พ.ศ.​2554

ศาลาเรียนวัดคูเต่า

อ่านเพิ่มเติม

ศาลาเรียนวัดคูเต่า

  • ที่ตั้งวัดคูเต่า เลขที่ 1 บ้านหัวนอนวัด ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา
  • ผู้ครอบครอง วัดคูเต่า
  • ปีที่สร้าง ก่อน พ.ศ.2459
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

ศาลาเรียนวัดคูเต่า ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นศาลาวัดในระยะแรก ต่อมา หลวงพ่อหอม ปุญญมาโนเจ้าอาวาสวัด ในขณะนั้นได้ปรับปรุงเป็นอาคารเรียนประจำตำบล มีการสร้างฝาไม้ไผ่ที่สามารถเปิดออกได้เหมือนบานกระทุ้งโดยรอบศาลาเว้นไว้เฉพาะบริเวณทางขึ้นศาลา ภายในแบ่งเป็นห้องเรียน 2 ห้อง โดยแต่ละห้องมีนักเรียนประมาณ 20 – 30 คน ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่เฟื่องฟูที่สุดของวัดคูเต่าเนื่องจากเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากในละแวกนี้ ต่อมาเมื่อนักเรียนเยอะขึ้น ห้องเรียนไม่พอรองรับจึงได้มีการสร้างอาคารเรียนใหม่ หลังจากนั้น ศาลาเรียนวัดคูเต่าถูกปล่อยให้อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2551 – 2553 วัดคูเต่า สถาบันอาศรมศิลป์ และชุมชนได้ร่วมมือกันในการบูรณะศาลาหลังนี้จนกลับมามีความสวยงามดังเดิม

ศาลาเรียนวัดคูเต่า มีโครงสร้างหลักทั้งหมดเป็นไม้เคี่ยมซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งท้องถิ่น แต่ปัจจุบันเป็นไม้สงวนและ ใกล้จะสูญพันธุ์ ผังพื้นของศาลาเรียนเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดความกว้าง 6.50 เมตร และความยาว 11.50 เมตร เสาไม้ยกพื้นสูงวางบนตอม่อปูน คานโครงสร้างพื้นเชื่อมต่อกับเสาด้วยวิธีการเข้าเดือยไม้แบบโบราณ พื้นศาลาตีเว้นร่อง เพื่อระบายน้ำฝนลงสู่พื้นทรายด้านล่าง เป็นลักษณะการปลูกสร้างอาคารเพื่อระบายอากาศและแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำความเสียหายให้กับวัสดุไม้ บริเวณพื้นศาลานี้แบ่งเป็น 2 ระดับ ส่วนกลางยกขึ้นสูงกว่าระเบียงโดยรอบประมาณ 0.30 เมตร ซึ่งเป็นลักษณะของการปลูกสร้างศาลาธรรมของเรือนพื้นถิ่นภาคใต้ ส่วนหลังคาเป็นรูปทรงมะนิลา ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นบริเวณหน้าบัน ช่อฟ้าและหางหงส์ ซึ่งลวดลายปูนปั้นบริเวณหน้าบันนั้น นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบพม่าหรือมอญ ส่วนช่อฟ้าปูนปั้นเป็นรูปครุฑและหางหงส์ทำจากปูนหมักปูนตำที่ใช้เทคนิคเชิงช่างโบราณ สีของอาคารที่ปรากฏออกมาคือสีธรรมชาติของไม้ และสีส้มดินเผาที่มาจากกระเบื้องมุงหลังคาซึ่งทำมาจากโรงเผากระเบื้องที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับวัด และปัจจุบันโรงเผากระเบื้องนี้ก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่

ศาลาเรียนวัดคูเต่าแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมที่สำคัญของชาวบ้านจีนและ บ้านแม่ทอม ชุมชนสองฝั่งคลองวัดคูเต่า ส่งผลให้ชุมชนเกิดจิตสำนึกในการรักษามรดกวัฒนธรรมของตนเอง และเป็นตัวอย่าง ในการศึกษาเรียนรู้การปรับปรุงซ่อมแซมอาคารตามหลักวิชาการ

Wat Khu Tao Learning Pavilion

  • Location Wat Khu Tao, 1 Ban Hua Non Wat, Tambon Mae Tom, Amphoe Bang Klum, Songkhla Province
  • Proprietor Wat Ku Tao
  • Date of Construction Before 1916
  • Conservation Awarded 2011

History

Wat Khu Tao Learning Pavilion was original built as a temple pavilion. Later, the abbot, Luang Pho Hom Punnmano, had improved the pavilion to be a school of the sub-district. There were 2 classrooms consisting of 20-30 students in each room. At that time, it became a reputation school. After a number of students increased, the classrooms were not enough to support them so a new building was built. After that, it was deserted and ruined. Until 2008 -2010, the temple, Arsom Silp Institue of Arts and the community cooperated to restore the pavilion to return to its former beauty.

The main structure of the pavilion is made of hardwood called Mai Kiam, a reserved and endangeredlocal wood. The plan is in a rectangle pattern of 6.50 metres wide and 11.50 metres long. The high woodenplatform placed on concrete columns. The floor beams are connected to the columns by ancient traditional method. The wooden floor has 2 levels and the middle part is raised up 0.30 metres above the terrace, which is a typical local style of the South. The gable roof is covered with orange clay tiles. The gable is decorated with stucco in Burmese or Mon art style. The color of the building is the natural color of wood. The factory making the clay tiles of the roof is located near the temple and still in operation.

Wat Khu Tao Learning Pavilion presents to the determination to preserve the architectural heritage of the community. It has been a good example to study the techniques of the restoration that still maintains the beauty of the pavilion.


บ้านพักของบาทหลวงวัดเซนต์ปอล

อ่านเพิ่มเติม

บ้านพักของบาทหลวงวัดเซนต์ปอล

  • ที่ตั้ง วัดเซนต์ปอล หมู่ 9 ตำบลบางตีนเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
  • ผู้ครอบครองวัดเซนต์ปอล
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2447
  • ปีที่ได้รับรางวัลพ.ศ. 2554

ประวัติ

วัดเซนต์ปอล สร้างขึ้นในสมัยบาทหลวงอันตน ชมิตต์ ซึ่งปกครองวัดในช่วง พ.ศ. 2409 – 2447 โดยบาทหลวงได้นำเงินบริจาคของคริสตชนมาซื้อที่ดินและสร้างวัด ในระยะเวลาต่อมาได้มีการสร้างบ้านพักของบาทหลวง หอระฆัง วัดน้อยบ้านพักภคินี โรงเรียนยุ้งข้าว และสุสาน บ้านพักบาทหลวงวัดเซนต์ปอลในอดีตนอกจากเป็นที่พักอาศัยของบาทหลวงประจำวัดแล้ว ยังเป็นที่พักรับรองสำหรับพระสงฆ์จากวัดอื่นๆ ที่เดินทางมาด้วยเรือผ่านบริเวณนี้อีกด้วย

บ้านพักของบาทหลวงวัดเซนต์ปอล สร้างโดยคุณพ่อจอง การิเย่ร์ ตั้งแต่ยังเป็นปลัดในสมัยบาทหลวงแปร์เบต์ เป็นอาคาร ไม้สัก 2 ชั้น ผังพื้นอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 15 เมตร และยาว 30 เมตร ชั้นล่าง ประกอบด้วยห้องประชุม ตั้งอยู่ด้าน ทิศตะวันออกของอาคาร และห้องเก็บของ 2 ห้อง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอาคาร บริเวณโดยรอบของห้องทั้ง 3 เป็นโถงทางเดินซีเมนต์ประดับกระเบื้องเซรามิคจากประเทศอิตาลี มีผนังตีระแนงเกล็ดไม้ทางนอนประกอบหน้าต่างบานเกล็ดไม้โดยรอบทั้ง 3 ด้านของชั้นล่าง ตรงกึ่งกลางของโถงทางเดินด้านทิศใต้มีประตูบานเฟี้ยมเปิดเข้าสู่บันไดไม้ซึ่งอยู่กึ่งกลางของชานพัก ต่อจากชานพักนี้บันไดแยกซ้ายและขวาเชื่อมต่อโถงทางเดินด้านทิศใต้ของชั้นบน ชั้นบนประกอบด้วยห้องนอน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ห้องเก็บของและห้องรับแขกตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก พื้นที่ตอนกลางเป็นโถงโล่ง สามารถมองเห็นพื้นที่โล่งด้านหลังอาคารได้ มีโถงทางเดินโดยรอบทั้ง 4 ด้าน และมีลูกกรงไม้เป็นราวกันตก พื้นของชั้นบนทั้งหมดเป็นไม้ ผนังด้านนอกของโถงทางเดินทางทิศตะวันตกและตะวันออกประดับด้วยหน้าต่างบานเกล็ดไม้ ประตูและหน้าต่างของบ้านพักทั้งหมดเป็นบานเปิดคู่ไม้ เหนือช่องประตูและหน้าต่างเป็นช่องระบายอากาศทำด้วยลูกกรงเหล็ก หลังคาอาคารเป็นรูปทรงปั้นหยาตามแบบนิยมในยุคสมัยนั้น กระเบื้องมุงหลังเดิมเป็นกระเบื้องว่าว ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกระเบื้องลอนคู่ บ้านพักมีการตกแต่งด้วยประติมากรรมนักบุญเปาโล และเครื่องเรือนไม้ซึ่งมีความกลมกลืนกับตัวอาคาร

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บ้านพักของบาทหลวงวัดเซนต์ปอล ได้รับการทำนุบำรุงให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ และเนื่องด้วยมีการใช้อาคารตลอดเวลา สภาพอาคารจึงไม่เสื่อมโทรมมากนัก มีการซ่อมแซมส่วนประกอบอาคารเป็นครั้งคราวตามสภาพ ในช่วง พ.ศ. 2532 สมัยของบาทหลวงฟรังซิสซาเวียร์ ประกอบ อนันต์พันธุ์ มีการเปลี่ยนโครงสร้างหลังคาและกระเบื้องหลังคาทั้งหมด จากกระเบื้องว่าวเป็นกระเบื้องหลังคาลอนคู่ที่มีน้ำหนักเบากว่า ปัจจุบัน ทางวัดกำลังดำเนินการหาทุนเพื่อการอนุรักษ์บ้านพักบาทหลวงให้อยู่ในสภาพที่ดีต่อไป

Residence of the Priests of St. Paul Catholic Church

  • Location St. Paul Catholic Church, Mu 9, Tambon Bangteenpet, Amphoe Mueang, Chachoengsao Province
  • Proprietor St. Paul Catholic Church
  • Date of Construction 1904
  • Conservation Awarded 2011

History

St. Paul Catholic Church was built during the time of Father Anton Schmitt ruled the church from 1866-1904. He bought the land and built the church from the donation money. The residence of priests, the bell tower, the small monastery, the residence of nuns, the school and the tomb were built afterwards.

The residence of priests is a 2-storey building made of teakwood. The plan is a rectangular pattern of 15 metres long and 30 metres wide. The first floor consists of a meeting room in the East of the building and 2 storage rooms in the West of the building. The hallway is decorated with ceramic tiles from Italy. The second floor consists of bedrooms in the West while a storage room and guestrooms are located in the East. From the central open hall, we can see the open space behind the building. The floor is made of wood. The hipped roof is covered with carved tiles. Previously, the origin hip roof was covered kite shaped concrete roof tiles. Inside the residence, it is decorated with a sculpture of St. Paul and wooden furniture.

The residence has been preserved in good condition since they still use it. Presently, the church has tried to raise funds to maintain the residence as a valuable architectural building of the province.


มัสยิดบางหลวง

อ่านเพิ่มเติม

มัสยิดบางหลวง

  • ที่ตั้ง เลขที่ 802 ซอยมัสยิดบางหลวง ถนนอรุณอมรินทร์ตัดใหม่ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร
  • ผู้ครอบครอง มัสยิดบางหลวง
  • ปีที่สร้าง สมัยรัชกาลที่ 3
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

มัสยิดบางหลวง เป็นศาสนสถานที่สำคัญของชุมชนชุมชนกุฎีขาว สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 โดยการนำของ โต๊ะหยีซึ่งเป็นพ่อค้าชาวมุสลิม หลังจากนั้นมัสยิดบางหลวงได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์หลายครั้ง สำหรับมัสยิดบางหลวง หลังปัจจุบันสันนิษฐานได้ว่าสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 เนื่องจากรูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายพระอุโบสถและพระวิหารทรงไทยซึ่งเป็นรูปแบบพระราชนิยมในสมัยนั้น โดยอาคารมีการประยุกต์และเปลี่ยนแปลงพื้นที่ใช้สอยรวมถึงการประดับตกแต่งที่เหมาะสมและสอดคล้องกับท้องถิ่น

มัสยิดบางหลวงเป็นอาคารอิฐถือปูนทั้งหลัง ผังพื้นอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 12 เมตร ยาว 24 เมตร และสูง 16 เมตร ด้านตะวันออกของอาคารเป็นพาไลซึ่งมีเสา 6 ต้น รองรับหลังคาของพาไล ต่อจากพื้นของพาไลมีบันไดทางขึ้นอาคาร 2 ด้านซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือและทิศใต้ โดยบันไดนี้เชื่อมต่อกับระเบียงทางเดินรอบห้องละหมาด ซึ่งมีระเบียงล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน โดยระเบียงด้านตะวันออกมีขนาดใหญ่กว่า 3 ด้านที่เหลือซึ่งมีขนาดเท่ากัน หลังคาของระเบียงทั้งหมดเป็นปีกนก โดยมีเสาจำนวน 26 ต้น รองรับโครงสร้าง ต่อจากระเบียงด้านตะวันออกเป็นบันไดและประตูทางเข้าห้องละหมาด โดยบันไดและประตูนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางของผนังห้องด้านตะวันออก สำหรับผนังด้านนี้มีการพอกเสาด้านหน้าทั้ง 4 ต้น หลังคาของห้องละหมาดและบางส่วนของระเบียงด้านทิศตะวันออกเป็นหลังคาทรงจั่วมุ่งด้วยกระเบื้องว่าวสีเขียว หน้าบันทั้งสองด้านของหลังคาประดับด้วยปูนปั้นซึ่งผสมผสานระหว่างศิลปะไทย ตะวันตก และจีน ภายในห้องห้องละหมาดเป็นที่ตั้งของมิมบัรซึ่งเป็นแท่นยืนแสดงธรรม เป็นขั้นบันไดสำหรับคอเต็บใช้แสดงธรรม และมิห์รอบหรือประชุมทิศซึ่งเป็นซุ้มที่ครอบมิมบัร ในสมัยรัชกาลที่ 6 มิมบัรเก่าในมัสยิดบางหลวงชำรุดลง เจ้าสัวพุกซึ่งเป็นพ่อค้าจีนมุสลิมและเป็นต้นตระกูลพุกภิญโญได้ก่อสร้างมิมบัรและมิห์รอบขึ้นใหม่เป็นซุ้มทรงสามยอด สันนิษฐานว่าถ่ายแบบจากซุ้มพระอุโบสถวัดอนงคารามวรวิหาร โดยซุ้มนี้ก่ออิฐถือปูนปิดทอง ประดับด้วยกระจกหลากสี พร้อมกับได้แกะสลักแผ่นไม้เป็นอักษรอาหรับนูนลอยเป็นพระนามขององค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) และมีโองการที่สำคัญในคัมภีร์อัลกุรอานติดตั้งไว้ภายในซุ้มด้วย

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มัสยิดบางหลวงได้รับการทำนุบำรุงเป็นอย่างดีจากผู้นำทางศาสนาและชุมชน การบูรณะอาคาร ครั้งล่าสุด เมื่อปี พ.ศ. 2551 โดยความร่วมมือร่วมใจของชาวชุมชนกุฎีขาว และนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์จากศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนธนบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา และความช่วยเหลือด้านงบประมาณจากกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้อาคารหลังนี้ยังคงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา

Bang Luang Mosque

  • Location 802 Soi Mussayid Bang Luang, New Arun Amarin Road, Khwaeng Wat Kanlaya, Khet Thonburi, Bangkok
  • Proprietor Bang Luang Mosque
  • Date of Construction King Rama III
  • Conservation Awarded 2011

History

Bang Luang Mosque is a significant religious monastery of Kudee Khao Community. It is assumed that it was built in the reign of King Rama I by a Muslim merchant named To Yi. The mosque had been restored several times. The present mosque was assumed to be built in the reign of King Rama III because of the architectural style similar to the popular Thai style of the main chapels and the assembly halls in that period. The space and decoration of the mosque have been modified to be appropriate and consistent with the local purpose.

The rectangular building is 12 metres long, 24 metres wide and 16 metres high made of masonry brick in traditional Thai style. The gables are decorated with stucco of tri-ethnic artworks: the traditional motif lining the gable frame, the western foliage motif on the gable panel and the flowers in Chinese floral patterns. The stairs in the North and South lead to the gallery surrounding the prayer room. Inside the prayer room, there is the podium for preaching.

Religious and community leaders have maintained and preserved the Mosque very well. The latest restoration was taken in 2008 with the cooperation of the religious and community leaders including scholars from theHistoricData Center of Thonburi Community with the financial support from the Bangkok Metropolitan Administration.Hence, Bang Luang Mosque is valuable for the national history and architecture.


พระอุโบสถและหมู่กุฏิสงฆ์วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร

อ่านเพิ่มเติม

พระอุโบสถและหมู่กุฏิสงฆ์วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร

  • ที่ตั้ง เลขที่ 666 ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ พระอุโบสถ ออกแบบโดย หลวงวิศาลศิลปกรรม (เชื้อ ปัทมจินดา)
  • ผู้ครอบครอง วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร
  • ปีที่สร้าง สันนิษฐานว่าเป็นสมัยรัชกาลที่ 3
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เดิมชื่อ วัดสามจีนใต้ เป็นพระอารามหลวงชั้นโท สร้างขึ้นเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานเวลา ที่ชัดเจน สันนิษฐานตามรูปแบบของอาคารที่มีอยู่แต่ดั้งเดิมเป็นสถาปัตยกรรมไทยที่รับเอาอิทธิพลจีนตามพระราชนิยมในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการซ่อมแซมและสร้างอาคารใหม่หลายหลัง ในวัด หมู่กุฏิสงฆ์สร้างในปี พ.ศ. 2480 พระอุโบสถหลังปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2490 ออกแบบก่อสร้างโดยหลวงวิศาลศิลปกรรม (เชื้อ ปัทมจินดา) โดยมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมขุนชัยนาถนเรนทร ทรงเสด็จมาทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2490 ต่อมาได้มีการอัญเชิญพระพุทธรูปปูนจากวัดพระยาไกรมาประดิษฐานไว้ที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารนี้ ระหว่างการเคลื่อนย้ายทำให้มีความเสียหายปูนที่พระอุระขององค์พระแตกร้าว เมื่อตรวจสอบพบว่าภายใต้เนื้อปูนนั้นเป็นทองคำ พระวีรธรรมมุนีเจ้าอาวาสจึงให้กะเทาะปูนออกทั้งหมด ปรากฏเป็นองค์พระทองคำทั้งองค์ ศิลปะสุโขทัย จึงเรียกว่า หลวงพ่อทองคำ และมีนามเป็นทางการว่า พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมา ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ พระมหามณฑป ซึ่งก่อสร้างใหม่ในปี พ.ศ. 2550 ออกแบบโดยนาวาอากาศเอก (ยศขณะนั้น) อาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ

พระอุโบสถ รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยประยุกต์ มีโครงสร้างแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก ทรงจัตุรมุข หลังคาสามชั้นมีชานรอบพระอุโบสถ มีวิหารตั้งอยู่ทั้ง 4 มุม ที่ชานทั้งด้านซ้ายขวาของพระประธานทั้ง 2 ข้าง มีวิหารขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 10 เมตร ข้างละ 1 หลัง บานประตูหน้าต่างพระอุโบสถเขียนลายรดน้ำ เพดานประดับดวงดาวโลหะปิดทอง ส่วนหมู่กุฏิสงฆ์ ก็ก่อสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก มี 14 หลัง วางอาคารเป็นแถว สูง 2 ชั้น มีหลังคาจั่ว

วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารนั้นเป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งมีคุณค่าของอดีตและ บอกเล่าเรื่องราวของยุคสมัยได้เป็นอย่างดี

The main chapel and the monk’s quarter in Wat Traimit Witthayaram Worawihan

  • Location 666 Charoenkrung Road, Khwaeng Talat Noi, Khet Samphanthawong, Bangkok
  • Architect / Designer The Ubosatha (Ordination Hall) designed by Luang Wisansilapakam (Chua Pattamajinda)
  • Proprietor Wat Traimit Witthayaramworawihan
  • Date of Construction King Rama III
  • Conservation Awarded 2011

History

Wat Traimit Witthayaram Worawihan, a second class royal temple, was originally named Wat Sam Chin. It is unknown on the year the temple was built. Anyway, it is assumed that it was built in the reign of King Rama III because of the same traditional architectural design with Chinese influence in that period. After the change of the ruling system, the temple had been restored with many new buildings. In 1937, the monk’s quarters were built. The existing ordination hall was built in 1947 and designed by Luang Wisansilapakam (Chua Pattamajinda). Later, a plaster Buddha image was taken from Wat Phraya Krai to install in Wat Traimit. During the move, the Buddha image’s chest was cracked, which was then discovered to be of solid gold. The golden Buddha image in the Sukhothai style is named Phra Buddha Maha Suwannapatima and installed in Phra Maha Mondop (a square form building with a palatial spired roof) built in 2007.

The design of the ordination hall is in the applied Thai style of art with a tetrahedron structure of ferro concrete with3 tiered roof. The gallery is around the building with 4 assembly halls at the 4 corners. The door and window panels are painted in Lai Rodnam (a Thai traditional design). The ceiling is decorated with gilded metal stars. The monk’s quarters consist of 14 buildings of ferro concrete. Each building has 2 storey.

Wat Traimit Witthayaram Worawihan has been a representative of the architecture after the change of government, which is valuable for the national history.


อาคารและสิ่งก่อสร้างในโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหารในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 – 2553

อ่านเพิ่มเติม

อาคารและสิ่งก่อสร้างในโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหารในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 – 2553

  • ที่ตั้ง วัดบวรนิเวศวิหาร
  • ผู้ครอบครอง วัดบวรนิเวศวิหาร
  • ปีที่สร้าง รัชกาลที่ 3 – รัชกาลที่ 8
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2554

ประวัติ

วัดบวรนิเวศวิหารได้รับสถาปนาโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ 3 สันนิษฐานว่าคงสถาปนาขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. 2367 – 2375 ในระยะแรกเรียกกันว่าวัดใหม่ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2379 วัดนี้ว่างเจ้าอาวาส พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 จึงทรงอาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทวาวงศ์ หรือทูลกระหม่อมพระ ด้วยทรงผนวช ประทับอยู่ที่วัดสมอรายซึ่งปัจจุบันคือวัดราชาธิวาสให้เสด็จมาอยู่ครอง และพระราชทานนามวัดนี้ใหม่ว่าวัดบวรนิเวศวิหาร ดังนั้นรัชกาลที่ 4 จึงทรงเป็นผู้ครองวัดบวรนิเวศวิหารพระองค์แรก

วัดบวรนิเวศวิหารมีความสำคัญในฐานะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุ พระพุทธชินสีห์ และพระศาสดา เป็นวัดต้นแบบของคณะธรรมยุต เป็นที่ประทับขององค์ประมุขแห่งคณะสงฆ์ 4 พระองค์เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในพระบรมจักรีวงศ์ทุกพระองค์ที่เสด็จออกทรงพระผนวช รวมทั้งเป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงที่ทรงผนวชเป็นสามเณร และพระภิกษุ เป็นเหตุให้วัดบวรนิเวศวิหารมีปูชนียสถานสำคัญ และหมู่พระตำหนักจำนวนมากซึ่งแต่ละแห่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่ายิ่ง ในระหว่างปี พ.ศ. 2549 – 2553

วัดบวรนิเวศวิหารได้จัดทำโครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหารในพระบรมราชูปถัมภ์ ประกอบด้วยการบูรณปฏิสังขรณ์ประตูเสี้ยวกาง กำแพงวัดบวรนิเวศวิหาร และอาคารจำนวน 23 หลัง ซึ่งได้แก่ พระอุโบสถหอพระไตรปิฎก ศาลาพระพุทธบาทโบราณ ศาลาการเปรียญ พระวิหารพระศาสดา พระวิหารเก๋ง พลับพลาเปลื้องเครื่อง พระปั้นหย่า พระตำหนักจันทร์ พระตำหนักทรงพรต หอสหจร หอเสวย หมู่กุฏิทรงไทย 3 หลัง พระตำหนักเพ็ชร พระตำหนักเดิมตำหนักซ้าย ศาลาเอนกประสงค์ (เขียว) พระตำหนักล่าง พระอุโบสถคณะรังษี พระโพธิฆระ หอระฆัง ศาลาจาน และศาลาฤๅษี 4 หลังนอกจากนี้วัดบวรนิเวศวิหารยังได้ดำเนินการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ปัจจุบันนี้ พระเจดีย์ พระวิหารคณะรังษี อาคารมนุษยนาควิทยาทาน ตำหนักบัญจบเบญจมา และตำหนักพักตร์พิมลพรรณ์ กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ โดยการดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์อาคารและสิ่งก่อสร้างทั้งหมดอยู่ภายใต้ดำเนินงานของห้างหุ้นส่วนจำกัด แชฟ้า บริษัท ดำรงค์ก่อสร้างวิศว จำกัด บริษัท ส.บุญมีฤทธิ์วิศวกรรม จำกัด และบริษัท ศิวกรการช่าง จำกัด

โครงการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหารสามารถรักษาอาคารและสิ่งก่อสร้างซึ่งเป็นมรดกสำคัญของประเทศเอาไว้ได้เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้อาคารและสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ยังคงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา

Buildings in the Restoration Project of Wat Bowonniwetwihan Under the Royal Patronage of the King from 2006-2010

  • Location Wat Bowonniwetwihan
  • Proprietor Wat Bowonniwetwihan
  • Date of Construction Reign of King Rama III – King Rama VIII
  • Conservation Awarded 2011

History

Wat Bowonniwetwihan was built by H.R.H. Prince Maha Sakdiphollasep, a son of King Rama III, assumingly from 1824 – 1832 and originally called Wat Mai. In 1836, King Rama III had invited Prince Mongkut (Later-King Rama IV) in monkhood resided at Wat Rachathiwat to be the abbot this temple, and named it Wat Bowonniwetwihan.

This significant temple is the prototype monastery of the Dhammayutika Sect (Law-Abiding Sect) as well as to install the relics of the Buddha and 2 Buddha images named Phra Buddha Chinnasi and Phra Buddha Sassada. All monarchs and the royal members of the Chakri Dynasty were ordained in this temple. There are many historical important buildings here. The temple had a restoration from 2006-2010 of the doors, the walls and 23 buildings including the main chapel, the sermon hall, the Assembly Hall of Phra Buddha Sasada, the pavilions and the palaces, etc.

Presently, some buildings have been under restoration such as the pagoda, the Assembly Hall of Khana Rungsi, etc. The restoration is able to maintain the buildings in the temple which are very valuable for history, artistic work and architecture as the national heritage.


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้