พ.ศ. 2555

บ้านพักมิชชันนารี OMF

อ่านเพิ่มเติม

บ้านพักมิชชันนารี OMF

  • ที่ตั้ง ถนนสิงหไคล ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ นายแพทย์วิลเลียม เอ.บริกส์
  • ผู้ครอบครอง สภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ.2443 – 2460
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2555

ประวัติ

บ้านพักมิชชันนารี OMF (OMF International หรือชื่อเดิม Overseas Missionary Fellowship) อาคารหลังนี้ในอดีต ถูกเรียกว่า ตึกใต้ เป็นที่พักของมิชชันนารี คณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนที่เข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนาในเมืองเชียงราย บ้านพักตั้งอยู่บริเวณสี่แยกที่เคยเป็นประตูเมืองเชียงราย ชื่อ ประตูท่าทราย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482 – 2488) ชาวคริสต์ถูกสั่งให้ระงับกิจทางศาสนาทุกอย่าง อาคารหลังนี้ถูกกองทัพเข้ายึดครอง ก่อนที่รัฐบาลจะคืนให้แก่ชาวคริสต์หลังสงครามยุติลง

บ้านพักหลังนี้เป็นอาคาร 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูนตามสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล เช่นเดียวกับโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียงราย โดยมีจุดเด่นที่ปล่องไฟที่ปีกตะวันตกของตัวตึก ที่มุขด้านหน้าก่อเป็นเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ 4 ต้นเพื่อรองรับชั้นสอง แผงหน้าจั่วที่ทำเป็นแผ่นไม้ตีซ้อนเกล็ด ตรงกลางของแผงหน้าจั่วทำช่องหน้าต่างปิดเปิดได้ หลังเป็นโครงสร้างไม้มุงกระเบื้องลอน

ปัจจุบันบ้านพักหลังนี้ยังคงใช้เป็นบ้านพักของมิชชันนารีต่างชาติที่เข้ามาปฏิบัติศาสนกิจในจังหวัดเชียงราย และยังคงได้รับการดูแลจากสภาคริสตจักรแห่งประเทศไทยไว้เป็นอย่างดี

OMF Missionary Residence

  • Location Singhaklai Road, Tambon Wiang, Amphoe Mueang, Chiang Rai Province
  • Architect / Designer Dr. William A. Briggs
  • Proprietor Church of Christ in Thailand (C.C.T.)
  • Date of Construction 1900-1917
  • Conservation Awarded 2012

History

OMF Missionary Residence (OMF International, formerly Overseas Missionary Fellowship) was originally called Tai Building (the South Building). It was the residence of the American Presbyterian missionaries who came to disseminate Christianity in Chiang Rai. It is located at the intersection that used to be the City Gate. During the World War II (1939-1945), the Japanese army occupied this building. It was returned to the Christ Church after end of the war.

It is a 2-storey brick masonry building in the Colonial architectural style. The prominent character is the chimney on the West of the building. The front porch of the building has 4 pillars to support the gable. There is a window in the center of the gable. The roof is a woodwork covered with carved tiles.

Presently, the house has been used as a residence of foreign missionaries working in Chiang Rai. It has been maintained in good condition.


หอประชุมคริสตจักรภาค 2 เชียงราย

อ่านเพิ่มเติม

หอประชุมคริสตจักรภาค 2 เชียงราย

  • ที่ตั้ง ถนนรัตนาเขต ตำบลเวียง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ นายแพทย์วิลเลียมเอ.บริกส์
  • ผู้ครอบครอง สภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2446
  • ปีที่ได้รับรางวัลพ.ศ. 2555 พ.ศ. 2416

ประวัติ

มิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนได้ตั้งโรงเรียนสำหรับสอนเด็กผู้หญิงชื่อว่าโรงเรียนสตรีวิชาคาร หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า โรงเรียนบ้านใต้ โดยนายแพทย์เอบริกส์ได้สร้างโรงเรียนเป็นแบบห้องโถงเล็กๆ ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2477 อาจารย์อมร ดวงเนตร ได้รวมโรงเรียนชายบริกอนุสรณ์ (โรงเรียนบ้านเหนือ) กับโรงเรียนสตรีวิชาคารเป็นโรงเรียนเดียวกันในชื่อใหม่ว่า โรงเรียนคริสเตียนวิทยาคม (ปัจจุบันคือโรงเรียนเชียงรายวิทยาคม) ที่ถนนอุตรกิจ เชิงดอยงำเมือง เมื่อโรงเรียนสตรีวิชาคารได้ถูกยุบรวมแล้วคริสจักตรที่ 2 ได้เข้ามาใช้ห้องโถงเป็นหอประชุมและที่นมัสการพระเจ้า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482 – 2488) ทางรัฐบาลได้สั่งให้ชาวคริสต์ระงับกิจกรรมทางศาสนาทุกอย่าง และกองทัพญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองอาคารหลังนี้ ก่อนรัฐบาลจะคืนให้หลังจากยุติสงคราม

หอประชุมหลังนี้ก่ออิฐถือปูนตามสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล เช่นเดียวกับโบสถ์คริสจักรที่ 1 เวียงเชียงราย มีจุดเด่นที่ปล่องไฟด้านทิศเหนือของตัวอาคาร ที่มุขด้านหน้าของตัวอาคารก่อนเป็นเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ 4 ต้น เพื่อรองรับแผงหน้าจั่วที่เป็นแผ่นไม้ตีซ้อนเกล็ดทาสีขาว ตรงกลางของแผงหน้าจั่วทำช่องปิดเปิดได้ หลังคาเป็นโครงไม้มุงกระเบื้องลอน

อาคารหลังนี้ได้รับการซ่อมแซมเมื่อ พ.ศ. 2554 โดยทำการทาสีและฉาบปูนใหม่บางส่วน ทางคริสตจักรจะเปิดใช้ในงานพิธี และงานสำคัญ

Conference Hall of Christ Church Region 2, Chiang Rai

  • Location Rattanakhet Road, Tambon Wian, Amphoe Mueang, Chiang Rai Province
  • Architect / Designer Dr. William A. Briggs
  • Proprietor Church of Christ in Thailand (C.C.T.)
  • Date of Construction 1903
  • Conservation Awarded 2012

History

In 1873, Dr. William A. Briggs of the American Presbyterian Missionary Team built a small school for girls named Satri Wichakan School or commonly called Ban Tai School. Later in 1934, the teacher, Amorn Duangnet, had included a school for boys named Chai Brig Anusorn School (Ban Nue School) to be the same school with a new name of Christian Wittayakom School, which now is Chiang Rai Wittayakom School located on Utrakit Road. Then, the Christ Church Region 2 had used the former hall of Satri Wichakan School to be a conference hall and to pay respect to God. During the World War II (1939-1945), the Japanese army occupied this hall.

It was returned to the Christ Church Region 2 after end of the war. It is a brick masonry hall in the Colonial architectural style. The prominent character is the chimney on the North of the building. The front porch of the building has 4 pillars to support the gable. There is a window in the center of the gable. The roof is a woodwork covered with carved

This hall was repaired in 2011 with new paint and plaster. It has been used when there is an important ceremony.


คริสตจักรที่ 1 เวียงเชียงราย

อ่านเพิ่มเติม

คริสตจักรที่ 1 เวียงเชียงราย

  • ที่ตั้ง ถนนรัตนาเขต ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ นายแพทย์วิลเลียม เอ.บริกส์
  • ผู้ครอบครอง สภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2457
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2555

ประวัติ

คริสตจักรที่ 1 เวียงเชียงราย เป็นโบสถ์หลังแรกในเมืองเชียงราย ที่นายแพทย์วิลเลียมเอ.บริกส์ มิชชันนารีคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนได้ซื้อที่ดินแปลงนี้เมื่อปี พ.ศ.2453 และเริ่มสร้างพระวิหารขึ้นในปี พ.ศ.2455 โดยอาศัยเงินทุนจากคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนที่ขอรับบริจาคมาโดยพระวิหารสร้างเสร็จเมือปี พ.ศ. 2457

โบสถ์หลังนี้มีแผนผังอาคารเป็นรูปกางเขน (Latin cross) แบ่งการใช้งานออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ส่วนห้องโถงหลัก (Nave) สำหรับประกอบพิธีกรรม มีความยาวตลอดทางเข้าด้านหน้าถึงแท่นบูชา (Alter) ส่วนปีกทิศเหนือและทิศใต้ของอาคาร (Transept) ทำเป็นชั้นลอย โดยฝีมือการต่อเติมของนายช่างฮิมกี่เมื่อปี พ.ศ. 2475ที่แนวใต้ชั้นลอยทำเป็นซุ้มโค้งก่ออิฐถือปูนข้างละ 3 ซุ้ม ซึ่งรับกันดีกับซุ้มโค้งของช่องแสงเหนือประตูและหน้าต่างของอาคารส่วนท้ายของโบสถ์ซึ่งมีหลังคาต่ำกว่าห้องโถงหลักเคยใช้เป็นห้องเรียนพระคัมภีร์สำหรับเด็กๆ

โครงสร้างของอาคารโดยทั่วไปเป็นระบบกำแพงรับน้ำหนักที่ก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่กว่าอิฐทั่วไป ที่ผนังด้านซ้ายภายนอกอาคารติดแผ่นศิลาสลักหลายเลข 1914 ซึ่งเป็นปี พ.ศ. ที่โบสถ์หลังนี้สร้างเสร็จ มุขด้านหน้าและด้านข้างก่อเป็นเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ 4 ต้นเพื่อรองรับน้ำหนักแผงหน้าจั่วที่เป็นแผ่นไม้ตีซ้อนเกล็ดตรงกลางของแผงหน้าจั่วทำช่างหน้าต่างปิดเปิดได้ และที่เหนือหลังคาทางเข้าด้านหน้ามีหอคอยโถงสี่เหลี่ยมสำหรับแขวนระฆังที่ใช้ประกอบพิธีกรรมของโบสถ์ หลังคาเป็นโครงสร้างเหล็กมุงกระเบื้องว่าวสีน้ำตาลแดง กลมกลืนกับสีน้ำตาลเข้มของของแผ่นไม้ที่แผงหน้าจั่วและตัดปูนขาวของผนังปูนฉาบ ตรงกึ่งกลางด้านหน้าของหลังคาปีกนก มีป้ายกรอบไม้ระบุชื่อคริสตจักรที่ 1 เวียงเชียงราย พร้อมสัญลักษณ์กางเขนสีแดงบนพื้นสีขาว

โบสถ์หลังนี้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล มีจุดเด่นเป็นหอระฆังด้านหน้าอาคาร ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2475 ส่วนระฆังนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาปัจจุบันระฆังใบนี้ถูกนำมาเก็บไว้ที่ศาลาข้างวิหาร เนื่องจากหอระฆังเก่าเเก่จนรับน้ำหนักระฆังไม่ไหว

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวคริสต์ถูกสั่งให้ระงับกิจทางศาสนาทุกอย่าง และโบสถ์หลังนี้ถูกใช้เป็นที่เก็บเสบียงของกองทัพทหารญี่ปุ่น หลังสงครามยุติลงรัฐบาลจึงคืนโบสถ์ให้แก่ชาวคริสต์

โบสถ์หลังนี้ได้รับการซ่อมแซมใหญ่มาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งล่าสุด ราวปี พ.ศ. 2540 ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไม้เป็นเหล็กและจากกระเบื้องดินขอเป็นการเบื้องว่าวซีเมนต์

Wiang Chiang Rai Christian Church 1

  • Location Rattana Khet Road, Tambon Wiang, Amphoe Mueang, Chiang Rai Province
  • Architect / Designer Dr. William A. Briggs
  • Proprietor Church of Christ in Thailand (C.C.T.)
  • Date of Construction 1914
  • Conservation Awarded 2012

History

Wiang Chiang Rai Christian Church 1 has been the first church in Chiang Rai City built by Dr. William A. Briggs of the American Presbyterian Missionary Team. The money spent on the construction was from donations and the church was completed in 1914.

The plan of the church is in Latin cross form consisting of the main nave for arranging the religious rites, the North and South transepts of the building in the mezzanine floor and the rear part used to be a Bible classroom for children.

The structure of the church is supported by brick masonry walls of which the size of brick is larger than the common brick. The front and the side porch have large pillars to support the weight of the gable. There is a window in the middle of the gable. On the roof of the front entrance, there is a square bell tower for the religious rites. The roof of a steel structure is covered with red-brown tiles. In the middle of bird-wing roof, there is a wooden frame indicating the name of the church and a symbol of a red cross on white background.

The architecture of this church was influenced by the Colonial art style. the bell was imported from the United States. Presently, the bell is kept at the pavilion beside the church because the old bell tower cannot weight the bell.

During the World War II, the Japanese army used the church as a store of military supplies. After the war ended, it returned to the Christian church.

Fie the last restoration in 1997, the wooden structure of the building was changed to the steel structure and the terracotta tiles of the roof were changed to cement tiles.


อาคารรับเสด็จมัสยิดต้นสน

อ่านเพิ่มเติม

อาคารรับเสด็จมัสยิดต้นสน

  • ที่ตั้ง447 ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
  • ผู้ครอบครอง มัสยิดต้นสน
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2555

ประวัติ

มัสยิดต้นสนเป็นมัสยิดถือได้ว่าเป็นมัสยิดที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพมหานครเดิมเรียกว่า กุฎิใหญ่หรือ กุฎิบางกอกใหญ่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2231 สมัยกรุงศรีอยุธยา ปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สันนิษฐานว่าชาวมุสลิมเชื้อสายจามเข้ามาเป็นกองอาสาต่างชาติในสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช (พ.ศ. 2077-2111) ซึ่งเป็นช่วงการเกณฑ์แรงงานอาสาต่างชาติเพื่อการศึกสงครามและบูรณะประเทศโดยเฉพาะการขุดคลองลัดบางกอกในปี พ.ศ. 2085 จึงเกิดการรวมตัวกันเป็นชุมชนขึ้น จึงทำให้มีชุมชนมุสลิมเกิดขึ้นในบริเวณท้ายป้อมเมืองบางกอกหรือป้อมวิชัยประสิทธิ์ในปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 พร้อมด้วย พระอนุชา (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช) ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเยี่ยมชมมัสยิดต้นสน เป็นการส่วนพระองค์ ชาวชุมชน จึงได้ปรับปรุงอาคารเพื่อใช้เป็น อาคารรับเสด็จ โดยตัวอาคารเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น หลังคาทรงปั้นหยาประดับลวดลายขนมปังขิง มีแผนผังเป็นรูปตัว T หลังคามุงกระเบื้องว่า ที่มุขหน้ามีบันไดทางขึ้นทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ผนังอาคารเป็นผนังแบบเข้าลิ้น และใกล้ๆ กันนั้นก็มีศาลาโถงแปดเหลี่ยมที่สร้างขึ้นภายหลังอาคารรับเสด็จ แต่เน้นรูปทรงสถาปัตยกรรมให้ผสมผสานกลมกลืนกันอีกด้วย

ปัจจุบันมัสยิดต้นสนยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการอนุรักษ์และพัฒนาอาคารรับเสด็จหลังนี้ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาคารที่สำคัญทั้งคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมของไทย

Pavilion of Tonson Mosque

  • Location 447 Wang Derm Road, Khwaeng Wat Arun, Khet Bangkok Yai, Bangkok
  • Proprietor Tonson Mosque
  • Conservation Awarded 2012

History

Tonson Mosque is regarded as the most important and oldest mosque in Bangkok. Formerly, it was called Kudi Yai or Kudi Bankok Yai built in 1688 at end of the reign of King Narai in the Ayutthaya period. It is assumed that the Muslims of Cham ethnic were a foreign volunteer unit in the reign of King Chairachathirat (1534-1568). After that, they gathered as a Muslim community in the rear of Wichaiprasit Fort in Bangkok.

On 26 April 1946, His Majesty King Ananda Mahidol along with his younger brother (His Majesty King Bhumibol Adulyadej) proceeded to the mosque for a private visit. Therefore, the community improved the building for the visit. It is a 2 storey wooden building. The hipped roof is covered with kite shaped concrete roof tiles. There are stairs in the right and left sides.

Presently, the mosque has not yet had a clear policy to preserve and develop this building, which is a significant building in the history and architecture of Thailand.


พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร

อ่านเพิ่มเติม

พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร

  • ที่ตั้ง แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบไม่ปรากฏชื่อ
  • ผู้ออกแบบอนุรักษ์ พลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น
  • ผู้ครอบครอง วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2419 ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2555

ประวัติ

วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ปีที่สร้าง พ.ศ. 2419 ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2555 วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สร้างวัดขึ้น ในปี พ.ศ. 2419 ขณะพระองค์ทรงมีพระชนพรรษาครบ 25 พรรษาและโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนาวัดขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติและอุทิศพระราชกุศล พร้อมทั้งพระราชทานชื่อพระอารามว่า “วัดเทพศิรินทราวาส” ตามพระนามสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบรมราชชนนี ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ยังทรงพระเยาว์

ใน พ.ศ. 2439 โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างสุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาสไว้ในวัด ด้วยมีพระราชประสงค์ให้เป็น ฌาปนสถานสำหรับพระราชวงศ์ซึ่งไม่ได้สร้างพระเมรุฯ ที่ท้องสนามหลวง ซึ่งนับเป็นเรื่องพิเศษเพราะโดยปกติแล้วจะไม่มีฌาปนสถานในพระอารามหลวง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สร้างพระเมรุขึ้นเมื่อคราวพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ และใช้เป็นเมรุที่ใช้พระราชทานเพลิงศพตลอดมาจนปัจจุบัน

วัดเทพศิรินทราวาสมีแผนผังคล้ายคลึงกับวัดโสมนัสวิหารและวัดมกุฏกษัตริยาราม พระอุโบสถเป็นอาคารทรงไทย ขนาด 7 ห้อง ด้านหน้ามีเฉลียง มีพาไลโดยรอบอาคาร หน้าบันเป็นแบบกระเท่เซร ก่ออิฐถือปูน ไม่มีไขราหน้าจั่ว ประดับด้วยเครื่องเคลือบเลียนแบบเครื่องลำยอง ภายในกรอบหน้าบันประดับปูนปั้นกระเบื้องเคลือบเป็นรูปจำลองพระมหาพิชัยมงกุฎเปล่งรัศมีอันอยู่เหนือพระเกี้ยวประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า พื้นหน้าบันประดับลวดลายดอกลำเพยเพื่อสื่อถึงพระนามเดิมของพระราชชนนี ซุ้มประตูและหน้าต่าง เป็นซุ้มทรงมงกุฎ เสาเฉลียงและพาไลเป็นเสากลมหัวเสาประดับเครื่องเคลือบแบบบัวกลีบขนุน

ภายในพระอุโบสถ เพดานสลักรูปเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามพระประสงค์ที่จะให้ตกแต่งวัดนี้ ด้วยเครื่องหมายเช่นเดียวกับที่พบที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ซึ่งเปรียบเสมือน เครื่องแสดงคุณงามความดีในการปฏิบัติงานและบำเหน็จความชอบที่ทรงพระราชทานเพื่อเป็นเกียรติแก่บุคคลต่างๆ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ เช่น พระนิรันตรายพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 4 ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีขนาดใหญ่

ในปี พ.ศ. 2553 เป็นวาระครบรอบ 100 ปี แห่งการสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคณะกรรมการดำเนินงานบูรณปฏิสังขรณ์วัดเทพศิรินทราวาส ได้ดำเนินการการบูรณะถาวรวัตถุและอาคารสำคัญภายในวัด ด้วยแนวทางการบูรณปฏิสังขรณ์ตามหลักวิชาการที่คงไว้ซึ่งการอนุรักษ์โบราณสถานให้มีสภาพงดงามและสอดคล้องกับการใช้งานปัจจุบัน โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนชุมชนโดยรอบ และประชาชนทั่วไป ให้ดำรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และเป็นสมบัติที่สำคัญของชาติสืบไป

Wat Thepsirintharawas Ratchaworawihan

  • Location Khwaeng Wat Thepsirin, Khet Pom Prab Sattru Phai, Bangkok
  • Architect / Designer not find name Conservation Designer Group Captain Awut Ngernchuklin
  • Proprietor Wat Thepsirintharawas Ratchaworawihan
  • Date of Construction 1876
  • Conservation Awarded 2012

History

Wat Thepsirintharawas Ratchaworawihan is a second class royal temple built by King Rama V in 1876 when he reached 25 years old to honor and dedicate to his charity. He named the temple as “Wat Thepsirintharawas” following to the name of his mother who passed away when the King was young.

In 1896, King Rama V ordered to build a Royal Crematorium in the temple for members of the royal family who had no special crematory pavilion on the grounds of Sanam Luang. It is a unique building because there is no crematorium in royal temples before.

The plan of Wat Thepsirintharawas is similar to the plan of Wat Sommanus and Wat Makutkasattariyaram. The main chapel in traditional Thai style is paved with marble and the door and window frames are decorated with lacquered gold leaf. The ceiling is decorated with carvings depicting royal decorations. The gable is decorated with porcelain. Many significant Buddha images are installed in the ordination hall such as Phra Nirantarai, the Buddha image of King Rama IV.

In 2010, it is the 100th anniversary year of the death of King Rama V. Therefore, the committee on restoration of Wat Thepsirintharawas has operated the restoration to maintain the temple in good condition as a valuable temple in the history and architecture of the nation.


หอพระไตรปิฎก วัดเทพธิดารามวรวิหาร

อ่านเพิ่มเติม

หอพระไตรปิฎก วัดเทพธิดารามวรวิหาร

  • ที่ตั้ง ถนนสนามไชย แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบไม่ปรากฏชื่อ
  • ผู้ออกแบบอนุรักษ์ อาสาสมัครในโครงการอาษาอาสาสถาปัตยกรรมไทย สมาคมสถาปนิกสยามฯ
  • ผู้ครอบครอง วัดเทพธิดารามวรวิหาร
  • ปีที่สร้าง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาวัดขึ้นใน พ.ศ. 2349
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2555

ประวัติ

วัดเทพธิดารามวรวิหาร เดิมชื่อวัดพระยาไกรสวนหลวง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร มีเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาขึ้นใน พ.ศ. 2379 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระราชทานแก่ พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าหญิงวิลาศ พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ (กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม ให้พระเจ้าลูกเธอฯ กรมหมื่นภูมินทรภักดี (พระองค์เจ้าชายลดาวัลย์) เป็นแม่กองอำนวยการสร้าง พระอารามแห่งนี้ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินผูกพัทธสีมาด้วยพระองค์เอง โดยได้พระราชทานนามพระอารามนี้ว่า “วัดเทพธิดาราม”

ภายในวัดมีหอพระไตรปิฎก 2 หลัง ตั้งอยู่ติดกับบริเวณหมู่กุฎิ คือ คณะ 8 และคณะ 5หอพระไตรปิฎกณะ 5 มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางอาคารตามแนวทิศเหนือ – ใต้ เป็นอาคารสูง2 ชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุน ชั้นบนเป็นหอพระไตรปิฎกมีบันไดทางขึ้นสู่ชั้นบนตั้งอยู่ภายนอกอาคารทางด้านทิศเหนือ เป็นอาคารทรงไทย มีโครงสร้างกำแพงรับน้ำหนัก (Wall Bearing)มีระเบียงเปิดโล่งโดยรอบ หลังคาเป็นทรงจั่ว มุงด้วยกระเบื้องดินเผา หน้าบันเป็นไม้ ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์กรอบประตูและกรอบหน้าต่างประดับด้วยซุ้มปูนปั้นผูกลายด้วยดอกพุดตานโดยรอบ ที่พนักระเบียงกรุกระเบื้องปรุแบบจีนตกแต่งด้วยบัวปูนปั้น

ในปี พ.ศ. 2551 ฝ่ายกรรมาธิการอนุรักษ์ ด้านสถาปัตยกรรมไทยประเพณี สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ มีนโยบายจะร่วมอนุรักษ์มรดกสถาปัตยกรรมไทย จึงได้จัดทำโครงการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมไทยประเพณีขึ้น โดยเลือก หอพระไตรปิฎกวัดเทพธิดาราม ซึ่งขณะนั้นมีสภาพทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ด้วยเล็งเห็นว่าเป็นอาคารที่มีคุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม โดยได้รับความร่วมมือร่วมใจจากผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ และอาสาสมัครของโครงการ และได้รับการสนับสนุนงบประมาณการดำเนินงานจากหลายภาคส่วนทั้งกรมศิลปากร องค์กรเอกชน และประชาชนชนผู้มีจิตศรัทธาทั่วไป จนเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2553

ในปี พ.ศ. 2554 โครงการอนุรักษ์หอพระไตรปิฎกวัดเทพธิดารามวรวิหารของสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ได้รับรางวัล Award of Merit จาก UNESCO Asia-Pacific Heritage Awards ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของสมาคมสถาปนิกสยามฯ ที่ความตั้งใจในการแสดงบทบาทหน้าที่ของสถาปนิกที่มีต่อสังคม ทั้งยังเป็นตัวอย่างการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมที่ดี ที่มีความถูกต้องตามหลักวิชาการอย่างเป็นรูปธรรม การออกแบบสื่อความหมายจากองค์ความรู้ทางวิชาชีพในการรักษาคุณค่าของมรดกสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าในระดับชาติไว้

Ho Phra Traipidok of Wat Thepthidaram Worawihan

  • Location Sanam Chai Road, Khwaeng Samranrat, Khet Phra Nakhon, Bangkok
  • Architect / Designer not find name
  • Conservation Designer Architecture Conservation Committee on Traditional Thai Architecture, Association of Siamese Architects under the Royal Patronage
  • Proprietor Wat Thepthidaram
  • Date of Construction King Rama III established the temple in 1836
  • Conservation Awarded 2012

History

Wat Thepthidaram, formerly named Wat Phraya Krai Suanluang, has been a third class royal monastery. King Rama III established this temple in 1836 to honor his daughter, H.R.H. Princess Kromma MuenApsonsudathep. The construction of the temple was completed in 1839. The King named the temple as “Wat Thepthidaram”.

There are 2 Ho Phra Traipidok (Tripitaka hall) in the temple located adjacent to the monk’s quarters of Group 8 and Group 5. The hall near Group 5 is a 2 storey building in a rectangular plan of Thai style with wall bearing structure. The upper floor is to keep the scriptures. The stairs leading to the upper floor is located outside in the North. There is an open-air terrace around the hall. The gable roof is covered with terracotta tiles. The wooden gable is decorated with traditional Thai ornaments. The frames of doors and windows are decorated with stucco in Pudtan design.

In 2008, the Conservation Commission on Traditional Thaiarchitecture of the Association of Siamese Architects under the Royal Patronage had a policy to preserve the national architectural heritage. Therefore, they have had a conservation project on traditional Thai architecture. Ho Phra Traipidok of Wat Thepthidaram was chosen because the valuable building is in a very poor condition.

This project of the Association of Siamese Architects under the Royal Patronage has received Award of Merit form UNESCO, which the association is very proud of the intention to be able to preserve this valuable hall as the national heritage in the history and architecture.


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้