหลุคือมิได้เป็นของวัดใดวัดหนึ่งแต่เป็นของชุมชนในบริเวณนั้น
The Tripitaka Hall of NongKhu Lu
- Location Ban Khu Lu, TambonKhu Lu, Amphoe Trakan Phuet Phon, UbonRatchthani Province
- Architect / Designer LuangPu Singh, the abbot of Wat Si Phochai
- Proprietor Trakan PhuetPhon Municipality
- Date of Construction 1916 Conservation Awarded 2004
History
This Ho Trai (Tripitaka Hall) is located at NongKhu Lu, which is a natural pond near Wat Si Phochai. LuangPu Singh, the abbot of Wat Si Phochai at that time, saw that NongKhu Lu had a suitable environment for building Ho Trai to keep the scriptures made of palm leaves and textbooks of Buddhism. He asked villagers to help building Ho Trai in the pond in the dry season due to low water level. At the beginning, people had to go to the hall by boat. After that, a bridge was built to visit Ho Trai conveniently. In 1999, Office of Archaeology and the National Museum No. 8 of the Fine Arts Department renovated this hall. The Fine Arts Department has announced that Ho Trai of NongKhu Lu has been a historic building of the nation.
It is a wooden building with raised floor supporting with 25 wooden columns. The gable roof is covered with terracotta tiles. The roof decoration is wood carving in Nagas design. The roof is high and slope downwards. Ho Trai is in a traditional architectural style with beautiful simplicity presenting calmness and harmony. Ho Trai of NongKhu Lu is not only a valuable building of local architecture but also important for preserving Buddhism. It is a special building since it is belonged to the community not the temple





ตำหนักพระเจ้าเสือ
อ่านเพิ่มเติม
ตำหนักพระเจ้าเสือ
- ที่ตั้ง วัดไทร แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร
- ผู้ครอบครองวัดไทร
- ปีที่สร้าง สมัยอยุธยา
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2547
ประวัติ
วัดไทรตั้งอยู่ริมคลองด่าน เป็นวัดที่มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีหลักฐานปรากฏ คือ พระพุทธรูปหินทรายแดงสมัยอยุธยาหลายองค์ที่พบในเขตวัดและบริเวณคลองหน้าวัด ในวัดมีสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญ ได้แก่ เจดีย์ หอระฆัง และตำหนัก พระเจ้าเสือ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า ตำหนักทอง เชื่อกันว่า สมเด็จพระสรรเพ็ชร์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับแรมเมื่อเสด็จประพาสตามเส้นทางคลองด่าน ซึ่งเป็นเส้นทางที่สามารถออกทะเลได้ บางแห่งกล่าวว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระก็เคยเสด็จประทับแรมที่ตำหนักนี้เช่นกัน
ตำหนักพระเจ้าเสือเป็นเรือนไม้สักฝาเข้าลิ้นแบบฝาถัง ยกพื้นสูง เดิมตกแต่งด้วยลายรดน้ำโดยรอบ แต่ปัจจุบันลวดลายดังกล่าวลบเลือนไปเกือบหมด คงเหลือแต่ฝาประจันกั้นห้องด้านในเท่านั้นที่ยังมีลวดลายปิดทองอยู่เกือบสมบูรณ์ ภายในอาคาร กั้นเป็นห้องซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นห้องบรรทม มีหน้าต่างหลอก กรอบหน้าต่างแกะเป็นฐานสิงห์และมีลวดลายแกะสลักไม้เป็น กรอบหน้าต่างลงรักปิดทองอย่างสวยงาม แต่ปัจจุบันชำรุดและลบเลือนไปบ้างตามกาลเวลา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงนิพนธ์ไว้ในสาส์นสมเด็จว่า ลายสลักนี้เป็นฝีมือครั้งกรุงเก่า ส่วนลายเขียนทองที่ฝาเป็นฝีมือกรุงเทพไม่ต่ำลงมากว่ารัชกาลที่ 3 และเป็นฝีมือที่ดี จากความที่พระองค์ทรงนิพนธ์ไว้ดังกล่าว จึงสันนิษฐานว่า ตำหนักพระเจ้าเสือ ได้มีการปฏิสังขรณ์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และได้มีการเขียนลายรดน้ำตกแต่งฝาในยุคนั้น หลังคาของตำหนักเป็นหลังคาจั่ว มุงกระเบื้อง ยอดจั่วตกแต่งด้วยปูนปั้นเป็นรูปครุฑ เหงาเป็นปูนปั้นรูปนาค มีปีกนกโดยรอบ
ตำหนักพระเจ้าเสือได้เคยใช้เป็นหอไตรของวัดอยู่ระยะหนึ่ง ปัจจุบันมิได้ใช้งาน กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียน เป็นโบราณสถานในปี พ.ศ. 2505 และทางวัดได้อนุรักษ์มรดกอันล้ำค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมชิ้นนี้ไว้เป็นอย่างดีตลอดมาจนทุกวันนี้
Tamnak Phra Chao Suea (Golden Pavilion)
- Location Wat Sai, Khwaeng Bang Khun Thian, Khet Chom Thong, Bangkok
- Proprietor Wat Sai
- Date of Construction Ayutthaya period
- Conservation Awarded 2004
History
Wat Sai is located on the bank of Khlong Dan (Dan canal). It has been an important temple since Ayutthaya period, with evidences of several red sandstone Ayutthaya style Buddha images discovered in the temple precinct as well as in the canal in front of the temple. Significant structures are pagoda, bell tower, and Tamnak Phra Chao Suea, also known as “Tamnak Thong” (Golden Pavilion). Dated back to Ayutthaya period, or approximately 300 years ago, the building was built by order of Somdet Phra Sanphet VIII (Phra Chao Suea), who favoured traveling in the countryside, to be his residence during the trips along Khlong Dan, a route which leads to the sea. Some said that King Thai Sa also used to stay at this pavilion as well.
The architecture of Tamnak Phra Chao Suea is Thai traditional style, built of teakwood on high stilts. The original decorations were gilded lacquer works but most of them have faded. Merely in the interior partitions that the gilded decorations still remain in almost complete state. The inside of the building was divided into the King’s bedroom and private chambers. The bedroom was adorned with false windows, whose frames were elaborately carved and gilded in lion-foot designs and ravishing motifs. However, they have been partly deteriorateddue to the old age. H.R.H. Prince Krommaphraya Narisara Nuvadtivongse wrote that the carvings at Tamnak Thong were the craftsmanship of Ayutthaya period; whereas the gilded designs were the exquisite work of Bangkok period, prior to the reign of King Rama III. It could be summarized from the Prince’s comment that the pavilion has been restored during Rattanakosin period. Gilded lacquer works were added. The roof of the pavilion was created in gable tiled form and decorated at the top with stucco depicting a Garuda. Gable ends were made in shape of Nagas. The roof design was finished with a lower tier hipped roof spreading around the building.
Tamnak Phra Chao Suea once served as a scriptures hall for a period of time but it has no longer been used at present. Registered as a National Monument in 1962, it has continually been preserved by the temple until today.




พระวิหารคริสตจักรที่ 1 สำเหร่
อ่านเพิ่มเติม
พระวิหารคริสตจักรที่ 1 สำเหร่
- ที่ตั้ง เลขที่ 37 ซอยเจริญนคร 59 ถนนเจริญนคร แขวงสำเหร่ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร
- ผู้ครอบครอง คริสตจักรที่ 1 สำเหร่
- ปีที่สร้าง พ.ศ.2453
- ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2547
ประวัติ
คริสตจักรที่ 1 เดิมอยู่หลังวัดอรุณราชวราราม เป็นคริสตจักรแห่งแรกของมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียน ซึ่งเดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2383 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ในครั้งนั้นยังไม่มีที่ตั้งคริสตจักรเป็นของตนเอง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้อยู่รวมกับชาวต่างชาติอื่นๆ ที่กุฎีจีน ต่อมา เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2392 มิชชันนารี 5 ท่าน ได้แก่ ศาสนาจารย์สตีเฟน แมตตูน และภริยา ศาสนาจารย์ สตีเฟน บุช และภริยา และศาสนาจารย์นายแพทย์ ซามูเอล เรย์โนลด์ เฮาส์ได้ร่วมกันตั้งคริสตจักรขึ้น ชื่อว่า คริสตจักรเพรสไบทีเรียนที่ 1กรุงเทพ มีหมอแมตตูนเป็นศิษยาภิบาลแต่ยังไม่ได้สร้างสถานที่นมัสการโดยเฉพาะ ยังคงใช้บ้านพักของมิชชันนารีเป็นสถานที่นมัสการต่อมาในปี พ.ศ. 2400 ได้ย้ายบ้านพักมิชชันนารีมาที่สำเหร่ และได้สร้างพระวิหารถาวรขึ้นในปี พ.ศ.2403 โดยใช้เงินบริจาคจากพ่อค้า กะลาสีเรือ มิชชันนารีชาวต่างชาติ และเงินสนับสนุนบางส่วนจากสหรัฐอเมริกา การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2405 ระยะเวลาที่ค่อนข้างล่าช้าดังกล่าวเนื่องมาจากสงครามกลางเมืองที่อเมริกาในช่วงนั้น เมื่อพระวิหารเสร็จสมบูรณ์แล้ว ได้มีพิธีมอบถวายในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2405 ต่อมาจำนวนผู้นมัสการที่เพิ่มมากขึ้นทำให้พระวิหารหลังเดิมแออัดไม่เพียงพอต่อการใช้สอย จึงมีการรื้อถอนพระวิหารเดิมและก่อสร้างพระวิหารใหม่ในรูปแบบสถาปัตยกรรมอย่างเดิมในปี พ.ศ.2453ซึ่งยังคงใช้นมัสการพระเจ้ามาจนปัจจุบัน ส่วนหอระฆังที่อยู่เคียงกัน สร้างในปี พ.ศ. 2455 มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับพระวิหาร
พระวิหาร คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ เป็นอาคารชั้นเดียว หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเข้าหาแม่น้ำเจ้าพระยา มีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 3 ช่วงเสา ยาว 6 ช่วงเสา โครงสร้างก่ออิฐถือปูนเป็นระบบผนังรับน้ำหนัก พื้นหินอ่อน ด้านหน้าเว้นช่องเสาตอนบนทำเป็นวงโค้ง 3 วง เป็นระเบียงทางเข้า ประดับด้วยคิ้วและลวดบัวปูนปั้นลายอุบะ เหนือบานประตูหน้าต่างประดับกระจกสีกลางหน้าบันประดับด้วยปูนปั้นรูปดอกห้ากลีบขนาดใหญ่ในวงกลม และมีดอกสี่กลีบมีไส้ในวงกลมขนาดเล็กขนาบ 2 ข้าง หลังคาเป็นจั่วโครงไม้มุงกระเบื้องว่าว ส่วนหอระฆังเป็นหอสูง ผังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส หลังทรงปั้นหยามุงกระเบื้องว่าว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการซ่อมแซมบำรุงรักษาพระวิหารมาด้วยเงินบริจาคจากคริสตชนและผู้มีจิตศรัทธาทั้งในชุมชนใกล้คริสตจักรและที่อื่นๆ การอนุรักษ์ครั้งล่าสุดได้มีการแก้ไขลวดลายของพระวิหารและหอระฆังในรายละเอียดและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอิฐจากเดิมที่เป็นสีขาว
The 1st Presbyterian Church, Samre
- Location 37, Soi Charoennakhon 59, Charoennakhon Road, Khwaeng Samre, Khet Thonburi, Bangkok
- Proprietor The 1st Presbyterian Church
- Date of Construction 1910
- Conservation Awarded 2004
History
The 1st Presbyterian Church at Samre is the first church of the American Presbyterian missionaries who came to propagate the religion in 1840, during the reign of King Rama III. At that time, the missionaries did not have their own church. The King then allowed them to live with other foreigners at Kudi Chin, behind Wat Arunratchawararam (Temple of Dawn). On 31st August 1849, five missionaries namely Prof. Stephen Mattoon and his wife, Prof. Stephen Bush and his wife, and Prof. Dr. Samuel Reynolds House collaborated inestablishing a church called “the 1st Presbyterian Church, Bangkok”, having Dr. Mattoonpositioned as a pastor. However, there was no specific building for religious activities. The missionaries’ residence then served as a place for religious functions.
In 1857, the missionary house was moved to Samre and a new church wasconstructed in 1860 by contributions from merchants, sailors, foreign missionaries and government of the United States. The construction was completed in 1862, with certain delay due to American Civil War. Since then, the 1st Presbyterian Church, Samre, became a centre for the mission of Presbyterians whose number has increased until exceeding the capacity of the church. Therefore, a new building has been replaced in 1910 and its architectural features mainly followed the old one. The church has been constantly restored with supports from Christians and general donors both within Samre community and from other areas.



