พ.ศ. 2548

คุ้มเจ้าบุรีรัตน์ (มหาอินทร์)

อ่านเพิ่มเติม

คุ้มเจ้าบุรีรัตน์ (มหาอินทร์)

  • ที่ตั้ง เลขที่ 117 ถนนราชดำเนิน ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
  • ผู้ครอบครอง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2432 – 2436
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2548

ประวัติ

คุ้มเจ้าบุรีรัตน์ เดิมเป็นที่พักอาศัยของเจ้าบุรีรัตน์ (มหาอินทร์) หลานของเจ้าหลวงคำฝั้น (เจ้าหลวงเชียงใหม่ องค์ที่ 3) สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ต่อมาเจ้าน้อยชมชื่น ณ เชียงใหม่ บุตรชายเจ้าบุรีรัตน์ (มหาอินทร์) ได้รับมรดกตกทอดเป็นผู้ครอบครองคุ้มในระหว่างปี พ.ศ. 2437 – 2489 จนเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2490 นางบัวผัน นิกรพันธ์(ทิพย์มณฑล) ได้ซื้อคุ้มนี้ต่อจากเจ้าบุษบา ณ เชียงใหม่ ภริยาเจ้าน้อยชมชื่น ณ เชียงใหม่ และเป็นมรดกมาจนถึงคุณเรียงพันธ์ ทิพย์มณฑลต่อมาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2544 ตระกูลกิติบุตรและทิพย์มณฑลได้มอบคุ้มเจ้าบุรีรัตน์ให้แก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อใช้เป็นที่ทำการศูนย์สถาปัตยกรรมล้านนา ภายใต้การดูแลและดำเนินงานของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อาคารคุ้มเจ้าบุรีรัตน์ (มหาอินทร์) มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบเป็นแบบตะวันตกผสมผสานสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นล้านนา ลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐหนาเป็นรูปโค้ง (Arch) ฉาบปูน มีทางเดินโดยรอบอาคาร ชั้นบนเป็นพื้นไม้สักมีระเบียงโดยรอบ ราวระเบียงและลูกกรงเป็นไม้ฉลุลาย บันไดขึ้นชั้นบนตกแต่งด้วยราวบันไดไม้ฉลุ ผนังภายในชั้นบนเป็นไม้ ประตูและหน้าต่างเป็นไม้หลังคาอาคารเป็นแบบปั้นหยาผสมหลังคาจั่วคลุมระเบียงโดยรอบ มุงด้วยกระเบื้องดินขอ

อาคารคุ้มเจ้าบุรีรัตน์ (มหาอินทร์) แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมที่สำคัญ โดยการปรับเปลี่ยนพื้นใช้สอยภายในอาคารเพื่อการรวบรวม จัดเก็บ จัดแสดง ศึกษาค้นคว้า และเป็นศูนย์กลางที่สำคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาคในการเผยแพร่ความรู้แก่นักศึกษา นักวิจัย และผู้สนใจทั่วไปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมล้านนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

Khum Chao Burirat (Maha-In)

  • Location 117 Ratchadamnoen Road, Tambon Si Phum, Amphoe Mueang, Chiang Mai Province
  • Proprietor Chiang Mai University
  • Date of Construction 1889-1893
  • Conservation Awarded 2005

History

Khum Chao Burirat, constructed during the reign of King Rama V, was originally a residence for Chao Burirat (Maha-In), a grandson of Chao Luang Khamfan (the third ruler of Chiang Mai). The building was later inherited to Chao Noi Chomchuen Na Chiang Mai, a son of Chao Burirat, from 1894 to 1946 before Chao Butsaba Na Chiang Mai, a wife of Chao Noi Chomchuen, selling it toMrs. Buaphan Nikonphan (Thipmonthon) in 1947. The house became an inheritance of Thipmonthon family until Riangphan Thipmonthon and Kitibut family gave this building to Chiang Mai University on 9th March 2001 to serve as the office of Lanna Architecture Center under the control of Faculty of Architecture, Chiang Mai University.

Combining Western and Traditional Lanna architectures, Khum Chao Burirat is a 2-storey building whose ground floor was built of thick cemented bricks in arch form and surrounded by passageways. The upper floor features teak floors as well as wooden walls, doors and windows. Balconies encircle the upper floor in which railings, balustrades and balusters are wooden openwork. Hip and gable roofs made of terracotta tiles cover the balconies all through.

Khum Chao Burirat represents a determination to preserve the significant historical heritage by adapting the building’s functional areas for researching, compiling and exhibiting information to serve as a knowledge hub for students, researchers and general public interested in Lanna architecture.


อาคารนิทรรศการถาวรพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี

อ่านเพิ่มเติม

อาคารนิทรรศการถาวรพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี

  • ที่ตั้ง ถนนวรเดช ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
  • บูรณะโดย กรมศิลปากร
  • ผู้ครอบครอง กรมศิลปากร
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2465
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2548

ประวัติ

อาคารนิทรรศการถาวร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อใช้เป็นที่ว่าการเมืองราชบุรีและที่ว่าการมณฑลราชบุรี ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 เมื่อมีการประกาศยกเลิกระบอบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล และมีการจัดระเบียบการปกครองขึ้นใหม่เป็นจังหวัดและอำเภอ อาคารหลังนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นศาลากลางจังหวัดราชบุรีจนถึงวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 เมื่อได้มีการย้ายไปใช้ศาลากลางจังหวัดราชบุรีหลังปัจจุบัน หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2520 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนอาคารหลังนี้เป็นโบราณสถานของชาติต่อมากรมศิลปากรได้ขอใช้อาคารเพื่อจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี โดยได้บูรณะอาคารในปี พ.ศ. 2528 – 2529และเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2534 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นประธานในพิธีเปิด ปัจจุบันจัดแสดงทั้งสิ้น 10 ห้อง ได้แก่ ห้องธรณีวิทยา ห้องก่อนประวัติศาสตร์ ห้องทวารวดี ห้องลพบุรี ห้องอยุธยา ห้องรัตนโกสินทร์ห้องราชบุรีวันนี้ ห้องวัฒนธรรมพื้นบ้าน ห้องโอ่งมังกร และห้องกีฬา

ผังอาคารนิทรรศการถาวร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบตึกสี่หลังล้อมสนามสี่เหลี่ยม มีตึกกลางคั่นแบ่งสนามเป็น 2 ส่วน ซึ่งจัดเป็นสวนภายในบรรยากาศเรียบง่ายและร่มรื่นสวยงาม ขนาดอาคารกว้าง 30 เมตร และยาว 57 เมตร และขนาดสนามกลางอาคารทั้ง2 สนาม กว้าง 13 เมตร และยาว 17 เมตร ลักษณะอาคารเป็นแบบอาคารก่ออิฐฉาบปูนชั้นเดียวยกพื้นสูง ผนังด้านนอกทึบไม่มีระเบียง หลังคาทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว จุดเด่นอยู่ที่ มุขกลางที่มีมุขโถงยื่นออกมาเป็นที่เทียบรถ ผนังมุขเป็นเสาสี่เหลี่ยมใหญ่เรียงชิดกัน ข้างละ 3 ต้น รับคานเครื่องบนประดับหน้าบันทรงโค้งหลายตอนแบบศิลปะตะวันตก กลางหน้าบันประดับปูนปั้นตราครุฑ ประตูหน้าต่างเป็นบานเกล็ดไม้ ด้านบนเป็นช่องแสงกรุกระจก เหนือหน้าต่างประดับลายปูนปั้น

ตลอดระยะเวลาที่ผ่าน อาคารนิทรรศการถาวร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ทำให้อาคารยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์ สามารถเป็นตัวอย่างของอาคารศาลากลางจังหวัดขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่ยังคงรักษารูปแบบและวัสดุดั้งเดิมเอาไว้ได้

Permanent Exhibition Hall, Ratchaburi National Museum (Former Ratchaburi Provincial Hall)

  • Location Woradet Road, Tambon Na Mueang, Amphoe Mueang, Ratchaburi Province
  • Proprietor Fine Arts Department
  • Date of Construction 1922
  • Conservation Awarded 2005

History

Permanent Exhibition Hall, Ratchaburi National Museum was constructed during the reign of King Rama VI, to serve as a government house of Monthon Ratchaburi (Ratchaburi Administrative Unit). Due to the reformation of Thailand’s administrative system in 1933, the building became a provincial hall for 48 years and was replaced by the new office in 1981. Thus the Fine Arts Department requested the building to be established as Ratchaburi National Museum, officially opened on 14th October 1991 and presided over by H.R.H. Princess Maha Chakri Sirindhorn.At present, the museum displays 10 exhibition rooms.

Permanent exhibition hall of Ratchaburi National Museum has four rectangular buildings embracing four sides of courtyard in which one building was situated right in the middle of courtyard and divided the courtyard into 2 parts; each part is approximately 13 metres in width and 17 metres in length. The courtyard was arranged as inner gardens enhancing the building’s pleasant atmosphere. The exhibition hall is 30 x 57 metres, single-storey with raised wooden floor and built of cement brick. It has no balcony and its roofs are finished with kite shaped concrete roof tiles. Another distinguished feature is the portico main entrance with the pillars. The centre of tympanum decorates with stucco moulding of Guruda. The parts of doors and windows are wooden louvers while the headlights are translucent glass panels and stucco moulding.

The Permanent Exhibition Hall of Ratchaburi National Museum has consistently been preserved in proper condition and it represents the large-scaled provincial hall enduring in forms and materials for almost 100 years.


อาคารสำนักงานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์

อ่านเพิ่มเติม

อาคารสำนักงานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์

  • ที่ตั้ง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ ถนนสรศักดิ์ ตำบลท่าหิน อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
  • ผู้ครอบครอง กรมศิลปากร
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2548

ประวัติ

อาคารสำนักงานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ (บ้านหลังเขียว) เดิมเป็นบ้านพักของผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี เมื่อครั้งที่ใช้พระที่นั่งในพระราชวังเป็นศาลากลาง และส่วนอุทยานใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ ต่อมาภายหลังบ้านพักดังกล่าวใช้เป็นที่พักของครูโรงเรียนลพบุรีวิทยา ของครูจำลอง ซึ่งมีโรงเรียนตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกของวังนารายณ์ เมื่อโรงเรียนย้ายออกไป บ้านหลังนี้จึงถูกใช้เป็นบ้านพักเยาวชน โดยมีอาจารย์ขุน กงผล รับผิดชอบในช่วงปี พ.ศ. 2507 – 2511โดยให้เยาวชนชาวต่างชาติเข้าพักค้างคืน

ภายหลังปี พ.ศ. 2511 บ้านหลังเขียวได้ใช้เป็นที่พักของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรพักอาศัย และต่อมาได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมใช้เป็นสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติปี 2536 โดยได้รับงบประมาณอนุรักษ์และพัฒนา และปัจจุบันจึงใช้เป็นอาคารสำนักงานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์

ตัวอาคารเป็นอาคารไม้สักทอง 2 ชั้นยกพื้นสูง หลังคาทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องว่าว ด้านหน้าทำมุขและระเบียงตลอดแนวอาคารตรงกลางเป็นห้องโถงมีบันไดเวียนขึ้นชั้นบน ปีกอาคาร 2 ข้าง กั้นเป็นห้องสำหรับใช้สอยทั้ง 2 ชั้น ผนังของอาคารเป็นรางไม้ลิ้น ทำช่องประตูด้านหน้าโดยรอบ ด้านหลังมีอาคารไม้ขนาดเล็กเป็นอาคารบริวารอีก 1 หลัง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ ยังคงดูแลรักษาอาคารสำนักงานเป็นอย่างดี และถือว่าเป็นอาคารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม ที่ควรได้รับการอนุรักษ์สืบต่อไป

Somdet Phra Narai National Museum Office

  • Location Somdet Pra Narai National museum, Sorasak Road ,Tam bon Tha Hin, Amphoe Mueang, Lop Buri
  • Province Proprietor Find Arts Department
  • Conservation Awarded 2005

History

Somdet Pra Narai national museum’s office, once, was th. 2507 – 2511โดยให้เยาวชน – ชาวต่างชาติเข้าพักค้างคืนe Lopburi governor’s house. Back then, throne hall was used as town hall and the park area was a correctional facility. Then, it was used as Lopburi Witthaya school teacher’s residence. After the school had moved, it was turned into a youth hostel. In 1968, it became a residence for Fine Arts department authority. And in 1993 it was renovated and changed into the museum office until today.

The building structure was made of teak with raised floor, hipped roof and kite shaped concrete roof tiles. It has balcony all along the building. In the main hall there is a winder staircase. Both wings of the building were made into rooms on both floors. On the wall, it was found wooden gooving for sliding doors and windows.


พิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐาน

อ่านเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐาน

  • ที่ตั้ง หมู่ 3 เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี
  • ผู้ครอบครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2432
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2548

ประวัติ

พระจุฑาธุชราชฐาน ตั้งอยู่บริเวณแหลมวัง เกาะสีชัง ซึ่งเป็นที่เสด็จประพาสของพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งพระองค์ทรงปฏิสังขรณ์วัดที่ชาวบ้านสร้างขึ้นแต่มิได้ทรงพระราชทานชื่อวัด ต่อมารัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ได้เสด็จประพาสเกาะสีชังเป็นครั้งคราวแล้วในปี พ.ศ. 2431 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธทรงประชวร แพทย์ได้แนะนำให้เสด็จมาประทับในที่ซึ่งได้อากาศชายทะเลพระองค์ทรงประทับที่เรือนหลวงที่สร้างมาแต่เดิม ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีฯ ทรงประชวร จึงเสด็จมาประทับที่เกาะสีชังด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งเสด็จมาด้วยในครั้งนั้น ทรงมีพระราชดำริให้หาที่สร้างพระอารามใหม่แทนที่วัดเดิมในท้องที่เพื่อมิให้พลุกพล่าน แล้วต่อมาได้สถาปนาขึ้นเป็นวัดอัษฎางคนิมิต และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างตึกขึ้น 3 หลัง เรียกว่า อาไศรยสถาน ซึ่งได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดตึกในปี พ.ศ. 2432 พระราชทานนามว่า ตึกวัฒนา ตึกผ่องศรี และตึกอภิรมย์ ตามพระนามของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีฯ และพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ฯ ต่อมาได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระที่นั่งโกสีย์วสุภัณฑ์ พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ พระที่นั่งโชติรสประภาต์ และพระที่นั่งเมขลามณี กับพระตำหนักอีก 14 หลังรวมเป็นพระราชฐาน โดยตำหนักมรกฎสุทธ์เป็นที่ประสูติของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฑาธุชธลาดิลก อันเป็นที่มาของชื่อพระราชฐาน เมื่อเกิดกรณีพิพาทร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส มีกองทหารบุกขึ้นเกาะสีชังจึงไม่เป็นที่ปลอดภัย การก่อสร้างพระที่นั่งต่างๆ ก็หยุดชะงักลง ต่อมาทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รื้อย้ายพระที่นั่งและตำหนักต่างๆ ที่สร้างด้วยเครื่องไม้ไปก่อสร้างที่อื่นโดยพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ซึ่งเป็นพระที่นั่งไม้สักองค์ใหญ่ ทรงแปดเหลี่ยม 3 ชั้น ไปสร้างริมอ่างหยกในพระราชวังสวนดุสิตและพระราชทานนามใหม่ว่า พระที่นั่งวิมานเมฆ หลังจากนั้นพระจุฑาธุชราชฐานนี้ก็ได้ใช้เป็นที่สำหรับกิจการต่างๆ จนในปี พ.ศ. 2521 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับมอบสิทธิการใช้ที่ดินจากกรมธนารักษ์ โดยใช้พื้นที่ส่วนหนึ่ง ประมาณ 5 ไร่ จัดตั้งสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล และศูนย์ฝึกนิสิต พร้อมทั้งดูแลรักษาโบราณสถานและโบราณวัตถุในเขตที่ดิน ดังกล่าวให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน

อาคารสำคัญ อาทิ ตึกวัฒนาเป็นตึก 2 ชั้น หลังคาปั้นหยา ด้านหน้าเป็นระเบียงลูกกรงไม้ ตึกผ่องศรีเป็นตึกกลมชั้นเดียวหลังคาปั้นหยา 16 เหลี่ยม ยกคอสองตรงกลาง ตึกอภิรมย์เป็นตึกสี่เหลี่ยมผืนผ้าชั้นเดียว 2 หลังขนานกัน หลังคาปั้นหยาเรือนริมน้ำเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวและ 2 ชั้น หลังคาปั้นหยามีระเบียงลูกกรงไม้ อาคารทุกหลังที่กล่าวมามีรูปแบบสถาปัตยกรรมโคโลเนียล ซึ่งมีความโปร่งสบาย อีกทั้งตกแต่งแบบเรียบง่าย พระอุโบสถวัดอัษฎางคนิมิตร ประกอบด้วยอาคารทรงกลม ก่ออิฐฉาบปูนเซาะร่องตามแนวนอน หน้าต่างโค้งแหลม ช่องแสงกระจกสี หลังคาเป็นเจดีย์ทรงระฆัง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป โดยรอบพระอุโบสถเป็นลานประทักษิณปูหินอ่อน เสมาเป็นหินรูปทรงธรรมชาติ จารึกคำสอนในพระพุทธศาสนา

ในปี พ.ศ. 2545 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ปรับปรุงพระจุฑาธุชราชฐานเพื่อจัดเป็นพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ โดยในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2547 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑ์พระจุฑาธุชราชฐาน มีตึกวัฒนาจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเหตุการสำคัญบนเกาะสีชังสมัยรัชกาลที่ 5 ตึกผ่องศรีจัดแสดงพระราชประวัติและประวัติบุคคลผู้มีบทบาทสำคัญต่อเกาะสีชังในอดีตและตึกอภิรมย์จัดแสดงเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างสมัยรัชกาลที่ 5 ส่วนเรือนไม้ริมน้ำ ชั้นบนจัดนิทรรศการและชั้นล่างใช้เป็นร้านอาหารและร้านกาแฟ

Chuthathut Ratchathan Museum

  • Location Mu 3 Si Chang Island, Chonburi Province
  • Proprietor Chulalongkorn University
  • Date of Construction 1889
  • Conservation Awarded 2005

History

Phrachutathut Ratchathan (Chutathut Ratchathan Palace ), located in Wang Cape of Si Chang Island, was renovated from a temple by King Rama IV to be a resort for his royal family. In 1889, 3 buildings named Wattana, Phorng Si and Aphirom were found by King Rama V. Afterwards more 14 villa royal residences were established in order to be one of the palace. In 1893, a dispute between Thailand and France causing an army troop to invade Si Chang Island, the palace was no longer a safety place. The building construction was ceased and the wooden throne halls and pavilions were moved and rebuilt at other sites. Manthat Rattanaroj throne hall, a large 3 storey octagonal teakwood hall was reestablished at Suan Dusit Palace and renamed as Vimanmek Mansion. In 1978, Chalalongkorn University was given the right of Phrachutathut Ratchathan land use from Treasury Department and built Marine Science Research Center and Students Training Center and at the same time preserved historical structures and elements in the palace for the public.

The important buildings are Wattana, 2 storey structure with hipped roof and wooden balustrades front corridor, Phorng Si, single storey building with 16 angle hipped roof and clerestory in the middle of the roofs, Aphirom, 2 rectangular one storey building with hipped roof, The Wooden Seaside Pavilions, comprising both 1 and 2 storeys with hipped roof and wooden railing balcony. All the buildings mentioned above are Colonial architectureswith simple decorations emphasizing harmony with the environment and good ventilation. Another insignificant construction is Ubosatha ( ordination hall ) of AsadangkhanimitTemple. The round hall was made from brick masonry with pointed arch windows, stained glass fenestra and bell shape pagoda roof. The hall enshrining a Buddha images is surrounded by round marble paved terrace and has boundary natural stones on which inscribed the teachings of Buddha.

In 2002, Chulanlongkorn University renovated the palace to be used as a museum and historical tourism attraction. Wattana Building exhibits important events on Si Chang Island in the reign of King Rama V. Phorng Si Building holds an exhibition on biographies of the King, royal family members and important persons on the island in the past. Aphirom Building presents the construction in the reign of King Rama V. As for the Wooden Seaside Pavilion, the upper floor is an exhibition hall and the ground floor is for a restaurant and coffee shop.


อาคารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา

อ่านเพิ่มเติม

อาคารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา

  • ที่ตั้ง เลขที่ 122/6 ถนนมรุพงษ์ ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบไม่ปรากฏชื่อ
  • ผู้ออกแบบอนุรักษ์ครั้งที่ 1 กรมศิลปากร ,ผู้ออกแบบอนุรักษ์ครั้งที่ 2 Interior Architecture 103 Co., Ltd.
  • ผู้ครอบครอง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2446 – 2449
  • ปีที่อนุรักษ์ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2540
  • ปีที่อนุรักษ์ครั้งที่2 ปี พ.ศ. 2548
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2548

ประวัติ

อาคารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เดิมเป็นอาคารที่ทำการมณฑลปราจีนบุรี สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงเวลาที่การปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลเริ่มต้นขึ้น โดยมีการย้ายที่ทำการมณฑลปราจีนบุรีจากเมืองปราจีนบุรีมาตั้งที่เมืองฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2445 หลังจากนั้น 1 ปี จึงมีการสร้างอาคารหลังนี้ ภายหลังอาคารได้ถูกใช้เป็นศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา และระหว่างปี พ.ศ. 2506 – 2518 ใช้เป็นที่ตั้งของสำนักงานเทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา ต่อมาในปี พ.ศ. 2520กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนอาคารหลังนี้เป็นโบราณสถาน หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2527อาคารถูกเพลิงไหม้เสียหาย ถูกทิ้งร้างและไม่มีการซ่อมแซม จนกระทั่งมีการตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่ดิน และพบว่าที่ดินบริเวณที่ตั้งอาคารเป็นกรรมสิทธิ์ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กรมธนารักษ์จึงได้ส่งมอบพื้นที่คืน เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2527 ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ 4ปราจีนบุรี กรมศิลปากร ได้ดำเนินการบูรณะอาคารครั้งแรก และในปี พ.ศ. 2548 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้เข้าทำการปรับปรุงอาคารอีกครั้งเพื่อให้มีลักษณะใกล้เคียงกับอาคารศาลากลางมณฑลปราจีนบุรีเมื่อแรกสร้างและได้ใช้เป็นอาคารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

อาคารสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนชั้นเดียว กว้าง 19 เมตร ยาว 73 เมตร หลังคาทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องซีเมนต์ มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบนิโอคลาสสิค ผสมผสานกับฝีมือช่างและเทคโนโลยีท้องถิ่น ผังพื้นอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบยาวแบบรูปตัวอี (E) เน้นที่มุขกลางและปลายทั้ง 2 ข้าง โดยมีปีกเป็นตัวเชื่อม ห้องทำงานวางตรงแนวกลางอาคาร มีระเบียงขนาบทั้ง 2 ข้าง ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จุดเด่นของอาคาร คือ มุขกลางที่ยื่นเก็จเป็นผนังด้านหน้าความกว้าง 3 ช่วงโครงสร้างคานโค้ง ช่วงกลางเสามีแผงหน้าบัน หลังคาจั่วแบบวิหารกรีก ชนิดเปิดคานทับหลัง หน้าบันประดับปูนปั้นตราครุฑ

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้เข้ามาบูรณะปรับปรุงอาคารตามหลักวิชาการ มีการอนุรักษ์โครงสร้างแบบเดิม ดัดแปลงและปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยเพื่อให้เหมาะสมเป็นสำนักงาน และสามารถรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมของอาคารเอาไว้ได้

Office of the Crown Property Bureau (Government Hall of Monthon Prachin)

  • Location 122/6 Maruphong Road, Tambon Na Mueang, Amphoe Mueang, Chachoengsao
  • Architect / Designer not find name
  • Conservation Designer 1st Fine Arts Department
  • Conservation Designer 2 nd Interior Architecture 103 Co., Ltd.
  • Proprietor The Crown Property Bureau
  • Date of Construction 1903 – 1906 AD.
  • Conservation Awarded 2005

History

Office of the Crown Property Bureau (Government Hall of Monthon Prachin) is a single-storey, Colonial architecture with Neo-classical influence. The building measures 19 x 73 metres, brick masonry structure, raised floor, hipped roof finished with cement tiles. There are 3 porticosextended from the building namely, the left wing, the right wing, and central portico, which is the main entrance comprising 3 round arches beneath a high gable with pediment decorated with Garuda emblem. The Government Hall of Monthon Prachin is part of the history of Thai administrativesystem. By initiation of King Rama V who wished to streamline the administrative system of Thailand so that the country could have better potential against the strong current of colonization in that period, regional administration was set up by dividing the country into administrative units called “Monthon”. The head office of Monthon Prachin was moved to the town of Chachoengsao on 8thJanuary, 1902, and constructed later in 1903 and completed in 1906.

The building was used as office of Chachoengsao Municipality in 1963.

In 1977, the Fine Arts Department declared the building as a National Monument and defined the area of the property as part of monument declaration.

On 1stJanuary, 1984, the building was damaged by fire. Because of the accident, the ownership of the property was verified, thus it was known that the true owner of the property was the Crown Property Bureau. Therefore, the Treasury Department returned the property to the bureau on 14thJune, 1984. Several years later, in 1997, restoration was carried out by the Fine Arts Department.


ตึกนารีสโมสรและตึกแสงอาทิตย์

อ่านเพิ่มเติม

ตึกนารีสโมสรและตึกแสงอาทิตย์

  • ที่ตั้ง ทำเนียบรัฐบาล เลขที่ 1 ถนนพิษณุโลก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
  • ผู้ครอบครอง สำนักนายกรัฐมนตรี
  • ปีที่สร้าง สมัยรัชกาลที่ 6
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2548

ประวัติ

พื้นที่ทำเนียบรัฐบาล เดิมคือ บ้านนรสิงห์ ซึ่งเริ่มต้นมีเพียงตึกไกรสรเป็นอาคารหลัก โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างพระราชทานแก่ พลเรือเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กและผู้บัญชาการกรมมหรสพ หลังจากนั้น เจ้าพระยา รามราฆพ ได้สร้างตึกพระขรรค์ และตึกแสงอาทิตย์ รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ภายในบริเวณบ้าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 รัฐบาล ได้ซื้อบ้านนรสิงห์เพื่อใช้เป็นที่ตั้งทำเนียบรัฐบาล และเปลี่ยนชื่อตึกไกรสอนเป็นตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อบ้านนรสิงห์เปลี่ยนเป็น ทำเนียบสามัคคีชัย (ชื่อในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี) ก็ได้เปลี่ยนชื่อตึกพระขรรค์เป็นตึกนารีสโมสร ใช้เป็นที่ประชุมงานในส่วนของท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ปัจจุบันเป็นที่ทำการสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ส่วนตึกแสงอาทิตย์นั้นปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการไปรษณีย์ สาขาทำเนียบรัฐบาล

ตึกนารีสโมสร เป็นอาคารชั้นเดียว รูปแบบสถาปัตยกรรมเอคเลคติค (Eclectic) ลักษณะเด่นของอาคารคือการใช้องค์ประกอบสถาปัตยกรรมที่หลากหลายมาผสมผสานกัน อาทิ ทรงหลังคาปั้นหยาเปลี่ยนมุม ทางเข้าซุ้มโค้งครึ่งวงกลม หน้าต่างรูปทรงเรขาคณิต มุขทรงโค้ง และหลายเหลี่ยม ประกอบด้วย เสาประดับและลวดลายปูนปั้น ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมอิทธิพลตะวันตกที่เป็นที่นิยมสมัยรัชกาลที่ 6

ตึกแสงอาทิตย์ ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของตึกนารีสโมสร เดิมเป็นที่ตั้งของห้องบันไดที่ใช้เชื่อมต่อไปยังตึกอื่นๆ แต่ปัจจุบัน ทางเชื่อมได้ถูกตัดออก รวมทั้งตึกที่เชื่อมต่อกัน อาทิ ตึกพึ่งบุญ และตึกในกลุ่มเดียวกัน (ปัจจุบันหลายอาคารได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว) ร่องรอยของทางเชื่อมยังปรากฏอยู่เป็นกันสาดของประตูทางเข้าตึกแสงอาทิตย์ในปัจจุบัน รูปแบบของอาคารเป็นอาคาร 3 ชั้นหลังคาปั้นหยาเปลี่ยนมุม รูปแบบสถาปัตยกรรมเอคเลคติค (Eclectic) ผังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสปาดมุมทั้ง 4 ด้าน ตกแต่งผนังด้วยลวดบัว หน้าต่างชั้นล่างเรียงลดหลั่นตามแนวบันได หน้าต่างชั้นบนสุดปาดมุมบนทั้งสองข้าง ลักษณะโดยรวมเหมือนหอคอย

ถึงแม้อาคารหลายหลังในบริเวณบ้านนรสิงห์จะถูกรื้อถอนไปแล้ว แต่อาคารที่ยังคงอยู่ก็ยังได้ทำประโยชน์ ทรงคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ เป็นโบราณสถานและมรดกวัฒนธรรมที่มีชีวิต ซึ่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลต่างๆ ได้ทำการอนุรักษ์อาคารทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงอยู่เป็นลำดับ เพื่อรักษามรดกทางวัฒนธรรมและการใช้สอยที่เหมาะสม

Narisamoson Building, Saeng Athit Building, Government House

  • Location Government House, Nakhon Pathom Road, Khwaeng Dusit, Khet Dusit, Bangkok
  • Proprietor Office of the Prime Minister
  • Date of Construction Reign of King Rama VI
  • Conservation Awarded 2005

History

The Government House was originally called “Ban Norasing”, a noble residence built by order of King Rama VI to be given to Admiral Chao Phraya Ramrakhop (Mom Luang Fuea Phuengbun), who was the Viceroy of the Royal Household and Commander of Department of Performance Arts. In later periods, the government bought the house to be used as the Office of the Prime Minister since 1941.

Buildings in the complex which have received the Architectural Award 2005 are Narisamoson Building and Saeng Athit Building.

Narisamoson Building is a single-storey, Eclectic style architecture originally called “Tuek Phra Khan” (Phra Khan Building), a contemporary building to Tuek Thai Khu Fa (originally “Tuek Kraison”). The building’s distinguished features are the mixture of various architectural elements i.e. mansard roof, true arched entrance porch, geometric-shaped windows, curved and polygonal porticos with decorative columns and stuccos ornaments; Western influenced style popular in the reign of King Rama VI. At present, the building is used as an office building.

Saeng Athit Building is situated to the south of Narisamoson Building. It was originally a staircase hall that linked a group of buildings in the house. Later, the connecting corridors were removed and adjacent buildings were demolished i.e. Tuek Phueng Bun and other buildings in the group. Trace of a connecting corridor still remains as a canopy over the entrance. The building is 3-storey, mansard roof, Eclectic style architecture with cut-cornered rectangular plan. The walls are decorated with mouldings, windows on lower floors are placed on different levels following the staircase slope and the windows on top floor are cut-cornered at the top. Overall image of the building is similar to a tower. It is used as Government House Branch of Thailand Post.

Although several buildings in the Norasing House complex were demolished, the remaining ones are still functional as well as being of historic value and a monumental cultural heritage.


ตำหนักใหญ่วังเทวะเวสม์ ธนาคารแห่งประเทศไทย

อ่านเพิ่มเติม

ตำหนักใหญ่วังเทวะเวสม์ ธนาคารแห่งประเทศไทย

  • ที่ตั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบเอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์
  • ผู้ออกแบบอนุรักษ์ กรมศิลปากรโดยจี้เท้ง ปิยะกาญจน์ และกิตติพันธ์ พานสุวรรณ
  • ผู้ครอบครอง ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2459
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2548

ประวัติ

ตำหนักใหญ่เป็นอาคารหนึ่งในวังเทวะเวสม์ ซึ่งเป็นวังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างขึ้นเพื่อพระราชทานแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการต้นราชสกุลเทวกุล โดยการก่อสร้างวังเทวะเวสม์เริ่มสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2457 สำหรับตำหนักใหญ่นั้นเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ และพระโอรสธิดาที่ประสูติแต่หม่อมใหญ่ มีนายเอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ ชาวอังกฤษ เป็นผู้ออกแบบในปี พ.ศ.2458 โดยพระองค์ทรงเลือกวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง การก่อสร้างตำหนักใหญ่แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2459 หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ในปีพ.ศ. 2466 พื้นที่วังทั้งหมดตกทอดสู่พระทายาทราชสกุลเทวกุล ต่อมากระทรวงสาธารณสุขได้ขอซื้อที่ดินบางส่วนรวมถึงตำหนักใหญ่ด้วยเพื่อเป็นที่ทำการกระทรวงในปี พ.ศ.2493 หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้ย้ายออกไป ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้ามาดูแลวังเทวะเวสม์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 จนถึงปัจจุบัน

ตำหนักใหญ่เป็นอาคาร 3 ชั้น และมีมุขหน้าสูงขึ้นเป็น 4 ชั้น รูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบคลาสสิครีไววัล (Classic Revival) ผังพื้นอาคารเป็นรูปตัวแอล (L) หันหน้าเข้าหาแม่น้ำเจ้าพระยา หลังคามุงกระเบื้องว่าวสีแดงมีการตกแต่งอาคารด้วยปูนปั้น จุดเด่นของอาคาร คือ มุขทางเข้าด้านหน้า โดยชั้นล่างเป็นซุ้มโล่งยื่นออกมาจากตัวอาคารสำหรับเทียบรถยนต์รองรับด้วยเสาไอโอนิค ชั้น 2 และ 3 ของมุขด้านหน้าเป็นระเบียงลูกกรงปูน ผนังลดหลั่นกันเข้าไปตามลำดับ โดยผนังชั้น 3 ทำเป็นหน้าจั่วกลางมีปีกยื่นออกสองข้างแบบสมมาตร เหนือขึ้นไปเป็นผนังชั้นที่ 4 ของมุขหน้า ไม่มีระเบียง มีลักษณะเป็นห้องมีหน้าต่างรอบ หลังคาแบนล้อมรอบด้วยลูกกรงปูนปั้น ซึ่งห้องชั้น 4 นี้เป็นห้องพระและห้องเก็บอัฐิ ประตูหน้าต่างของตำหนักเป็นบานไม้ มีช่องแสงกระจกใสเหนือหน้าต่าง และซุ้มเหนือหน้าต่างเป็นปูนปั้น ใต้หน้าต่างชั้น 2 และชั้น 3 เป็นลูกกรงโปร่งเพื่อระบายอากาศ มีบานชักเปิดปิดได้ การตกแต่งภายในของตำหนักใหญ่ประกอบด้วยไม้แกะสลักและฉลุโปร่งเป็นกรอบบานและช่องระบายอากาศเหนือบานประตูผนังช่วงล่างกรุไม้ตกแต่งเป็นลูกฟัก พื้นปาเก้ไม้สักสลับสี สลับลาย พื้นทางเดินปูหินอ่อน ฝ้าเพดานปูนหล่อเป็นลวดลาย ผนังห้องเป็นปูนฉาบทาสี นอกจากนี้ก็มีการใช้ลวดบัวปูนปั้นตกแต่งองค์ประกอบภายใน เช่น คานบัวฝ้าเพดาน และกรอบประตู เป็นต้น

วังเทวะเวสม์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ปัจจุบัน ตำหนักใหญ่วังเทวะเวสม์อยู่ในความดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งได้ดำเนินการอนุรักษ์ตัวตำหนักและอาคารอื่นๆ ในวังเทวะเวสม์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 ให้กลับมีสภาพใกล้เคียงกับวังเดิมหลังจากผ่านการใช้สอยในฐานะที่ทำการกระทรวงสาธารณสุขเป็นเวลานาน และเปิดเป็นส่วนหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547

Tamnak Yai Wang Thewawet (Main Residential Hall,Thewawet Palace) Bank of Thailand

  • Location Bank of Thailand, Samsen Road, Wat Samphraya, Phra Nakhon, Bangkok
  • Architect/Designer Edward Healy Conservation
  • Designer Fine Arts Department by Jeetheng Piyakarn & Kittipan Phansuwan
  • Proprietor Bank of Thailand
  • Construction Date 1916
  • Conservation Awarded 2005

History

Tamnak Yai is one building of Wang Thewawet (Thewawet Palace),bestowed by King Rama VI to H.R.H. Prince Krommaphraya Thewawongwaropakan, the founder of Thewakun family. Construction of the palace began in 1914 and the first building in the palace was Tamnak Yai (Main Residential Hall), built in 1916, as a residence of H.R.H. the Prince and his children of Mom Yai (his principal wife). It was designed by Mr. Edward Healy, an English architect, and H.R.H. the Prince selected most of the construction and decoration materials himself. Tamnak Yai was completed in 1916. After H.R.H. the Prince‘s demise in 1923, the whole palace was inherited to Thewakun heirs. Ministry of Public Health has subsequently purchased some parts of the property and converted to the Ministy’s office in 1950. Bank of Thailand later became the following proprietor from 1987 to present.

Tamnak Yai is a 3-storey building with a 4-storey front portico. Its architecture is Classic Revival which features L-shaped plan facing Chao Phraya River. Roofing materials are red cement tiles and decorative elements include capitals and mouldings made of stucco. The prominent feature of the building is its front portico comprising the entrance porch on the ground floor, supported by Ionic columns. The second and third floors are balconies with stucco balustrades whose walls were set backward consecutively. It was also accentuated by agable with two symmetrical wings over the third floor’s balcony. Above the gable is the fourth floor, which is a flat-roofed hall surrounded by windows. The room on fourth floor is a chapel for praying and storing the ancestors’ relics. Doors and window panels of the building are wooden, with clear glass headlights and stucco decorations above. Below the windows on the second and third floors are panels which can be opened for ventilation.

The interior decorations of Tamnak Yai comprise wood carvings and wood openworks as seen from door frames and ventilation panels. The lower parts of the walls were decorated with wood paneling. Room floors were paved with multi-pattern teakwood parquet while floors of the corridors are marble slabs. Ceilings are casted cement plates. Walls were finished with painted plaster. Moreover, beams, ceiling borders and door frames were decorated with stucco mouldings.

At present, Tamnak Yai Wang Thewawet is in a possession of Bank of Thailand. The building has been restored in 1995 after its long serving as Ministry of Public Health’s office. It has also functioned as a part of Bank of Thailand Museum since 2004 until today.


อาคารโดมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อ่านเพิ่มเติม

อาคารโดมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

  • ที่ตั้ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เลขที่ 2 ถนนพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
  • สถาปนิก / ผู้ออกแบบ นายจิตรเสน อภัยวงศ์
  • ผู้ออกแบบอนุรักษ์รองศาสตราจารย์วีระ อินพันทัง
  • ผู้ครอบครองมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • ปีที่สร้างพ.ศ. 2478 – 2479
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2548

ประวัติ

มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองก่อตั้งขึ้นโดย ดร.ปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น ในปัจจุบันมีการลดทอนชื่อเหลือเพียง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในเบื้องแรกมีจุดประสงค์ให้เป็นตลาดวิชา ในลักษณะมหาวิทยาลัยเปิด ในปี พ.ศ. 2477 ซึ่งมีที่ตั้งที่เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา ในปีถัดมาได้ซื้อที่ดินริมแม่น้ำเจ้า บริเวณท่าพระจันทร์และ ท่าพระอาทิตย์ซึ่งเป็นของกองพันทหารราบที่ 4 โดย ดร.ปรีดีได้ให้นายหมิวอภัยวงศ์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นจิตรเสน) สถาปนิกที่จบจากฝรั่งเศสมาออกแบบตึกบัญชาการของมหาวิทยาลัยซึ่งรู้จักกันในชื่อ ตึกโดม โดยปรับปรุงเชื่อมอาคารทางการทหารที่มีอยู่เดิม 4 หลัง ซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ 6 เข้าด้วยกัน และเพิ่มเติมส่วนตรงให้สูงขึ้นพร้อมมีหลังคายอดเหลี่ยมที่เป็นที่มาของชื่อตึก การก่อสร้างอาคารได้เริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2478 เสร็จสมบูรณ์ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2479 ผู้รับเหมาก่อสร้างคือนายบุญชู ยี่ห้อเอี้ยมกี่ ผู้ควบคุมการก่อสร้างคือนายหมิว อภัยวงศ์ ตึกโดมเป็นทำงานของดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การคนแรกของมหาวิทยาลัย (ตำแหน่งนี้ต่อมาเปลี่ยนมาใช้คำว่า อธิการบดี) รวมถึงเป็นศูนย์บัญชาการงานของเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2503 – 2515 มหาวิทยาลัยได้ทำการรื้อถอนอาคาร 4 ปีกตึกโดมด้านท่าพระอาทิตย์ เพื่อทำการก่อสร้างห้องเอที และรื้อถอนอาคาร 1ในปี พ.ศ. 2520 เพื่อสร้างอาคารอเนกประสงค์จึงมีความยาวอาคารดังที่เห็นในปัจจุบัน แล้วในปี พ.ศ. 2528 ได้ต่อเติมโดยก่อสร้างมุขเพิ่มออกไปทางด้านหลัง เพื่อใช้เป็น อนุสรณ์สถานผู้ประศาสน์การปรีดี พนมยงค์

อาคารโดมเป็นอาคาร 3 ชั้น โดยปีกซ้ายและขวามี 2 ชั้น มีผังเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ผนังก่ออิฐฉาบปูน หลังคาส่วนมุขตรงกลางบนสุดเป็นยอดแหลม 8 เหลี่ยม มีความสูง 16 เมตร เดิมมุงด้วย กระเบื้องไม้สัก ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นกระเบื้องสีน้ำตาล หลังคาส่วนอื่นๆ เป็นหลังคาจั่ว อาคารโดมได้กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญหนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยทางมหาวิทยาลัยได้มีการย้ายหน่วยงานต่างๆ ออกจากอาคารและอนุรักษ์ซ่อมบำรุงอาคาร โดยใช้ชั้นที่ 3 เป็นหอประวัติศาสตร์เกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

Dome Building, Thammasat University

  • Location Thammasat University, Phra Chan Road, Khwaeng Phra Borom Maha Ratchawang, Khet Phra Nakhon, Bangkok
  • Architect/Designer Mio (Chitrasen) Abhaiwongse
  • Conservation Designer Assoc. Prof. Veera Inpantang
  • Proprietor Thammasat University
  • Date of Construction 1935 – 1936
  • Conservation Awarded 2005

History

The history of Dome Building began with the founding of Thammasat University, previously known as University of Moral and Political Sciences, near Phan Phiphop Lila Bridge in 1934 by Dr.Pridi Banomyong, minister of Interior at that period. A year after, Pridi bought a land beside Chao Phraya River, nearby Tha Phra Chan and Tha Phra Athit, which belonged to the 4th Infantry Troop, Ministry of Defense, to be served as the university’s permanent site.

The first building of Thammasat University was the “Administration Hall”, later known as “Tuek Dome” (Dome Building), designed by a French-graduated architect, Mr. Mio (Chitrasen) Abhaiwongse, and it has become a symbol of Thammasat University ever since. The design concept was to connect four original buildings generated during the reign of King Rama VI to be comprised under one roof and heighten its top with a dome roof to be the symbolic landmark.

The construction was began in 1935 and completed in 1936. The building contractor was Mr.Bunchu Yiho-iamki and the construction supervisor was Mr.Mio Abhaiwongse. This building had been served as the office of Dr.Pridi Banomyong, the first rector of Thammasat University, as well as the command center of Seri Thai during the Second World War. During 1960 – 1972, demolition had been done to its 4th building at Tha Phra Athit wing in order to construct the AT room. Besides, the 1st building was demolished later in 1977 to build a multi-purpose building and Pridi Banomyong Memorial Hall was also set up in 1985 by extending a portico to the rear, resulting in the Tuek Dome’s enlargement as perceived today.

This building has ferro concrete structure with brick masonry walls, mainly 3-storey but has 2-storey parts in left and right wings. The dome’s height is approximately 16 metres whose octagon pointed roof was originally finished with high quality teakwood tiles but it has been changed to brown-coloured tiles. At present, the Dome Building is deemed as the symbol of Thammasat University. All offices have been moved out in order to renovate and preserve the building, allowing only its third floor to locate Thammasat University’s Historical Hall of Fame.


จวนผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี

อ่านเพิ่มเติม

จวนผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี

  • ที่ตั้ง เลขที่ 58 ถนนหนองจิก อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี
  • ผู้ครอบครอง จังหวัดปัตตานี
  • ปีที่สร้าง พ.ศ. 2475
  • ปีที่ได้รับรางวัล พ.ศ. 2548

ประวัติ

จวนผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี สร้างขึ้นโดยพระยาราหะพาดักดี (แช็ง) ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีคนที่ 8 ในปี พ.ศ. 2475 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โดยใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 12,000 บาท เพื่อใช้เป็นบ้านพักของผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี
ลักษณะของอาคารเป็นอาคารไม้ครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้น ขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 28 เมตร หลังคาจั่วมุงกระเบื้องเคลือบสี มีมุขกลาง หน้าต่างและช่องลมทำด้วยฉลุลายไม้ละเอียด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นภาคใต้

จวนผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีและมีการบูรณะซ่อมแซมรวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 และครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2545 ปัจจุบันยังคงใช้เป็นจวนผู้ว่าราชการจังหวัด นับเป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานี

Pattani Governor’s Residence

  • Location 58 Nong Chik Road, Amphoe Mueang, Pattani Province
  • Proprietor Pattani Municipality
  • Date of Construction 1932
  • Conservation Awarded 2005

History

The residence of the Governor of Pattani was built in the year 1932, during the reign of King Rama VII, by Phraya Ratanaphakdi (Chaeng), the 8th Governor of Pattani. Construction cost was 12,000 Thai baht.

The house is 2-storey half brick – half wooden building. It was measure of size 6 x 28 metres. The roof is gable, finished with cement tiles, accentuated with a portico in the middle. Gable and eaves are decorated with wood openwork, a distinctive Southern vernacular feature.

The Governor’s Residence has been well-maintained and restored successively, 7 times in total. The first restoration was in 1980 and the latest was in 2002. The house has served as the Governor’s residence since its construction until today, and has become a valuable cultural heritage of Pattani.


น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้