พ.ศ. 2545

วังสวนบ้านแก้ว สถาบันราชภัฎรำไพพรรณี

อ่านเพิ่มเติม

วังสวนบ้านแก้ว สถาบันราชภัฎรำไพพรรณี

  • ที่ตั้ง สถาบันราชภัฎรำไพพรรณี 411 หมู่ 5 ตำบลท่าช้าง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร ออกแบบพระตำหนักใหญ่ (พระตำหนักเทา) หม่อมเจ้ากรวิก จักรพันธุ์ ออกแบบพระตำหนักดอนแค (พระตำหนักแดง)
  • ผู้ครอบครอง สถาบันราชภัฎรำไพพรรณี
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2493
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2545

ประวัติ

วังสวนบ้านแก้ว เป็นวังส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ซึ่งพระองค์ได้ประทับที่นี่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และทรงดำเนินกิจการบ้านสวนแก้วมาจนกระทั่งกระทรวงศึกษาธิการได้ขอซื้อไปเพื่อจัดตั้งวิทยาลัยครูจันทบุรีในปี 2515 ภายในบริเวณมีอาคารประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ พระตำหนักใหญ่ และพระตำหนักดอนแค

พระตำหนักใหญ่ หรือพระตำหนักเทา เป็นบ้านชั้นครึ่ง ช่วงบนเป็นไม้สัก ช่วงล่างก่ออิฐฉาบปูน รูปแบบสถาปัตยกรรมโมเดิร์น ลักษณะเหมือนอาคารแบบแพรรีเฮาส์ ของแฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ ออกแบบโดยหม่อมเจ้า สมัยเฉลิม กฤดากร อาคารนี้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์และที่รับรองแขกของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ด้านข้างอาคารมีซุ้มดอกเห็ดใช้เป็นที่เสวยพระสุธารสชา

พระตำหนักดอนแค หรือพระตำหนักแดง ออกแบบโดยหม่อมเจ้ากรวิก จักรพันธุ์ เป็นอาคาร 2ชั้น ทาสีแดงรูปแบบโมเดิร์นเช่นเดียวกัน เป็นที่ประทับของหม่อมเจ้าหญิงผ่องผัสมณี กฤดากร ราชเลขานุการส่วนพระองค์ พระตำหนักทั้งสองได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2519 โดยสถาบันราชภัฎรำไพพรรณี

Wang Suan Ban Kaew, Rajabhat Institute Rambhaibhanni

  • Location Ratjabhat Institute Rambhaibhanni, 41 Mu 5, Tambon Tha Chang, Amphoe Mueang, Chanthaburi Province
  • Architect/Designer Phra Tamnak Yai (Phra Tamnak Thao): Mom Chao SamaiChaloem
  • Kridakorn Phra Tamnak Don Khae (Phra Tamnak Dang): Mom Chao Korawik Chakraphan
  • Proprietor Rajabhat Insitute Rambhaibhanni
  • Date of Construction 1950 AD.
  • Conservation Awarded 2002 AD.

History

Wang Suan Ban Kaew was a private residence of Queen Rambhaibhanni, consort of King Rama VII. The Queen had lived here since 1950 to manage her Suan Ban Kaew (Ban Kaew Orchard) until 1972, when the Ministry of Education requested to buy the place to be founded as Chanthaburi Teacher’ College. Historic buildings in compound are Phra Tamnak Yai and Phra Tamnak Don Khae.

Phra Tamnak Yai or Phra Tamnak Thao (Grey Pavilion) is one – and – haft – storey built of teakwook and brick masonry, designed by Mom Chao Samaichaloem Kridakorn. It was the Queen’s private residence and was also used for receiving her guests. The buiding is Modern style, rather similar to Mr. Frank Lloyd Wright’s Prairie House.

Phra Tamnak Don Khae or Phra Tamnak Daeng (Red Pavilion) was designed by Mom Chao Korawik Chakraphan, also in modern style. It is a 2-storey building painted in bright red colour built as a residence for Mom Chao Ying Phongphasmani Kridakorn, the secretary to the Queen. Both pavilions are now used as exhibition halls of the museum which has been established since 1976 by Rajabhat Institute Rambhaibhanni.


พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี (ตึกพระพันวัสสา) และกลุ่มอาคารเรือนน้ำ

อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี (ตึกพระพันวัสสา) และกลุ่มอาคารเรือนน้ำ

  • ที่ตั้ง โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา 290 ถนนเจิมจอมพล ตำบลศรีราชา อำเภอ ศรีราชา จังหวัดชลบุรี
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ เสวกตรี พระนรินทราภิรมย์
  • ผู้ครอบครอง สภากาชาดไทย
  • ปีที่สร้าง ตึกพระพันวัสสา สร้าง พ.ศ. 2484 กลุ่มอาคารเรือนน้ำสร้างก่อน พ.ศ. 2475
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2545

ประวัติ

พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี (ตึกพระพันวัสสา) และกลุ่มอาคารเรือนน้ำ เป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2444 ด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์แก่ชาวศรีราชาและประชาชนในท้องถิ่นใกล้เคียง

ต่อมาสมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ ทรงมีพระราชประสงค์จะให้สร้างสถานที่สำหรับอำนวยการและตรวจโรคเพิ่มเติมขึ้นในโรงพยาบาล จึงโปรดให้เสวกตรี พระนรินทราภิรมย์ออกแบบอาคาร และก่อสร้างขึ้นในปี 2474 อาคารนี้เรียกว่าตึกพระพันวัสสา เป็นอาคารเฟโรคอนกรีต 2 ชั้น หลังคาปั้นหยา มุขด้านหน้าทั้งสองข้างหลังคาจั่วปาดมุม รูปแบบสถาปัตยกรรมอย่างตะวันตก ซึ่งแม้จะตัดทอนองค์ประกอบคลาสสิคออกไปแล้ว แต่ด้วยความสมดุลแบบเท่ากันทุกประการของรูปด้านหน้าที่มีระเบียงและแผงประดับอยู่กลางเหนือทางเข้า แสดงถึงแนวทางแบบปัลลาดิโอ ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี มีนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชประวัติและเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับพระองค์ท่าน

สำหรับกลุ่มอาคารริมน้ำ เป็นเรือนรับรองของโรงพยาบาล สร้างขึ้นช่วงก่อนปี พ.ศ. 2475 มีความสำคัญคือเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพันวัสสาฯ ในปี 2485 ลักษณะเป็นกลุ่มอาคารที่สร้างยื่นลงไปในทะเล แต่ละหลังเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว หลังคาปั้นหยามุงกระเบื้องว่าว ด้านหน้าของกลุ่มอาคารเป็นศาลาโถง ปัจจุบันใช้เป็นบ้านพักตากอากาศ ซึ่งเปิดให้ประชาชนทั่วไปเช่าพักได้

Somdet Phra Si Sawarinthira Borommaratchathewi Museum (Phra Phanwassa Buiding) and the Ruean Nam

  • Location Queen Sawangwatana Memorial Hospital in Sri Racha, 290 Choem Chomphol Road, Tambon Sri Racha, Amphoe Sri Racha, Chonburi Province
  • Architect/Designer Sweaktri Phra Narinthraphirom
  • Proprietor Thai Red Cross Society
  • Date of Construction Phra Phanwassa Building: 1941 AD. Seaside House: before 1932 AD.
  • Conservation Awarded 2002 AD.

History

Somdet Phra Si Sawarinthira Borommaratchathewi Museum (Phra Phanwassa Building) and the Ruean Nam are parts of Queen Sawangwatana Memorial Hospital in Sri Racha, which was founded by private fund of Somdet Phra Si Sawarinthira Borommaratchathewi, Phra Phanwassa Aiyikachao (Queen Sawangwatana) in 1901.

Phra Phanwassa Building was designed by Sweaktri Phra Narinthraphirom and constructuredin 1931 as an administrative office and clinic.

It is a ferro comcrete is Western style in simple form. However, the perfect symmetry of the facade, the middle balcony, and fractable over the entrance indicate a Palladio concept. This building is now rehabilitef as a museum with exhibitions on the life and deeds of Queen Sawangwatana.

Ruean Nam (Water Houses) where the Queen resided in 1942, are the hospital’s reception houses which were built before 1932. The group comprises several buildings built n the sea, each of which is one – storey, hipped roof with cement roof tiles. The front hall is an open pavilion. At the present, the house still serves as a seaside resort which is opened for general guests.


พระราชนิเวศน์มฤคทายวันและบ้านเจ้าพระยารามราฆพ

อ่านเพิ่มเติม

พระราชนิเวศน์มฤคทายวันและบ้านเจ้าพระยารามราฆพ

  • ที่ตั้ง 1281 ถนนเพชรเกษม ตำบลห้วยทรายเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงออกแบบวางผัง นาย อี.ฟอร์โน (E.Forno) และนายแอร์โกเล มันเฟรดี (Ercole Manfredi) ออกแบบรายละเอียด
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2466 – 2467
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2545

ประวัติ

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน สร้างขึ้นโดยพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นที่ประทับระหว่างเสด็จแปรพระราชฐานในช่วงฤดูร้อน เนื่องจากในช่วงนั้นทรงพระประชวร แพทย์หลวงจึงถวายคำแนะนำให้เสด็จไปประทับ ณ สถานที่ตากอากาศชายทะเล ดังนั้นจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายอี.ฟอร์โน (E. Forno)และนายแอร์โกเล มันเฟรดี (Ercole Manfredi) สถาปนิกชาวอิตาลีออกแบบตามแนวความคิดของพระองค์ท่าน ซึ่งได้ทรงร่างแผนผังด้วยพระองค์เอง พระราชทานให้สถาปนิกนำไปออกแบบรายละเอียด และได้ดำเนินการก่อสร้างในปี พ.ศ. 2466 – 2467

พระราชนิเวศน์แห่งนี้ ประกอบด้วยพระที่นั่ง 3 หมู่ ได้แก่ หมู่พระที่นั่งสมุทรพิมาน เป็นส่วนของฝ่ายในตั้งอยู่ทางทิศใต้ หมู่พระที่นั่งพิศาลสาคร เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่ ณ ส่วนกลาง และสโมสรเสวกามาตย์ เป็นอาคารโถง มี 2 ชั้น ใช้เป็นโรงละครและท้องพระโรง พระที่นั่งเหล่านี้เชื่อมต่อถึงกันด้วยสะพานไม้มีหลังคาคลุม สำหรับตัวอาคารเป็นอาคารยกพื้นสูง สร้างด้วยไม้สักทอง ตอม่อเป็นเสาคอนกรีต หลังคามุงกระเบื้องว่าว โดยรวมมีลักษณะโปร่ง เบา เหมาะกับภูมิอากาศ และบรรยากาศของชายทะเล

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของพระราชนิเวศน์ฯ คือมีการออกแบบเพื่อกันมด เพราะบริเวณนี้มีมดดำชุกชุม สถาปนิกจึงได้ออกแบบให้ที่โคนเสาทุกต้นและที่แนวผนังส่วนที่ติดพื้นดินทำเป็นขอบปูนยกสูงขึ้นโดยรอบ เพื่อเป็นที่ใส่น้ำกันมดขึ้นอาคารดังกล่าว

อาคารอีกหลังหนึ่งที่มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับพระราชนิเวศมฤคทายวัน คือบ้านเจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล. เฟื้อ พึ่งบุญ) ซึ่งดำรงตำแหน่งสมุหราชองครักษ์และมหาดเล็กหัวหน้าห้องพระบรรทม ลักษณะเป็นอาคาร ยกพื้นสูงมีระเบียงกว้าง ผนังก่ออิฐโชว์แนว อาคารนี้แยกออกไปจากบริเวณพระราชนิเวศน์ฯ แต่สามารถมองเห็นกันได้ และติดต่อกันโดยใช้สัญญาโคมไฟสี ซึ่งชักบนเสาเหนือศาลาลงสรง ถ้าเป็นไฟสีเหลืองหมายความว่ากำลังแต่งพระองค์ ถ้าเป็นไฟสีเขียวหมายถึงเสด็จเข้าโต๊ะเสวยพระกระยาหารค่ำแล้ว

ปัจจุบัน พระราชนิเวศน์มฤคทายวันได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในความดูแลของกองกำกับการ 1 กองบังคับการฝึกพิเศษของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

Maruekhathayawan Palace

  • Location 1281 Petchakasem Road, Tambon Haui Sai Nuea, Amphoe Cha-am, Petchaburi Province
  • Architect/Designer King Rama VI: lay out and conceptual design
  • Mr. E. Forno and Mr. Ercole Manfredi: detail design
  • Proprietor Royal Thai Police
  • Date of Construction 1923 – 1924 AD.
  • Conservation Awarded 2002 AD.

History

Maruekhathayawan Palace was built as a summer palace of King Rama VI who, at that time, had a health problem thus the doctor advised that he should stay in a seaside resort for better environment and fresh air. The King thus commissioned Mr.E Forno and Mr.Ercole Manfredi, Italian architects to design the palace bassed on his lay out the conceptual plan. The construction was carried out durineg 1923 – 1924.

This palace comprises 3 groups of pavilions, namely, Samutharaphiman,the ladies’ quarter, Phisansakhon, the King’ quarter, and Samoson Sewakamat, the theatre and thorne hall. These pavilions are connected by covered wooden bridges. As for the buildings, they are built of wood, elevated on ferro concrete posts, roofed woth cement roof tiles. The overall atmosphere is lofty, and comfortable, suitable for the seaside environment.

Another special feature of the buildings is the design for ant protection by surrounding every part that touch the ground, i.e post bases, wall bases with a small pool that when filled up with water, could effecrively prevent the ants from climbing up the building.

Another important building in neigbouring area, contemporary to the palace, is Chao Phraya Ramrakhob House that the King and the Royal Page of the Bed. The house is raised floor with a wide deck, exposed brick masonry walls and wooden structure.

At present, Maruekhathayawan Palace is open as a museum in care of the Border Patrol Police Bureau, who collaborated with the Fine Arts Department on restoration of the palace in 1983.


สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคกลางเขต 7

อ่านเพิ่มเติม

สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคกลางเขต 7

  • ที่ตั้ง ถนนรอบพระธาตุ บริเวณสวนราชานุสรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2473
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2545

ประวัติ

สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคกลางเขต 7 ตั้งอยู่ ณ อาคารโรงเรียนพระนารายณ์เดิม ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยพระครูลวบุรีคณาจารย์ (เนียม ภุมมสโร) เจ้าอาวาสวัดเสาธงทอง เมื่อแรกก่อตั้งใช้วัดเสาธงทองเป็นที่เรียน จนในปี พ.ศ. 2473 จึงได้ย้ายมาสร้างโรงเรียนถาวรขึ้นในบริเวณวัดร้างด้านเหนือวัดพระศรีมหาธาตุซึ่งปัจจุบันเป็นสวนราชานุสรณ์ เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น หลังคาปั้นหยา เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้ว พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าธานีนิวัติ เสนาบดีกระทรวงธรรมการในขณะนั้น ได้เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2473

โรงเรียนพระนารายณ์ได้ย้ายไปอยู่ ณ ที่ตั้งใหม่ที่เคยเป็นค่ายทหาร ใน พ.ศ. 2481 โดยดำริของพันเอกหลวงพิบูลสงคราม จากนั้นโรงเรียนเดิมก็ได้อยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร ได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถานในพ.ศ. 2527 ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ขอใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคกลางเขต 7 ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ 5 จังหวัด คือ ลพบุรี นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท และสิงห์บุรี

Tourism Organization of Thailand 7th Regional Office, Centre Region

  • Location Rob Phra That Road, Amphoe Mueang, Lop Buri Province
  • Architect/Designer Unknow
  • Proprietor Tourism Organization of Thailand
  • Date of Construction 1930 AD.
  • Conservation Awarded 2002 AD.

History

Tourism Organization of Thailand 7th Regional Office, Central Region is situated in the former school house of Phra Narai School, which was founded by Phra Kru Laeaburikhanachan, the abbot of Wat Sao Thong Thong, The school building was built in 1930 as a 2-storey wooden house with hipped roof, and was officially opened by Prince Rhaniniwat, the Minister of Education, on 8th February, 1930.

Phra Narai School was moved to an area that was formerly a barracks in 1938, as initiated by Colonel Luang Phibulsongkhram. Afterward, the school came under care of the Fine Arts Department and was registered as National Monument in used as their 7th Regional Office, which is responsible for 5 provinces namely Lop Buri, Nakhon Sawan, Uthai Thani, Chai Nat, and Sing Buri.


ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (เดิม)

อ่านเพิ่มเติม

ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (เดิม)

  • ที่ตั้ง ถนนศรีสรรเพชญ์ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ พระสาโรชรัตนนิมมานก์
  • ผู้ครอบครอง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2484
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2545

ประวัติ

ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (เดิม)เป็นสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น องค์ประกอบต่างๆ เรียบง่ายเน้นความสง่างามด้วยความสมมาตรและสัดส่วนที่สูงตระหง่าน (Colossal Order)ออกแบบโดยพระสาโรชรัตน นิมมานก์ สถาปนิกของกรมศิลปากร ก่อสร้างในปี พ.ศ. 2484 ตัวอาคารโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ลักษณะเด่นคือการประดิษฐานประติมากรรมรูปบูรพกษัตริย์และวีรสตรีแห่งกรุงศรีอยุธยาเป็นส่วนหนึ่งของรูปด้านหน้าอาคาร

ประติมากรรมดังกล่าวประกอบด้วย รูปสมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงถือปราสาทสังข์ ตราประจำเมืองพระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงถือประมวลกฎหมาย สมเด็จพระศรีสุริโยทัยทรงถือพระแสง ของ้าว สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงถือพระแสงของ้าว สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงถือพระราชสาส์น และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงถือพระแสงดาบ

อาคารนี้เดิมเป็นศาลากลางจังหวัด ปัจจุบันใช้เป็นอาคารศูนย์บริการข้อมูลวิชาการและข่าวสารการท่องเที่ยวโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตามแผนแม่บทโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2536 ภายในอาคารประกอบด้วยส่วนบริการนักท่องเที่ยว และส่วนนิทรรศการการท่องเที่ยวของจังหวัด นำเสนอเรื่องราวในด้านต่างๆ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

Nakhon Si Ayutthaya Provincial Hall

  • Location Si Sanpet Road, Amphoe Phra Nakhon Si Ayutthaya, Phra Nakhon Si Ayutthaya Province
  • Architect/Designer Phra Sarotrattananimman
  • Proprietor Tourism Authority of Thailand
  • Date of Construction King Rama IV period
  • Conservation Awarded 2002 AD.

History

The former Phra Nakhon Si Ayutthaya Provincial Hall is a modern architecture designed by a Thai architect, Phra Sarotrattananimman. Its elements are simply yet a grand and imposing look is archived by symmetry and colossal order applied to the design. The most distinguished featured are the sculptures of great heroes of Ayutthaya installed on the front fagade.

The sculptures are mentioned are: King U Thong holding a tiered roof hall., symbol of Ayutthaya, Ling Barommatrai Lokanat holding a book of laws, Queen Suriyothai holding a hooked pike, King Naresuan holding a hooked pike, King Narai holding a scroll, and King Taksin holding a sword.

The building was formerly a provincial hall but has been rehabilitated as an information center, according to the Master Plan for Conservation and Development of Ayutthaya Historic City, since 1993. At present, the building serves as a tourists service center and tourism exhibition hall, which concentrates on the history information about Ayutthaya in various aspects.


หอประชุม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อ่านเพิ่มเติม

หอประชุม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

  • ที่ตั้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนพญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) และพระสาโรชรัตนนิมมานก์
  • ผู้ครอบครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2481 – 2482
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2545

ประวัติ

หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสถาปัตยกรรมไทยที่ประยุกต์ให้สอดคล้องกับการก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ คือโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก รูปแบได้รับอิทธิพลจากพระอุโบสถวัดราชาธิวาส ซึ่งออกแบบโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

การก่อสร้างอาคารหอประชุมนี้ริเริ่มโดยอธิการบดีในขณะนั่นคือ พันเอก พลวงพิบูลสงคราม เนื่องจากท่านเห็นว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีนิสิตและมีกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่มีอาคารหอประชุมเพื่อรองรับกิจกรรมเหล่านั้น ซึ่งสภามหาวิทยาลัยก็เห็นชอบ จึงได้ขอให้กรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบหอประชุมดังกล่าว พระพรหมพิจิตรและพระสาโรชรัตรริมมานก์จึงได้รับมอบหมายให้ดำเนินการออกแบบ

การก่อสร้างเริ่มในปี 2481 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2182 ต่อมาใน พ.ศ. 2506 ได้มีการต่อเติมปีกออกไปสองข้างตัวอาคาร ดังที่ปรากฏในปัจจุบัน

Chulalongkorn University Conference Hall

  • Location Chulalongkorn Unicersity, Phayathai Road, Khet Pathum Wan, Bangkok
  • Architect/Designer Phra Phromphichit (U Laphanont) and Phra Sarotrattananimman
  • Proprietor Chulalongkorn University
  • Date of Construction 1938 – 1939 AD.
  • Conservation Awarded 2002 AD.

History

Chulalongkorn University Conference Hall is a building of applied Thai style, which was designed to conform with new construction technique of those days, that is, reinforced concrete structure. The design was in fluenced by the Ubosatha at Wat Rachathiwat designed by Prince Krommaphraya Narisara Nuwattiwong.

The conference hall project was intiated by the University President, Colonel Luang Phibunsongkhram. The design was carried out by Phra Phromphichit (U Laphanont) and Phra Sarotrattananimman, architects of the Fine Arts Department. Construction began in 1938 and completed on 31st January 1939. Later in 1963, the hall was added with 2 wings on both sides as seen nowadays.


สถานีรถไฟหัวลำโพง (สถานีรถไฟกรุงเทพ)

อ่านเพิ่มเติม

สถานีรถไฟหัวลำโพง (สถานีรถไฟกรุงเทพ)

  • ที่ตั้ง ถนนพระรามที่ 4 แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ นายมาริโอ ตามานโญ (Mario Tamagno)
  • วิศวกร นาย เกอร์เบอร์ (Gerber)
  • ผู้ครอบครอง การรถไฟแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2453 – 2459
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2545

ประวัติ

สถานีรถไฟกรุงเทพ หรือที่รู้จักกันดีในนามสถานีรถไฟหัวลำโพงนั้น เป็นผลงานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ ประกอบด้วยอาคารโถงสถานีหลังคาโค้งกว้าง ด้านหน้าเป็นอาคารแบบนีโอคลาสสิค หลังคาดาดฟ้า มีหอคอยสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ปลายปีกทั้งสองด้านทำให้ดูเหมือนโถงกลางขนาบข้างด้วยหอคอยคู่ ยิ่งไปกว่านั้นอาคารนี้ยังเป็นตัวอย่างของวิศวกรรมโครงสร้างเหล็กที่ได้รับการออกแบบมาอย่างลงตัวมีการคำนึงถึงการระบายอากาศและก่อสร้างอย่างประณีตหาได้ยากในปัจจุบันโดยโครงสร้างดังกล่าวมิได้ถูกรูปด้านนีโอคลาสสิคบดบังไว้อย่างสถานีรถไฟรุ่นแรกๆ ในยุโรป

หัวลำโพง เป็นจุดเริ่มต้นของทางรถไฟสายแรกของไทยคือสายกรุงเทพฯ – ปากน้ำ ซึ่งได้เริ่มลงมือก่อสร้างเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2434 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจรดจอบแซะแผ่นดินเป็นพระฤกษ์ อย่างไรก็ดีสถานีในสมัยนั้นยังคงเป็นเพียงโรงสังกะสี ส่วนอาคารโถงสถานีที่ถาวรได้ก่อสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2449-2455 และเปิดใช้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2475 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นจึงมีการก่อสร้างอาคารโถงหน้า ออกแบบโดยมาริโอ ตามานโญ สถาปนิกชาวอิตาลี ซึ่งสร้างเสร็จในปี 2459 และโรงแรมราชธานีออกแบบโดยนายอัลเฟรโด ริกาซซี ซึ่งเป็นโรงแรมรถไฟของสถานีกรุงเทพที่หรูหราไม่แพ้โรงแรมชั้นหนึ่งของยุโรป ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนเป็นที่ทำการของสถานี

ถึงแม้ว่าสถานีจะมีการใช้สอยและปรับปรุงมาโดยตลอด แต่ตัวอาคารเดิมยังได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ทำให้หัวลำโพงเป็นสถานีรถไฟประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิตตลอดมา

Bangkok Railway Station

  • Location Rama IV Road, Khwaeng Rong Mueang, Khet Pathum Wan, Bangkok
  • Architect/Designer Mr. Mario Tamagno and Mr. Alfredo Rigazzi
  • Engineer Mr. Gerber
  • Proprietor State Railway of Thailand
  • Date of Construction 1910 – 1916 AD.
  • Conservation Awarded 2002 AD.

History

Bangkok Railway Station or Hua Lam Phong Station is a distinguished architecture which comprises the Station Hall with wide arched roof and a Front Hall is rectangular, flat-roofed with a tower at each end, which gives an impression that the arched roof of the Station Hall is flanked by two towers. The building is also praiseworthy as an example of steel structures which is well-designed and meticulously built that is rare to find nowadays.

The construction of the first railroad of Thailand, beginning at Hua Lam Phong, was officially opened by King Rama V on 16th July 1891. However, the permanent Station Hall was built later between 1906 -1912 in King Rama VI’s reign, followed by the Front Hall in 1916, designed by Mario Tamagno, an Italian Architect, and the Ratchathaini Hotel, the present station office. The hotel was one of the most luxurious of those days, designed by Mr. Alfredo Rigazzi.

In spite of a continual use and several modifications, the original nuildings have always been conserved and cherished, making Hua Lam Phong a truly living heritage until today.


บ้านพิษณุโลก (บ้านบรรทมสินธุ์)

อ่านเพิ่มเติม

บ้านพิษณุโลก (บ้านบรรทมสินธุ์)

  • ที่ตั้ง 426-468 ถนนพิษณุโลก เขตดุสิต กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ นายมาริโอ ตามานโญ (Mario Tamagno) และนายอันนิบาเล ริกอตติ (Annibale Rigotti)
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
  • ปีที่สร้าง พ.ศ.2466
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2545

ประวัติ

บ้านพิษณุโลก เดิมชื่อบ้านบรรทมสินธุ์ เป็นบ้านที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทาน พลตรี พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ) ตึกประธานหรือตึกใหญ่ออกแบบโดย นายมาริโอ ตามานโญ (Mario Tamagno) และนายอันนิบาล ริกอตติ (Annibale Rigotti) และก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2466 รูปแบบอาคารเป็นแบบเวเนเซียน โกธิค รีไววัล (Venetian Gothic Revival) ตัวอาคาร 3 ชั้น มีห้องใต้ดิน หลังคาส่วนหนึ่งทำเป็นโดม มีดาดฟ้า การตกแต่งอาคารงดงามหรูหราด้วยปูนปั้นและไม้แกะสลัก ด้านหน้าอาคารมีประติมากรรมรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมุงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯพระราชทานให้เป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูล จึงเป็นที่มาชื่อชื่อบ้าน “บรรทมสินธุ์” ดังกล่าว ภายในบริเวณบ้านยังมีอาคารบริวารหลายหลัง และภูมิทัศน์ที่สวยงามด้วยสวนแบบอังกฤษ

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปลายปี 2484 พระยาอนิรุทธเทวาและครอบครัวได้อพยพไปอยู่ที่วัดตำหนักเหนือ จังหวัดนนทบุรี ปีต่อมา รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ให้สำนักงานงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซื้อบ้านไว้เพื่อใช้เป็นบ้านรับรองของรัฐบาล พระยาอนิรุทธเทวาได้ตกลงแบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งขายให้ รวมทั้งตัวตึกใหญ่ รัฐบาลได้เรียกชื่อตึกใหญ่ว่า “ตึกไทยสัมพันธมิตร” และเปลี่ยนชื่อบ้านเป็น “บ้านพิษณุโลก” ตามชื่อถนน

ในปี พ.ศ. 2525 สมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้มีการบูรณะใหญ่ทั้งตัวอาคารและบริเวณ เพื่อใช้เป็นบ้านพักของนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ โดยรัฐบาลเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

Phitsanulok House (Ban Banthomsin)

  • Location 426-468 Phitsanulok Road, Khet Dusit, Bangkok
  • Architect/Designer Mr. Mario Tamagno, Mr. Annibale Rigotti
  • Proprietor Crown Proerty Bureau
  • Date of Construction 1923 AD.
  • Conservation Awarded 2002 AD.

History

Phitsanulok House, originally named Ban Banthomsin, was built by order of King Rama VI as a residence for Major General Phraya Anirutthewa (Mom Luang Fuen Phuengbun). The principal building or Tuek Yai was designed by Mr. Mario Tamagno and Mr. Annibale Rigotti, and was constructed in 1923. The architecture is Venetian Gothic Revival style, 3-storey with an underground floor. Distinguished features are its dome and profuse decorations of stuccos and woodcarvings. In front of the building stands a sculpture of “Narai Banthomsin” (Vishnu Lying on the sea of Milk), from which the house’s name “Banthomsin” was derived. There are also several outbuildings in the compound, which is beautifully landscaped with English style garden.

Phraya Anirutthewa and his family moved from the house during the Second World War, 1942. The government thus bought half of the land including the main building to be used as government reception house. The main building was renamed “Thai Samphanthamit Building” that was later changed to “Phitsanilok House”, to conform with the name of the road.

Major restoration was carried out in 1982, and then the house became the official Prime Minister Residence until today.


บ้านมนังคศิลา

อ่านเพิ่มเติม

บ้านมนังคศิลา

  • ที่ตั้ง ถนนหลานหลวง เขตดุสิต กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ นายเอ็ดวาร์ด ฮีลี (Edward Healey)
  • ผู้ครอบครอง กรมธนารักษ์
  • ปีที่สร้าง สมัยรัชกาลที่ 6
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2545

ประวัติ

บ้านมนังคศิลา มีรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบทิวดอร์ของอังกฤษ ลักษณะเด่นคือผนังก่ออิฐที่ทำไม้ตีประดับเป็นกรอบโครงคล้ายอาคาร half-timber หลังคาไม้ทรงสูง รูปทรงหลังคาซับซ้อน ประดับด้วยมุข และเปิดจั่วในบางด้าน ตกแต่งอาคารด้วยคิ้วไม้ ไม้แกะสลักและมีการใช้ทิวดอร์อาร์ชในส่วนช่องเปิดและซุ้มโค้ง

บ้านหลังนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว บนที่ดินซึ่งพระราชทานแก่พระยาอุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล) และโปรดเกล้าฯพระราชทานนามว่า “บ้านมนังคศิลา” ออกแบบโดยนายเอ็ดวาร์ด ฮีลี สถาปนิกชาวอังกฤษ

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 บ้านมนังคศิลาได้ถูกโอนกรรมสิทธิ์ไปเป็นของธนาคารเอเชีย รัฐบาลได้ยืมจากธนาคารเพื่อใช้เป็นบ้านพักรับรอง และเป็นที่ทำการพรรคเสรีมนังคศิลาอยู่ช่วงหนึ่ง จนในปี 2503 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขอซื้อบ้านมนังคศิลาจากธนาคารเอเชีย นำมามอบให้กระทรวงการคลังเพื่อแลกเปลี่ยนกับการขอใช้พื้นที่วังบางขุนพรหมต่อไป ดังนนั้นบ้านมนังคศิลาจึงตกเป็นของกรมธนารักษ์ และได้ใช้เป็นที่ทำการหน่วยงานต่างๆ จนในปี 2518 จึงได้ใช้เป็นที่ทำการสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์มาจนทุกวันนี้

Manangkhasila House

  • Location Lan Luang Road, Khet Dusit, Bangkok
  • Architect/Designer Mr. Edward Healey
  • Proprietor The Treasury Department
  • Date of Construction King Rama VI period
  • Conservation Awarded 2002 AD.

History

Manangkhasila House is building influenced by Tudor architecture. It feature wood-battedned walls, an imitation to half-timber structure, high pitched roof instricately designed and decorated with dormers and gables, wooden moulding and Tudor arches.

The building was built in King Rama VI’s reign, on the land that the king gave to Phraya Udomratchaphakdi (Tho Sucharitkul). The house was designed by Mr. Edward Healy and English architect, and was named “Ban Manangkhasila”, by the King.

In 1952, the house ownership was transferred to Bank Asia and the government had borrowed the house to be used as a reception house, and later, the office of Seri Manangkhasila political party. In 1960, it was bought by the Bank of Thailand to be given to the Ministry of Finance as an exchange for continuing the use of Wang Bang Khun Phrom. Since then the property has been used by several government offices, and from 1975 until today, it became the house of the National Council of Women of Thailand under the Royal Patronage of Her Majesty the Queen.


โรงเรียนเผยอิง

อ่านเพิ่มเติม

โรงเรียนเผยอิง

  • ที่ตั้ง ถนนทรงวาด แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการโรงเรียนเผยอิง
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2459
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2545

ประวัติ

โรงเรียนเผยอิง เป็นโรงเรียนจีนที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ก่อตั้งขึ้นโดยพระอนุวัติน์ราชนิยม (แต่ตี้ย้ง) ร่วมด้วยนายกอฮุยเจียะ นายโค้วปิ้ดจี่ นาวเซียวเกียงลิ้ง นายตั้งเฮาะซัง และพ่อค้าชาวจีน ตัวอาคารก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2459 ใช้เวลา 4 ปีจึงแล้วเสร็จ และได้มีการสถาปนาโรงเรียนขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2463 เมื่อแรกก่อตั้งใช้ชื่อโรงเรียนว่า “ป้วยเอง” สอนภาษาแต้จิ๋วเต็มวัน ในปีต่อมาเปลี่ยนเป็นสอนภาษาจีนกลาง จึงเรียกชื่อโรงเรียนตามสำเนียงจีนกลางว่า “เผยอิง” หมายความว่า “ส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้ความสามารถ”

รูปแบบอาคารเป็นสถาปัตยกรรมโคโลเนียลอิทธิพลนีโอคลาสสิค ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบลานโล่ง ผนังเซาะร่องเลียนแบบการก่อหิน ตัวอาคารตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้น

โรงเรียนเผยอิงได้เปิดดำเนินการเป็นเวลานานกว่า 80 ปี ปัจจุบันสอนตั้งแต่ชั้นก่อนประถมศึกษาถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สอนวิชาสามัญตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ และวิชาภาษาต่างประเทศ 2 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษและภาษาจีน วิชาพิเศษอื่นๆ ได้แก่ คอมพิวเตอร์พู่กันจีน หมากล้อม (โกะ) กิจกรรม การพัฒนาทางวิชาการ และการใช้สอยที่สืบเนื่องดังกล่าวเป็นสิ่งที่เสริมคุณค่าและสร้างชีวิตให้แก่สถาปัตยกรรมของโรงเรียน ทำให้การอนุรักษ์เกิดความหมายขึ้นความแท้จริง

Pei Ing School

  • Location 831 Song Wad Road, Khwaeng Chakrawad, Khet Samphanthawong, Bangkok
  • Architect/Designer Unknown
  • Proprietor Teo Chiw Society of Thailand and Pei Ing School Committe
  • Date of Construction 1916 AD.
  • Conservation Awarded 2002 AD.

History

Pei Ing School has a long history since King Rama VI period. The school was founded by Phra Anuwatratchanitom (Tae Ti Yong) with Mr. Ko Hui Jia, Mr. Kow Pid Ji, Mr. Siao Kiang Ling, Mr. Tang Ho Sang, and some Chinese merchants. The school was officially opened on 24th May 1920.

The architecture is Colonial style, with Neo-classic influences. It is rectangular-planned surrounding an open court in the middle, rusticated walls, and decorated with stuccos.

Pei Ing School has been opened for longer than 80 years. The syllabus includes compulsory, courses as well as 2 foreign languages, English and Chinese. The activities, academic development, and continuous use have enhanced the value of this historic building, making conservation both practical and meaningful.


อาคารเรือนกระจก สวนสัตว์ดุสิต

อ่านเพิ่มเติม

อาคารเรือนกระจก สวนสัตว์ดุสิต

  • ที่ตั้ง สวนสัตว์ดุสิต ถนนพระราม 5 เขตดุสิต กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ มหาเสวกตรี พระยาบริหารราชมานพ
  • ผู้ครอบครอง องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • ปีที่สร้าง สมัยรัชกาลที่ 7
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2545

ประวัติ

อาคารเรือนกระจกเป็นอาคารชั้นเดียว หลังคาปั้นหยาโครงสร้างเหล็ก มุงกระเบื้องดินเผาสีแดงตกแต่งด้วยไม้แกะสลักฉลุลาย เดิมเป็นโครงสร้างไม่ทั้งหมด ต่อมามีการต่อเติมห้องน้ำโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ส่วนประดับอาคารเป็นกระจกสีและคิ้วที่บัวหัวเสา

เรือนกระจกนี้เป็นส่วนสัตว์ดุสิต หรือ “เขาดิน” ที่เรารู้จักกันดี ซึ่งเป็นสวนสัตว์แห่งแรกในประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหลังจากเสด็จประพาสยุโรป และได้ทอดพระเนตรกิจการสวนสัตว์ในประเทศต่างๆ สวนสัตว์ดุสิตได้รับการพัฒนาปรับปรุงมาตลอด และยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมโดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ มาจนปัจจุบัน

การก่อสร้างเรือนกระจกเป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงสวนสัตว์ดุสิตในสมัยรัชกาลที่ 7 โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มหาเสวกตรี พระยาบริหารราชมานพ เป็นผู้อำนวยการโครงการ เมื่อแรกสร้าง เรือนกระจกใช้เป็นที่รับรองเจ้านายชั้นสูง ส่วนในปัจจุบันใช้เป็นอาคารสำนักงานผู้อำนวยการสวนสัตว์ดุสิต

Glass House, Dusit Zoo

  • Location Dusit Zoo, Rama V Road, Khet Dusit, Bangkok
  • Architect/Designer Phraya Borihanratchamanop (Sorn Sonket)
  • Proprietor Zoological Park Organization
  • Date of Construction King Rama VII period.
  • Conservation Awarded 2002 AD.

History

The Glass House is a one-storey building with hipped roof decorated with carved wooden fretwork. The original structure was wooden buy toilet with reinforced concrete structure was added in later period. The house is decorated with coloured glass panes and mouldings at the capitals.

This building is part of Dusit Zoo, the first zoological park in Thailand founded during the reign of King Rama V after his vistits to European Countries. The zoo has been developed continually and has always been one of Bangkok’s most favorite spots, especially amongst children.

The construction of the Glass House was part of Dusit Zoo development project in the reign King Rama VII, who assigned Maha Swektri Phraya Borihanratchamanop as the project director. In those days, the Glass House was a reception hall for members of Royal Family. At present, it serves as office of the Director of Dusit Zoo.


บ้านพระยาอมเรศร์สมบัติ

อ่านเพิ่มเติม

บ้านพระยาอมเรศร์สมบัติ

  • ที่ตั้ง 78 ซอยสามเสน 3 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ
  • สถาปนิก/ผู้ออกแบบ –
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานเขตพระนคร
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2457
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2545

ประวัติ

บ้านพระยาอมเรศร์สมบัติ เป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูน อิทธิพลตะวันตกในแนวอาร์ตแอนด์คราฟท์ส หลังคาทรงจั่วปาดมุม มีมุข 2 มุขทางด้านตะวันตก ก่อสร้างขึ้นราวปี 2457 โดยช่างจีนจากฮ่องกง ลักษณะเด่นคือการจัดพื้นที่ภายในที่ค่อนข้างซับซ้อน และการตกแต่งที่ประณีต อาทิ การปูพื้นด้วยปาร์เกต์ไม้เป็นลวดลายต่างๆ การตกแต่งอาคารด้วยลวดบัว ปูนปั้นและกระจกสี เดิมเป็นอาคารรูปตัว ยู ล้อมที่ว่างเปิดโล่งส่วนกลาง ซึ่งเคยเป็นลานพุ ต่อมามีการต่อเติมหลังคาคลุมเพื่อใช้พื้นที่เป็นห้องโถงภายในอาคาร

บ้านหลังนี้เดิมเป็นบ้านของมหาเสวกตรี พระยาอมเรศร์สมบัติ (ต่วน ศุขะวณิช) เจ้ากรมการผลประโยชน์ ต่อมาในปี 2487 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พระยาอมเรศร์สมบัติได้ขายบ้านหลังนี้ให้ดับนายฉวี โกมลกิติ จากนั้นสถานเอกอัครราชทูตเวียดนามได้ซื้อเพื่อใช้เป็นที่ทำการช่วงปี 2496-2516 ต่อมาในปี2516 กรุงเทพมหานคร ได้ซื้ออาคารเพื่อใช้เป็นสำนักงานเขตมาจนถึงปัจจุบัน

Phraya Amaretsombat House

  • Location 78 Soi Samsen 3, Samsen Road, Khet Phra Nakhon, Bangkok
  • Architect/Designer Unknown
  • Proprietor Khet Phra Nakhon
  • Date of Construction 1914 AD.
  • Conservation Awarded 2002 AD

History

Phraya Amaretsombat house is architecture of Arts and Crafts style built circa 1914 AD by Chinese builders from Hong Kong. It is hipped gable roof with 2 porches on western side. The interior is finely decoratedwith patterned teak parquets, mouldings, stuccos and coloured glass panes. The original plan of the house was U-shaped with an open fountain court in the middle; however, the court was later roofed in order to gain more interior space.

The house originally belonged to Phraya Amaretsombat, Head of Revenue Department in the reign of King Rama VI. After WWII, he sold this house to Mr. Chawi Komolkiti in 1944. Later, it was sold and used as the Vietnamese Embassy during 1953 – 1973, before it was acquired by the Bangkok Metropolitan Administration to be as Khet Phra Nakhon office until today.


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้