มัสยิดบางอ้อ
อ่านเพิ่มเติม
มัสยิดบางอ้อ
- ที่ตั้ง เลขที่ 143 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 86 แขวงบางอ้อ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อผู้ออกแบบ
- ก่อสร้างโดยช่างชาวจีน
- ผู้ครอบครอง มัสยิดบางอ้อ
- ปีที่สร้าง พุทธศักราช 2462
ประวัติ
ชุมชนมัสยิดบางอ้อสร้างโดยสัปบุรุษในชุมชนมัสยิดบางอ้อซึ่งเป็นพ่อค้าชาวมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียที่อพยพมาจากอยุธยาเมื่อครั้งเสียกรุง และมาตั้งถิ่นฐานบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของ “แขกแพ” ต่อมาจึงขยับขยายขึ้นมาสร้างบ้านเรือนและมัสยิดบนที่ดินริมแม่น้ำจนเติบโตเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในการเดินเรือและการค้าไม้ โดยในอดีตจะใช้แพเป็นศาสนสถานจนเมื่อเวลาผ่านไปผู้คนมากขึ้นจึงได้ขยับขยายสร้างมัสยิดบนพื้นดินเป็นอาคารไม้ทรงสี่เหลี่ยมขนาดพอๆ กับเรือนแพ หลังจากนั้นในระหว่างพุทธศักราช 2448 – 2458 ได้มีการสร้างมัสยิดถาวรขึ้นเป็นอาคารไม้ทรงปั้นหยาที่ใหญ่กว่าเดิมเพื่อใช้เป็นที่ละหมาดและศึกษาคัมภีร์อัลกุรอาน จนกระทั่งในพุทธศักราช 2462 จึงได้สร้างอาคารมัสยิดหลังปัจจุบันขึ้น นอกจากนี้บริเวณโดยรอบมัสยิดยังมีอาคารเรียนเก่าชื่อ เจริญวิทยาคาร เป็นอาคารไม้แบบเรือนขนมปังขิง อาคารอเนกประสงค์ ศาลาริมน้ำ และกุโบร์หรือสุสานมุสลิม
มัสยิดบางอ้อเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนชั้นเดียวกว้าง 12 เมตร ยาว 24 เมตร ลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม หลังคาเป็นทรงปั้นหยามีชายคาเป็นหลังคาคอนกรีตแบนและมีลูกกรงระเบียงที่มีลวดลายปูนปั้นและเครื่องประดับโดยรอบหลังคา มุขด้านหน้ามีลวดลายปูนปั้นจารึกคำปฏิญาณตนของมุสลิมว่า “ลาอิลา ฮะอิล ลัลเลาะห์มูฮ้าหมัด รอซูล ลุลเลาะห์” พร้อมจารึก บ่าว ผู้ภักดี และวัน เดือน ปี ที่เริ่มใช้มัสยิดหลังนี้ในพุทธศักราช 2462 ตรงกับปฏิทิน อิสลาม ฮ.ศ.1339 มีหอคอยหลังคาทรงโดมขนาบทั้งสองข้างทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ประตูและหน้าเป็นไม้ ช่องลมเหนือประตูและช่องหน้าต่างเป็นปูนปั้นทรงโค้งแบบยุโรป
มัสยิดบางอ้อได้รับการทำนุบำรุงเป็นอย่างดีจากผู้นำทางศาสนาและชุมชนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การบูรณะอาคารครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2555 – 2556 ภายหลังเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ โดยใช้วิธีดีดยกอาคารและปรับปรุงซ่อมแซมส่วนประกอบต่างๆ ของอาคาร ด้วยความร่วมมือร่วมใจของชาวชุมชน นักวิชาการ และความช่วยเหลือด้านงบประมาณจากสำนักโบราณคดี กรมศิลปากร ส่งผลให้การบูรณะอาคารเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา
























พุทธาวาส วัดภคินีนาถวรวิหาร
อ่านเพิ่มเติม
พุทธาวาส วัดภคินีนาถวรวิหาร
- ที่ตั้ง เลขที่ 295 ถนนราชวิถี 21 แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อผู้ออกแบบ
- ผู้ครอบครอง วัดภคินีนาถวรวิหาร
- ปีที่สร้าง สมัยรัชกาลที่ 2
ประวัติ
วัดภคินีนาถวรวิหาร เป็นวัดโบราณ เดิมชื่อ วัดบางจาก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตรงปากคลองบางจากฝั่งซ้าย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัดนอก ด้วยมีวัดอื่นอยู่ถัดเข้าไป เช่น วัดทอง และวัดสิงห์ วัดภคินีนาถวรวิหาร สร้างเมื่อพุทธศักราช 2200 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อพุทธศักราช 2325 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 สมเด็จเจ้าฟ้าประไพวดี กรมหลวงเทพยวดี ราชธิดาองค์ที่ 9 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งพระอาราม และเปลี่ยนพระอุโบสถเดิมเป็นพระวิหาร ทรงสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ และสร้างพระระเบียงวิหารคด พระประธานในพระอุโบสถ พระพุทธรูปปูนปั้น กุฏิสงฆ์ และพระเจดีย์ พระราชทานนามว่า วัดภคินีนาถ แปลว่า วัดของพระน้องนาง
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านเสนาสนะและสิ่งก่อสร้างที่สำคัญในวัดได้รับการดูแลรักษาไว้เป็นอย่างดี สำหรับเขตพุทธาวาสประกอบด้วย
กุฏิไม้ ลักษณะเป็นเรือนไทยแฝดชั้นเดียว โดยมีชานและหลังคาเชื่อมระหว่างเรือนทั้ง 2 หลัง
พระอุโบสถ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้อง ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ มีทวยรองรับหลังคาปีกนกรอบพระอุโบสถ หน้าบันด้านหน้าและด้านหลังจำหลักลาย ลงรักปิดทอง ประดับกระจก ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นซุ้มปูนปั้นทรงเรือนแก้ว บานประตูหน้าต่างด้านนอกเป็นลายรดน้ำพุ่มข้าวบิณฑ์ ผนังภายในมีภาพเครื่องบูชาแบบจีน เพดานมีรูปค้างคาวรุมล้อมลูกไม้ฉลุลายทองล่องชาด ผนังบริเวณเหนือหน้าต่างมีลายดอกไม้ร่วงระบายสีศิลปะแบบจีน ระดับต่ำลงมามีลายเครื่องบูชาของจีน เช่น แจกันดอกไม้ เครื่องลายคราม และถ้วยชาม เป็นต้น บานประตูหน้าต่างมีกรอบภาพพงศาวดารจีนติดอยู่โดยรอบพระอุโบสถ ด้านหลังพระอุโบสถติดผนังด้านนอก มีพระพุทธรูปยืนทรงเครื่องปางห้ามสมุทร 4 องค์ แกนในเป็นหินทรายสีแดง ประดิษฐานอยู่บนแท่นเดียวกัน พระประธานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดหน้าตักกว้าง 2.50 เมตร สูง 3.50 เมตร
พระระเบียง ล้อมพระอุโบสถ มีประตู 4 ด้าน ซุ้มประตูเป็นหลังคามุขลด 2 ชั้น หน้าบันเป็นลายปูนปั้น เสาระเบียงทรงเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง มีหัวเสาเป็นบัวแวง เพดานฉลุลายทองค้างคาวล้อมลูกไม้ล่องชาด ภายในก่ออิฐถือปูนยกเป็นอาสนะสูงประมาณครึ่งเมตร ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยจำนวน 80 องค์





























อุโบสถพื้นถิ่น วัดหลักศิลา
อ่านเพิ่มเติม
อุโบสถพื้นถิ่น วัดหลักศิลา
- ที่ตั้ง บ้านหินตั้ง หมู่ 11 ตำบลหนองแวง อำเภอบ้านใหม่ชัยพจน์ จังหวัดบุรีรัมย์
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อผู้ออกแบบ
- สถาปนิกผู้บูรณะ: สถาปนิก กรมศิลปากร
- ผู้ครอบครอง วัดหลักศิลา
- ปีที่สร้าง พุทธศักราช 2460
ประวัติ
วัดหลักศิลาเป็นศูนย์กลางของชุมชนบ้านหินตั้งซึ่งชาวบ้านดั้งเดิมในชุมชนย้ายมาจากอำเภอพนมไพร และอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อเดินทางมาเห็นความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่บริเวณนี้จึงชวนกันตั้งหลักปักฐานร่วมกันสร้างบ้านเรือน วัดหลักศิลาก่อตั้งเมื่อพุทธศักราช 2460 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อพุทธศักราช 2466 มีอุโบสถพื้นถิ่นเป็นสถานที่การประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนาเรื่อยมา ต่อมาภายหลังอาคารมีสภาพทรุดโทรมลงตามกาลเวลา และเมื่อพุทธศักราช 2555 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานและทำการซ่อมแซมตามหลักวิชาการอนุรักษ์ โดยเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคา เสริมความแข็งแรงของผนัง เทพื้นและทำท่อระบายน้ำรอบอาคาร โดยได้งบประมาณสนับสนุนจากชุมชนจนแล้วเสร็จ
อุโบสถพื้นถิ่น วัดหลักศิลา เป็นอุโบสถแบบทรงโรงมีเสาร่วมใน ขนาด 3 ห้อง และมีเรือนขวางที่ด้านหน้า ขนาด 1 ห้อง กว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 6 เมตร ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ระดับพื้นยกสูงกว่าระดับดินเดิม 0.30 เมตร ภายในอุโบสถพื้นถิ่นมีผังพื้นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้างประมาณ 6 เมตร ยาวประมาณ 9.90 เมตร เสาทั้งหมดทำจากไม้มะค่าแต้ หน้าตัดเสาประมาณ 20×20 เซนติเมตร มีเสาร่วมใน จำนวน 4 ต้น เสาทั้งหมดจำนวน 20 ต้น ผนังอาคารใช้การก่ออิฐดินดิบฉาบปูนหนา 25 เซนติเมตร ส่วนเรือนขวางผนังหนา 45 เซนติเมตร เจาะช่องหน้าต่างข้างละ 3 ช่อง เขียนซุ้มโค้งเหนือช่องหน้าต่างเป็นลวดลาย ด้านหน้าประตูทางเข้าทำเป็น ซุ้มประตูโค้ง ที่เชิงผนังด้านหน้าและด้านข้างทั้งด้านนอกและด้านในเจาะเป็นช่องประทีป ผนังด้านนอกทางทิศตะวันตก เขียนฮูปแต้มเป็นภาพช้าง หลังคาเป็นทรงปั้นหยา ซ้อนลดหลั่นเป็น 3 ชั้น มุงด้วยแผ่นสังกะสี ส่วนประดับหลังคาตกแต่งด้วยยอดหลังคา หลังคาเรือนขวางเป็นทรงจั่วมีมุขหน้า มีรางน้ำระหว่างตรงกลางระหว่างหลังคาเรือนขวางกับโถง จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสในชุมชนว่าช่างชาวกุลาเป็นช่างก่อสร้าง จึงน่าได้อิทธิพลศิลปะของพม่า ความสูงของอาคารจากระดับพื้นภายในอาคารถึงระดับหลังอกไก่ ประมาณ 5.90 เมตร ภายในเป็นโถงโล่งพื้นซีเมนต์ มีฐานชุกชีรองรับพระพุทธรูปสร้างจากไม้ประดู่ตามแบบอย่างศิลปะไทลาว หน้าตักประมาณ 72 นิ้ว สภาพอาคารในปัจจุบันยังคงความสมบูรณ์ตามลักษณะดั้งเดิม เพียงแต่ สีของฮูปแต้ม หรือภาพจิตรกรรมฝาผนังภายนอกอาคารมีสีที่ซีดจางลง และยังคงใช้ประกอบสังฆกรรม
อุโบสถพื้นถิ่น วัดหลักศิลา เป็นเสมือนเครื่องบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงความผูกพันและวัฒนธรรมท้องถิ่น ความสืบเนื่องของวิถีชีวิตคนบ้านหินตั้งที่มีต่อพุทธศาสนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ด้วยรูปทรงของอาคารที่มีสัดส่วนสวยงามแสดงถึงฝีมือเชิงช่างสถาปัตยกรรม วิศวกรรม การตกแต่งด้วย ฮูปแต้ม และพุทธศิลป์ที่มีความงามทางศิลปกรรมสุนทรียภาพแบบศิลปะชาวบ้าน จึงสามารถใช้เป็นแบบอย่างในการศึกษาทางสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่ได้รับอิทธิพลพม่าบนถิ่นอีสานได้เป็นอย่างดี















กุฏิไม้ วัดศรีมณฑา
อ่านเพิ่มเติม
กุฏิไม้ วัดศรีมณฑา
- ที่ตั้ง บ้านคำฮี ตำบลโพนทราย อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อผู้ออกแบบ
- สถาปนิกผู้บูรณะ: สถาปนิก สำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี
- ผู้ครอบครอง วัดศรีมณฑา
- ปีที่สร้าง พุทธศักราช 2476
ประวัติ
วัดศรีมณฑา สร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศักราช 2432 โดยกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ที่บ้านคำฮีซึ่งเป็นชนชาวเผ่าลาว อีสาน และหมู่บ้านใกล้เคียงในอาณาเขตเมืองมุกดาหาร เป็นวัดขนาดเล็ก มีเนื้อที่ดิน 4 ไร่ 2 งาน 10 ตารางวา เดิมชื่อ วัดมุนทา (ภาษาท้องถิ่นในยุคนั้น) ต่อมาเพื่อความเป็นสิริมงคลจึงได้เพิ่ม คำว่า ศรี นำหน้า และเปลี่ยน น เป็น ณ เปลี่ยน ท เป็น ฑ ลบสระ อุ ตามหลักภาษา จึงมีชื่อว่า วัดศรีมณฑา จนกระทั่งทุกวันนี้ แต่ชาวบ้านในชุมชนบางส่วนยังรู้จักชื่อ วัดศรีมุณฑา ตามข้อสันนิษฐานชื่อวัดศรีมณฑาน่าจะหมายถึง ดอกมณฑาหรืออาจเป็นนางมณฑาในวรรณคดีวันสงกรานต์ ส่วนกุฏิไม้สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2476 ซึ่งกุฏิหลังนี้เป็นที่จำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์มาโดยตลอดจนถึงเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน คือ พระอธิการสุเทพ อภิญาโน โดยระหว่างพุทธศักราช 2518 – 2519 ชาวบ้านคำฮีได้ร่วมกันบูรณะซ่อมแซม 1 ครั้ง และต่อมาเมื่อพุทธศักราช 2556 – 2557 สำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี เข้าดำเนินบูรณะซ่อมแซมจนแล้วเสร็จ โดยมีการเสริมความมั่นคงฐานเสา และเปลี่ยนไม้เสาบางต้นที่ชำรุด รื้อส่วนที่ต่อเติมภายหลังออก เปลี่ยนวัสดุมุงหลังคาใหม่ทั้งหมดด้วยไม้แป้นเกล็ดขนาดเท่าของเดิมตอกสลักเดือยรองด้วยสังกะสีแผ่นเรียบซ่อนไว้ใต้แป้นไม้กันรั่วซึม เปลี่ยนไม้ปั้นลมแกะสลักใหม่โดยกระสวนลวดลายจากของเดิมที่ยังเหลือ ส่วนหางหงส์ และโหง่ว ทำขึ้นใหม่โดยอ้างอิงจากศาลาการเปรียญเพื่อครบองค์ประกอบที่สมบูรณ์ และอนุรักษ์ซ่อมแซมภาพจิตรกรรมหน้าจั่ว
กุฏิ วัดศรีมณฑา เป็นกุฏิเดี่ยวใต้ถุนสูง ก่อสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง เสาไม้ถากรวม 45 ต้น ฝาผนังไม้ตีทับเกล็ดแนวนอน โครงสร้างเครื่องหลังคาเข้าสลักเดือยไม้ หลังคามุงด้วยไม้แป้นเกล็ด รางรับน้ำฝนภายในกุฏิทำด้วยไม้ขุดร่อง ผังพื้นกุฏิคล้ายเป็นอาคาร 3 หลังเชื่อมต่อกัน แบ่งการใช้ประโยชน์ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนเรือนชาน โถง และห้องนอน ส่วนที่เป็นเรือนชานหรือระเบียงไม่มีผนัง มีบันไดขึ้นอาคาร 1 ด้าน หลังคาด้านหน้าทรงจั่วด้านหลังเป็นปั้นหยา เชื่อมต่อไปยังเรือนใหญ่ซึ่งเป็นส่วนโถงมีรูปแบบหลังคาทรงจั่วลักษณะเป็นตรีมุขตกแต่งด้วยชุดไม้ปั้นลม ช่อฟ้า และหางหงส์ แกะสลักลวดลายสวยงาม ที่หน้าจั่วของแต่ละมุขมีภาพจิตรกรรม เขียนเป็นรูปพญาครุฑ เทพพนม กินรี ลายเครือเถา ประจำยาม ลายพานพุ่มดอกไม้ และรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น ค้างคาว กระต่าย และต่อจากส่วนโถงไปด้านหลังของอาคารเป็นห้องนอน 2 ห้องหลังคาทรงปั้นหยา
กุฏิ วัดศรีมณฑา เป็นตัวอย่างของการอนุรักษ์ที่สามารถรักษาความแท้ในด้านรูปแบบ วัสดุ ฝีมือช่างและเทคนิควิธีการก่อสร้าง รวมทั้งสภาพโดยรอบไว้ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของจังหวัดมุกดาหารที่สะท้อนความเสื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนาของพระ และชาวบ้านจากอดีตจนปัจจุบันได้เป็นอย่างดี






















