พ.ศ. 2551

ศาลเจ้าเกียนอันเกง

อ่านเพิ่มเติม

ศาลเจ้าเกียนอันเกง

  • ที่ตั้ง แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ
  • ผู้ครอบครอง บุศย์ – พิสิฏฐพล สิมะสเถียร
  • ปีที่สร้าง สมัยรัชกาลที่ 3
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551

ประวัติ

ตามคำบอกเล่า กล่าวกันว่า มีศาลเจ้าจีน 2 หลัง เดิมสร้างขึ้นโดยคนจีนที่ตามเสด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ปากคลองบางหลวง หรือคลองบางกอกใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อคราวที่พระองค์ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1ทรงย้ายพระนครหลวงมาตั้งยังฝั่งพระนคร คนจีนเหล่านี้ก็ได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ฝั่งพระนคร ศาลเจ้าที่สร้างไว้ ทั้งสองศาลก็ถูกทอดทิ้งให้ชำรุดทรุดโทรม ครั้นเมื่อเจ้าพระยานิกรบดินทร หรือ เจ้าสัวโต ต้นสกุลกัลยาณมิตร อุทิศที่บ้านกับซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อสร้างวัดกัลยาณมิตร เมื่อปี พ.ศ. 2368 ได้มีชาวจีนจากมณฑลฮกเกี้ยน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของสกุลตันติเวชกุล และสกุลสิมะเสถียร เดินทางมากราบไหว้ที่ศาลเจ้าทั้งสองนี้ และร่วมกันรื้อศาลเจ้าทั้งสอง แล้วสร้างศาลเจ้าใหม่ เพื่อประดิษฐาน องค์พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม และเรียกชื่อศาลเจ้าแห่งนี้สืบมาจนปัจจุบันว่า ศาลเจ้าเกียนอันเกง นอกจากนั้นความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของศาลเจ้าแห่งนี้ กล่าวคือ เดิมที่ตั้งวัดกัลยาณมิตรนี้เรียกว่า บ้านกุฎีจีน บ้านกุฎีจีนนี้น่าจะมีความหมายถึง ศาลเจ้าเกียนอันเกงนี้เอง ดังปรากฏหลักฐานสำเนาประกาศ พระบรมราชปรารภและพระบรมราชูทิศ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ในงานฉลองหอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ ความว่า เดิมที่วัดกัลยาณมิตรนี้เป็นบ้านกุฎีจีน

ศาลเจ้าเกียนอันเกง เป็นกลุ่มอาคารก่ออิฐถือปูนผสมด้วยส่วนประกอบไม้ มีชั้นเดียว รูปแบบสถาปัตยกรรมจีน พื้นถิ่นในสมัยราชวงศ์ชิง หลังคาจั่วโค้งซ้อนชั้น มุงด้วยกระเบื้อง ภายในประดับภาพจิตรกรรมฝาผนัง ปูนปั้น และเครื่องไม้แกะสลักที่มีความสวยงามละเอียดลออ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ศาลเจ้าเกียนอันเกงยังคงเป็นศรัทธาสถานของชาวย่านกุฎีจีน และได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี สามารถรักษาองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม และคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไว้ได้ นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2550 – 5 มกราคม พ.ศ. 2551 กรรมาธิการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ได้จัดทำโครงการ ASA VERNADOC โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุดจิต (เศวตจินดา) สนั่นไหว เป็นประธานโครงการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการสำรวจ รังวัด และเขียนแบบสภาพปัจจุบันของศาลเจ้าเกียนอันเกง สำหรับข้อมูลที่ได้จากการทำงานได้นำไปเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของศาลเจ้าแห่งนี้

The Shrines of Kian An Keng

  • Location Wat Kanlaya , Khet Thonburi , Bangkok
  • Proprietor But & Phisitthapon Simasatian
  • Date of Construction During the reign of King Rama III
  • Conservation Awarded 2008

History

It is believed that two shrines were built by King Taksin Maharat’s Chinese entourage who had settled in Bangluang Canal or eastern Bangkok Yai canal while his majesty established Thonburi as the capital. However, King Rama I moved the capital to Phra Nakhon and those Chineses then relocated to Phra Nakhon as well. Both shrines hence were abandoned and become dilapidated. After that Chao Phra Ya Nikonbadin, one of the first ancestors of Kanlayanamit family, donated his property and bought a plot of land to build Kanlayahnamit Temple. In 1825, Hokkien Chineses who were the ancestors of Tantiwetchakun’s and Simasatien’s families came to pay respect to the shrines. They subsequently reconstructed these sanctuaries in style of Chinese architecture and enshrined Guan Yin statue (a bodhisattva) before naming the place “the Shrines of Kian An Keng”

These shrines were made of brick masonry and wood, single-storey, with double-curved roof as seen from the architecture of Chin Dynasty. Inside of the buildings was decorated with mural paintings, stucco and exquisite wood carvings. The shrines have still been respected and carefully maintained in order to preserve its historical value for future generations.


หอไตรวัดออนหลวย

อ่านเพิ่มเติม

หอไตรวัดออนหลวย

  • ที่ตั้ง ตำบลออนเหนือ อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ลุงหนานสิงห์ ปัญญาละ พ่อหนานคำ อโนมา พ่อหนานสิงห์ ใจคำมูล และพ่อหลวงชุ่ม ศรีจันทร์
  • ผู้ออกแบบอนุรักษ์ เบญจามิน สุตา
  • ผู้ครอบครอง วัดออนหลวย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2473
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551

ประวัติ

วัดออนหลวย เดิมตั้งอยู่ทางทิศใต้หมู่บ้านออนหลวยชื่อ วัดมิ่งแก้ว ต่อมาได้ย้ายวัดขึ้นไปทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดออนหลวย เมื่อ พ.ศ. 2395 คำว่าออนหลวยมาจากชื่อ แม่น้ำออน แม่น้ำสายหลักของชุมชนนี้ และคำว่า หลวย มาจากชื่อเมืองที่สิบสองปันนาซึ่งชาวบ้านอพยพมาตั้งแต่อดีต ต่อมา ครูบาเจ้า ต๊ะรังสี เจ้าอาวาสวัดในขณะนั้นได้ดำริให้มีการสร้างหอไตรเพื่อเก็บรักษาพระไตรปิฎก โดยมีสล่าล้านนา 4 ท่าน คือ ลุงหนานสิงห์ ปัญญาละ พ่อหนานคำ อโนมา พ่อหนานสิงห์ ใจคำมูล และพ่อหลวงชุ่ม ศรีจันทร์ เป็นผู้ออกแบบ และได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านจนการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2473

หอไตร วัดออนหลวย เป็นอาคาร 2 ชั้น แบบจตุรมุข ผนังชั้นล่างก่ออิฐฉาบปูน ชั้นบนเป็นโครงสร้างไม้ หลังคาเป็นหลังคาจั่วซ้อน2 ชั้น แบ่งระดับหลังคาเป็น 2 ตับ มุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว หน้าบันแต่ละด้านประดับด้วยไม้แกะสลักและกระจกสีที่มีลวดลาย ไม่เหมือนกัน เนื่องจากสล่าแต่ละท่านรับผิดชอบการออกแบบลวดลายและจัดสร้างคนละด้าน ภายในหอไตรมีตู้เก็บพระไตรปิฎกที่ได้รับการแปลแล้ว และยังมีส่วนที่ไม่ได้รับการแปล หีบเก็บคัมภีร์พื้นเมืองสำหรับใช้ในการสวดพิธีต่างๆ และตุงของคนไทยลื้อ

เมื่อหอไตรทรุดโทรมลง ชาวบ้านได้รวมตัวหาทุนในการบูรณะว่าจ้าง โดยมีนายช่างเบญจามิน สุตา เป็นผู้ควบคุมงานซ่อมแซมให้คืนสภาพเดิมของอาคาร ปัจจุบัน หอไตร วัดออนหลวย ยังคงรักษาคุณค่าศิลปสถาปัตยกรรม ไว้ได้เป็นอย่างดี

The Tripitaka Hall at Wat Onluay

  • Location Tambon On Nuea, Amphoe Mae On, Chiang Mai Province
  • Proprietor Wat Onluay
  • Date of Construction 1930
  • Construction Awarded 2008

History

The name of the temple “ Onluay ” is originally from “ On River ”, a main river in this community. Moreover, the word “ Luay ” is from the name of the city where the local people had emigrated. In the past, children of the village were ordained as monks at this temple, with the temple repository of the Buddhist scriptures constructed in 1930.

The Tripitaka Hall is a place where Buddhist scriptures are kept. The Buddhist scriptures can be divided into 3 parts: Vinaya (monastic codes), Sutta (sermons) and Abhidhamma (the Higher Doctrine). The temple repository of the Buddhist scriptures at Wat Aunluay is a 2- storey building designed in Thai-Lanna style. Its wall on the ground floor is of brick masonry and the second floor is of wooden structure. It has 4 porticos that are beautifully carved and decorated with stained glass. In addition, each portico was designed and built by 4 different architects including Pau Luang Nansan Punyahla, Pau Nankum Anoma, Pau Nansing Jaikummun and Pau Chum Srichan. (Pau – an admirable elderly man in the north of Thailand)

When the temple repository of the Buddhist scriptures was beginning to deteriorate over time, the villagersfound several ways to collect money for restoration. An architect named Benjamin Sutha had controlled all processes of renovation until it returned in good condition again.


วิหารวัดพันเตา

อ่านเพิ่มเติม

วิหารวัดพันเตา

  • ที่ตั้งเลขที่ 105 ถนนพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
  • ผู้ครอบครองวัดพันเตา ปีที่สร้าง พ.ศ. 2419
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551

ประวัติ

วัดพันเตาสร้างขึ้นประมาณ พ.ศ.1934 ตั้งอยู่กลางเมืองเชียงใหม่ ส่วนวิหารวัดพันเตานั้น พระเจ้าอินวิชยานนท์ ได้รื้อหอคำหรือคุ้มหลวงของพระเจ้ามโหตรประเทศ (เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในราชวงศ์ทิพจักราธิวงศ์ ลำดับที่ 5) แล้วนำส่วนประกอบต่างๆ ของหอคำมาสร้างเป็นวิหารของวัดพันเตา โดยการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2419 ภายในวิหารมี พระเจ้าปันเต้า (พระเจ้าพันเท่า) ประดิษฐานเป็นองค์พระประธาน ในปี พ.ศ. 2523 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวิหารหลังนี้เป็นโบราณสถานของชาติ

วิหาร วัดพันเตา เป็นวิหารไม้ขนาดใหญ่แบ่งเป็น 8 ช่วงเสา ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบเชียงแสน จุดเด่นของวิหาร คือ เครื่องบนของวิหารเป็นโครงสร้างม้าต่างไหม ซึ่งยังคงลักษณะความงามของศิลปะล้านนาได้อย่างครบถ้วน ตัวอาคารประกอบด้วยประตูมีทางเข้าออกทั้งหมด 3 ทาง คือ ประตูใหญ่ด้านหน้า ประตูด้านข้างทางด้านทิศเหนืออยู่ค่อนมาทางประตูหน้า และประตูทางทิศใต้อยู่ค่อนไปทางด้านหลังเป็นประตูทางเข้าอาคารของพระสงฆ์ ประตูด้านหน้าที่มีหน้าบันแกะสลักลวดลายเป็นซุ้มคล้ายซุ้มโขง มีอิทธิพลของศิลปกรรมแบบพม่า ลักษณะลวดลายในโครงสามเหลี่ยมตรงกลางเป็น รูปนกยูงยืนเหนือรูปมอม (พาหนะของเทพปัชชุนนะเทพผู้บันดาลให้เกิดฝน) กรอบของรูปวานรแบกตัวลวง 2 ตัวไว้ทั้ง 2 ข้างซึ่งตัวลวงนี้ใช้หางค้ำรูปแบบจำลองปราสาท ส่วนฐานของรูปซุ้มทำเป็นท่อนไม้แปดเหลี่ยม สลักลวดลายประจำยาม ซึ่งทำปลายเสาทั้ง 2 ข้าง เป็นรูปหัวเม็ด โดยมีหงส์ขนาดเล็กยืนประกอบ

ทั้ง 2 ข้าง สวยงามคล้ายชะโงกลงมาดูที่ประตูด้านล่าง ฝาผนังวิหารวัดพันเตาเป็นฝาลูกฟักไม้ขนาดใหญ่ ใช้เคร่าไม้ตั้งตัวริมยึดกับแนวเสาไม้ ตรงช่วงกลางแบ่งเป็นช่องหน้าต่างบานไม้เปิดเข้าด้านใน กรอบไม้บรรจุลูกกรงมะหวดไม้กลึงเรียงถี่ๆ วางเหนือวงกบ ระดับวงกบสูงต่ำไม่เท่ากันโดยมีจังหวะตามการย่อช่วงแปลนเสาหน้าหลังวิหาร ฝาผนังวิหารไม้เหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่ง ที่ความลงตัวมีวิธีการจัดระเบียบต่างกันที่ขนาดตารางที่เหมาะสมเพื่อยึดลูกฟักแบบแม่สะกน เพื่อให้สัมพันธ์กับระยะแปลนเสาและส่วนระนาบหลังคา นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความแท้และงดงามยิ่ง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วิหาร วัดพันเตา ได้รับการบูรณะปรับปรุงเป็นอย่างดี สามารถเป็นสถานศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมของล้านนาได้เป็นอย่างดี

Vihara of Wat Pantao

  • Location 105 Phra Pokklao Road, Tambon Phra Sing, Amphoe Mueang, Chiang Mai Province
  • Proprietor Wat Pantao
  • Conservation Awarded 2008

History

Wat Pantao was built in 1391. Located in the center of Chiang Mai. Woods and materials from the Royal Residence of Phra Chao Mahotaraprathet (The Fifth Ruler of Chiang Mai) were taken to build the Vihara (The Assembly Hall) by Phra Chao Inwitchayanon.

An outstanding beauty of the Vihara are the roof members which is representative of Lanna art. The Vihara consists of doors providing 3 entrances and exits. The ornate gable end above the entrance door is curved into the shape of a niche called “Kong” niche. The niche is carved into a triangle structure with a peacock standing above Mom (Thep Patchunna’s vehicule) in the center. Moreover, another frame depicts a monkey carrying two Luang(s) holding a replica of a sanctuary by their tails. The niche has a octagonal wooden base carved into an intermittent quadri-foil design. There are 2 swans covering the top of two pillars of the niche.

The Vihara was registered as an archaeological site and was published in the Government Gazette, volume 97, section 41 dated 14 March 1980.


วิหารวัดบ้านก่อ

อ่านเพิ่มเติม

วิหารวัดบ้านก่อ

  • ที่ตั้งเลขที่ 55 หมู่ 6 ตำบลวังทรายคำ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง
  • ผู้ครอบครอง วัดบ้านก่อ
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2477
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551

ประวัติ

วิหารวัดบ้านก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2477 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2479 เป็นวิหารก่ออิฐถือปูน โครงสร้างเครื่องบนเป็นไม้มุงด้วยแป้นเกล็ด ซึ่งไม่พบวิหารในลักษณะนี้มากนัก นอกจากนั้นบนฝาผนังภายในรอบวิหาร รวมถึงด้านหน้า ปรากฏภาพจิตรกรรมเป็นนิทานเรื่องเวสสันดรชาดก ที่มีรูปลักษณ์ร่วมสมัยเมื่อ 70 ปี ที่ผ่านมา ความงดงามของจิตรกรรมฝาผนังที่ดูเหมือนจะเป็นสกุลช่างพื้นบ้านลำปางกลุ่มใหม่ ที่ยังไม่เคยมีการกล่าวถึงมากนัก มีภาพแรกมากมายที่เล่าเรื่องราวในอดีตของชุมชน อีกทั้งยังสามารถสะท้อนสังคมความคิดความเชื่อ เช่น ตรงฝาผนังด้านในข้างมีการวาดภาพคนทำชั่วที่ต้องตกกระทะทองแดงในนรก แต่นายนิรยบาล ผู้ควบคุมกลับมีใบหน้าละม้ายคล้ายพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นอกจากนั้น ยังมีรูปนางงามที่ทำผมทรงกระบัง สวมรองเท้าส้นตึก กางเกงขาบาน อันเป็นแฟชั่นเมื่อราว 40 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีภาพเหมือนของพระภิกษุ สามเณร และคนที่มาเยือนวัด

เมื่อวิหารได้ชำรุดทรุดโทรมลง จึงได้เกิดโครงการการอนุรักษ์วิหารและจิตรกรรมฝาผนังวัดบ้านก่อขึ้น โดยความร่วมมือระหว่าง คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยนเรศวร วิทยาเขตพะเยา โดยมีอาจารย์วิถี พานิชพันธ์ เป็นประธานโครงการ โครงการนี้ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยทั้งนี้เพราะได้เล็งเห็นความสำคัญของมรดกทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมพื้นบ้านของภาคเหนือเป็นสำคัญ

Vihara of Wat Ban Kaut

  • Location 55 Mu 6, Tambon Wang Sai Kum, Amphoe Mueang Wang Nuerg, Lampang Province
  • Date of Construction 1934
  • Conservation Awarded 2008

History

The Vihara (The Assenbly Hall) of Wat Ban Kau was built in 1934 and completed in 1936. It is built as a brick masonry structure with wooden roof top and traditional wooden roof tiles (Pan Kled). This style of architectural is extremely rare. The interior wall of Vihara is decorated with mural paintings depicting the Vessantara Jataka story (the tale of the last rebirth of the Bodhisattva). The painting style is contemporary with the 70 years ago art style. It seems these beautiful paintings were created by local Lampang crafts. This Lampang crafts, which has not been studied so much, expresses the community in the past as well as their society and their beliefs. Such as the painting of wicked men that died and were going to hell on the side interior wall, but the guardian of the hell looks like King Chulalongkorn (King Rama V). Another example is a beauty queen wearing dress and hair like in the fashion of the 70’s or the portraits of monks, novices and people visiting the temple.

When Vihara was getting dilapidated, Vihara and the wall painting of Wat Ban Kau conservation project had been carried out by cooperation between Faculty of Fine Arts of Chiang Mai University and NaresuanUniversity. Professor Vithi Phanichpan was director of the project. The project received a donation from The American Ambassador of Thailand because the importance of northern traditional architectures and arts should be supported.


วิหารและหอไตรวัดดวงดี

อ่านเพิ่มเติม

สถานกงสุลอังกฤษ เชียงใหม่ (เดิม)

  • ที่ตั้ง เลขที่ 228 ถนนพระปกเกล้า ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
  • ผู้ครอบครอง วัดดวงดี
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2372
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551

ประวัติ

วัดดวงดีตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองเชียงใหม่ ใกล้กับอนุสาวรีย์ 3 กษัตริย์ ประวัติของวัดไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัดนัก แต่ชื่อของวัดดวงดีนั้นตามปรากฏหลักฐานข้อมูลพบว่ามีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น วัดพันธุนมดี วัดอุดมดี วัดพนมดี ในปี พ.ศ. 2513 ได้พบคำจารึกบนฐานพระพุทธรูปโลหะองค์หนึ่งซึ่งประดิษฐานอยู่ในวิหาร จารึกด้วยอักษรไทยยวนมีความว่า สกราชได้ 859 ปีวายสี พระเจ้าตนนีแสนนึงไว้วัดต้นมกเหนือ (จ.ศ. 859 พ.ศ. 2039 สมัยพระเจ้ายอดเชียงรายครองเมืองเชียงใหม่) พระพุทธรูปองค์นี้น่าจะไม่มีผู้นำมาจากที่อื่นแต่สร้างขึ้นในวัดนี้ หมายความว่า วัดดวงดีมีชื่อเรียกอีกอย่างคือ วัดต้นมกเหนือ หรือวัดต้นหมากเหนือ วัดดวงดีคงสร้างขึ้นหลังจากพระเจ้ามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้ว และคงมีเจ้านายเมืองเชียงใหม่คนหนึ่งเป็นผู้คิดสร้างวัดขึ้น ในปี พ.ศ. 2524 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวิหาร และหอไตร ของวัดดวงดีเป็นโบราณสถานของชาติ

วิหาร สันนิษฐานว่าสร้างโดยเจ้าจันทร์หอม แต่ไม่ปรากฏปีสร้าง แต่พระเทพวรสิทธาจารย์ อดีตเจ้าคณะเชียงใหม่ รูปที่ 8 เมื่อครั้งดำรงสมศักดิ์เป็น เจ้าคุณอุดมวุฒิคุณ รองเจ้าคณะเชียงใหม่บอกว่าเจ้าอินทรวโรรสสุริยวงศ์ (น้อยสุริยะ)เป็นผู้สร้างแต่ไม่ปรากฏปีสร้างแน่ชัด ลักษณะวิหารเป็นวิหารแบบล้านนาที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมต้นรัตนโกสินทร์ คุณค่าของวิหารแห่งนี้อยู่ที่ลวดลายแกะสลักไม้ประดับสถาปัตยกรรม เช่น ค้ำยันหูช้างแกะเป็นลวดลายสวยงาม รวมทั้งลวดลายแกะสลักเหนือกรอบประตูทางสถาปัตยกรรมส่วนหอไตร เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นหอไตรทรงมณฑปแบบพื้นเมืองล้านนา ส่วนหลังคาหรือยอดเป็นทรงมณฑปหลังคาซ้อนลดหลั่นกัน 3 ชั้น ประดับด้วยลวดลายตรงบริเวณสันหลังคา หน้าต่างทำเป็นซุ้มอยู่โดยรอบ หอไตรนี้สร้างโดยเจ้าอุปราชมหาวงศ์ (หนานมหาวงศ์) ในปี พ.ศ. 2372 หลังจากสร้างหอไตรถวายวัดดวงดีเสร็จก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 5 ของเชื้อเจ้า 7 องค์

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วิหารและหอไตรได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพดี โดยในปี พ.ศ. 2549 กรมศิลปกร ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วิหารตามรูปแบบเดิมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชย์ครบ60 ปี และทรงพระชนมายุครบ 80 พรรษา ในปี พ.ศ. 2550 นับได้ว่าวิหารและหอไตรเป็นโบราณสถานที่สามารถรักษาคุณค่าความสำคัญทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม รวมทั้งความแท้ดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี

Vihara and The Tripitaka Hall of Wat Duang Dee

  • Location Tambon Si Phum, Amphoe Mueang, Chiang Mai Province
  • Proprietor Wat Duang Dee
  • Date of Construction 1829
  • Conservation Awarded 2008

History

The history of this temple was not clear but is was called by several names such as Phanomdee, Udomdee, Phannomdee. In 1970 an inscription at the base of the Buddha image was discovered. The inscription can be summarized that, once, this temple was called “Wat Ton Mak Nua” and probably built by the royalty of Chieng Mai.

It is proven that Chao Chan Hom ordered to build the Vihara, but the year of the construction has not been discovered. The Vihara was built in local Lanna style. In the other hand, it has been presently adapted. In addition to the Vihara, the ripitaka Hall was constructed by Chao Uparat Maha Wong in 1829. It is a square hall with a tower. And it has 3-tiered roof and niches around the temple.


พระวิหาร วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร

อ่านเพิ่มเติม

พระวิหาร วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร

  • ที่ตั้ง แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบไม่ปรากฏชื่อ ผู้ออกแบบอนุรักษ์ กรมศิลปากร โดย วสุ โปษยะนันทน์
  • ผู้ครอบครอง วัดมกุฎกษัตริยาราม ราชวรวิหาร
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2411
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2551

ประวัติ

ตั้งอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม เป็นหนึ่งในพระอารามสำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2411 เป็นพระอารามสุดท้ายที่สร้างขึ้นในรัชกาล ก่อนเสด็จสวรรคตเพียง 99 วัน ลักษณะสถาปัตยกรรมที่ปรากฏจึงถือเป็นผลแห่งการผสานแนวพระราชดำริ พระราชนิยม ที่สะท้อนถึงความเข้าพระทัยในพระพุทธศาสนาของพระองค์ได้เป็นอย่างดี สมกับที่ตั้งพระทัยให้เป็นวัดของพระองค์จึงพระราชทานชื่อที่แปลว่า พระอารามของกษัตริย์พระนาม มงกุฎ เพื่อให้คู่กับวัดโสมนัสวิหารที่ทรงสร้างอุทิศพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษมและมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมใกล้เคียงกัน ตามพระราชดำริในการสืบธรรมเนียมการสร้างวัดคู่ ดังเช่นเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงสร้างวัดกุฎีดาวเป็นวัดหลวงคู่กับวัดสมณโกศเป็นวัดพระมเหสี

ผังของวัดมีแบบอย่างมาจากแผนผังพุทธสถานของสุโขทัย และอยุธยา ที่มีพระวิหารและพระเจดีย์เป็นหลัก พระเจดีย์ประธานขนาดใหญ่ตั้งอยู่กึ่งกลางของแผนผังล้อมรอบด้วยพระระเบียง โดยมีพระวิหารตั้งอยู่ด้านหน้าเป็นสำคัญ ในขณะที่พระอุโบสถที่มีขนาดเล็กกว่าอยู่ด้านหลัง พระวิหารเป็นอาคารทรงไทยขนาดใหญ่ หลังคามุขลดมีเฉลียงรอบที่มีเสากลมรับหลังคาโดยรอบรวม 28 ต้น หันหน้าออกสู่คลองผดุงกรุงเกษม หน้าบันประดับรูปพระมหาพิชัยมงกุฎประดิษฐานเหนือพานแว่นฟ้ามีฉัตรประกอบพระเกียรติยศ ซึ่งเป็นตราพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หัวเสาที่อยู่โดยรอบประดับด้วยหัวเสาที่เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะไทยและศิลปะตะวันตก ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นงานปูนปั้นปิดทองประดับกระจกเป็นลวดลายดอกไม้ส่วนบนเป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฎเช่นเดียวกันกับส่วนหน้าบัน ภายในพระวิหารมีพระพุทธวชิรมงกุฎเป็นพระประธานประดิษฐานในบุษบกตั้งอยู่บนฐานหินอ่อน 2 ชั้น ที่ผนังและเสาภายในทั้งหมดประดับด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นการผสมผสานของจิตรกรรมไทยกับอิทธิพลตะวันตก

ในปี พ.ศ. 2546 ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดมกุฏกษัตริยารามครั้งใหญ่เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่วันพระบรมราชสมภพครบ 200 ปี ภายใต้โครงการบูรณะซึ่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานอุปถัมภ์ฝ่ายบรรชิต สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ฝ่ายฆราวาสและดำเนินการโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พระวิหารซึ่งมีความชำรุดเสียหายจากการเสื่อมสภาพ ความชื้นและการซ่อมแซมที่ไม่ถูกต้องรวมทั้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบในอดีตก็ได้รับการบูรณะในครั้งนี้ด้วย โดยมีแนวความคิดในการรักษารูปแบบศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด ควบคู่กับการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดในปัจจุบัน มีการอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังและฟื้นฟูรูปแบบศิลปกรรมดั้งเดิมตามหลักฐานภาพถ่ายเก่าที่ถ่ายไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5 พร้อมด้วยการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการอย่างครบถ้วน ถือเป็นตัวอย่างการอนุรักษ์ที่ช่วยรักษาคุณค่าของโบราณสถานไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

The Assembly Hall of Wat Makutkasattriyaram Rachaworawihan

  • Location Bangkhunprom, Phra Nakorn, Bangkok
  • Architect/Designe not find name Conservation Designer Fine Arts Department by Vasu Poshyanandana
  • Proprietor Wat Makutkasattriyaram Rachaworawihan
  • Date of Construction 1868
  • Conservation Awarded 2008

History

Wat Makutkasattriyaram Rachaworawihan (or Wat Makut), situated beside Khlong Phadung Krungkasem, is one of the significant Rattanakosin’s royal temples. King Rama IV graciously allowed building the temple in 1868, merely 99 days before his demise. Its architecture explicitly represents the King’s personal favor and his profound understanding in Buddhism; therefore, the name of this temple has followed King Rama IV’s royal name to be coupled with Wat Sormmanutwihan, a temple commemoratively built for his wife.

The assembly hall of Wat Makutkasattriyaram was divided into five rooms connectedby a long veranda. Stairs were located in the front and at the back of the building. The principal Buddha image was installed on a spire pavilion. The interior mural paintings depict biographies of 11 Chief Disciples and the paintings on narrow spaces between each window illustrate appropriate behaviors according to the monastic codes such as aprohibition of meat eating. In addition, the image of Phra Maha Phichai Mongkut wasinstalled on a footed tray decorated with tiered umbrellas and surrounded by a small decorative gable. There are also triangle frames adorned with the pattern of intertwined sprays and the edge looks more attractive by ornamental scroll design

A major restoration was done in 2003 to celebrate the auspicious occasion of King Rama IV’s 200th birthday anniversary. Somdet Phra Yannasangwon Somdet Phra Sangkarat and H.R.H. Princess Maha Chakri Sirindhorn presided over the ceremony which was arrangedby the Crown Property Bureau. Moreover, the assembly hall damaged from the deterioration, humidity as well as inappropriate mending and reform in the past was renovated by preserving its ancient originality in arts and architecture while the up-to-date functionality has also been concerned.


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้