ศาลาพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ่านเพิ่มเติม
ศาลาพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ที่ตั้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนพญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ สถาปนิกผู้ออกแบบ: ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรรณ
- สถาปนิกผู้บูรณะ: อาจารย์เผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี และคณะ
- ผู้ครอบครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ปีที่สร้าง พุทธศักราช 2507 – 1 มกราคม พุทธศักราช 2509
ประวัติ
เมื่อพุทธศักราช 2507 ผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเห็นว่าจำนวนนิสิตและกิจกรรมของนิสิตมีมากขึ้น ทำให้ตึกจักรพงษ์ซึ่งเป็นที่ทำการของสโมสรนิสิตไม่สามารถรองรับการใช้งานได้เพียงพอ จอมพลประภาส จารุเสถียร ดำรงตำแหน่งอธิการบดีในขณะนั้น จึงดำริจะสร้างอาคารหลังหนึ่งโดยใช้ชื่อว่า ศาลาพระเกี้ยว ขึ้นบริเวณด้านหลังตึกจักพงษ์เพื่อใช้เป็นที่ทำกิจกรรมของนิสิต เช่น งานจุฬาวิชาการ หลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จ มีพิธีเปิดใช้อาคารอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พุทธศักราช 2510 จนกระทั่งพุทธศักราช 2522 มีการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารครั้งใหญ่เพื่อแก้ไขการทรุดตัวโดยการเสริมฐานรากให้มั่นคงแข็งแรง ต่อมาในพุทธศักราช 2528 มีการรื้อส่วนโถงยาวด้านทิศตะวันตกของศาลาพระเกี้ยว และในพุทธศักราช 2557 มีการปรับปรุงฟื้นฟูอาคารครั้งใหญ่อีกครั้งทั้งโครงสร้าง งานระบบอาคาร และภูมิทัศน์โดยรอบ เพื่อให้อาคารมีความมั่นคงถาวรและคงความเป็นอาคารอเนกประสงค์ที่สำคัญสำหรับนิสิตและบุคลากรของมหาวิทยาลัย ปัจจุบัน พื้นที่บริเวณห้องโถงและชั้นลอยใช้สำหรับจัดนิทรรศการ จัดประชุม จัดการแสดง จัดเลี้ยง และเป็นที่ชุมนุมสังสรรค์ของอาจารย์ นิสิต และบุคลากร โดยบริเวณส่วนหนึ่งของห้องโถงจะใช้เป็นที่อ่านหนังสือสำหรับนิสิตเมื่อไม่มีการจัดกิจกรรมอื่น ส่วนพื้นที่ชั้นล่างเป็นศูนย์หนังสือ สหกรณ์นิสิต สโมสรอาจารย์ สภาคณาจารย์ และชมรมพฤฒาจารย์ บริเวณพื้นที่ลานจอดรถหน้าศาลาพระเกี้ยว ทุก ๆ วันศุกร์ (หรือตามแต่กรรมการสโมสรอาจารย์เป็นผู้กำหนด) จะจัดเป็นตลาดนัดตั้งแต่เช้าจรดเย็น เรียกกันว่า “ตลาดพิกุล” เนื่องจากพื้นที่นั้นมีต้นพิกุล กิจกรรมดังกล่าวดำเนินการโดยสโมสรอาจารย์
ศาลาพระเกี้ยวมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (modern) โครงสร้างหลักเป็นเสาคอนกรีตเสริมเหล็กรูปหกเหลี่ยม 12 ต้น รองรับโครงสร้างหลังคาจั่วขนาดใหญ่บริเวณโถงกลาง สองข้างหลังคาจั่วใหญ่มีจั่วเล็กด้านละ 5 จั่ว ผนังเอียงสอบทุกด้านทำให้อาคารดูเบาลอย ผนังตอนล่างทำเป็นกระจกบานเลื่อนกว้าง ผนังตอนบนมีหน้าต่างโปร่งสำหรับระบายอากาศ รูปทรงอาคารและปริภูมิ (space) ภายในจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แนวคิดหลักในการออกแบบอาคารนี้ คือ “ศาลา” โดยผสมผสานโครงสร้างสมัยใหม่กับการออกแบบอาคารในเขตร้อนชื้นและวัฒนธรรมพื้นที่อเนกประสงค์อย่างไทยดังที่รองศาสตราจารย์เลิศ อุรัสยะนันทน์ได้บันทึกไว้ว่า “แนวคิดของการใช้ศาลาที่นำมาออกแบบศาลาพระเกี้ยวจึงเป็นหลักใหญ่ เพื่อที่จะสนองความต้องการในการใช้งานของนิสิตที่จะผันแปรไปตามโอกาส อีกทั้งบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องต้องการใช้สถานที่ในกรณียกิจต่างๆ ก็สามารถที่จะสนองได้ ดังที่ปรากฏขึ้นกับศาลาพระเกี้ยว อันออกมาในรูปของการใช้ความสัมพันธ์ของ space กับตัวอาคาร ความโล่งของศาลาพระเกี้ยว ผสมกับการแบ่งห้องออกเฉพาะแห่งเท่าที่จำเป็นทำให้อ่านออกถึงแนวความคิดของการออกแบบอาคารในลักษณะเปิดเผยและตรงไปตรงมา ซึ่งจะก่อให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะเกิดแก่มวลนิสิต ทำให้ประกอบกิจกรรมต่างๆ ได้สำเร็จดังที่ได้ปรากฏมาแล้ว”
ศาลาพระเกี้ยวได้รับการดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้สามารถรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์และทางสถาปัตยกรรมเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม นอกจากนี้ยังสามารถรองรับกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ















อาคารศูนย์ปาฐกถาประดิษฐ์ เชยจิตร (ตึกฟักทอง) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
อ่านเพิ่มเติม
อาคารศูนย์ปาฐกถาประดิษฐ์ เชยจิตร (ตึกฟักทอง) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- ที่ตั้ง เลขที่ 15 ถนนกาญจนวณิชย์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ นายอมร ศรีวงศ์ วิศวกรโครงสร้าง: ดร. รชฏ กาญจนวนิชย์
- ผู้ครอบครอง คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่
- ปีที่สร้าง พุทธศักราช 2510
ประวัติ
ตึกฟักทองของคณะวิทยาศาสตร์เป็นอาคารหลังแรกๆ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่ ต่อมาตึกฟักทองได้รับการตั้งชื่อใหม่ว่าศูนย์ปาฐกถาประดิษฐ เชยจิตร ทั้งนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดีของศาสตราจารย์ ดร. ประดิษฐ เชยจิตร คณบดีคนแรกของคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งท่านเป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมงานกับศาสตราจารย์ ดร. สตางค์ มงคลสุข ในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยภาคใต้มาตั้งแต่เริ่มแรก (มหาวิทยาลัยภาคใต้ ต่อมาได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า สงขลานครินทร์)
อาคารปาฐกถาประดิษฐ เชยจิตร (ตึกฟักทอง) เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก รูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ กล่าวคือ มีรูปร่างคล้ายผลฟักทองที่มีกลีบทั้งหมด 25 กลีบพื้นที่ใช้สอยชั้นล่างเป็นที่หน่วยกิจการนักศึกษาสมาคมนักศึกษาเก่าหน่วยอาคารสถานที่ และหน่วยคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) พื้นที่ใช้สอยชั้นบนแบ่งเป็นห้องบรรยาย 5 ห้อง คือห้องบรรยาย L1 ความจุ 500 ที่นั่ง และห้องบรรยาย L2-L5 ความจุห้องละ 300 ที่นั่ง
อาคารปาฐกถาประดิษฐ เชยจิตร (ตึกฟักทอง) ได้รับการดูแลจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่ในฐานะประวัติศาสตร์ของคณะ นอกจากนั้นยังมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นด้วยตัวเองและเป็นเหมือนตัวแทนของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ช่วงปลาย (Late Modernist Architecture) ที่ได้รับความนิยมทั่วโลกในช่วงเวลาร่วมสมัยกัน




















อาคารเรียน 1919 โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย
อ่านเพิ่มเติม
อาคารเรียน 1919 โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย
- ที่ตั้ง เลขที่ 67 ถนนสุขุมวิท 19 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ สถาปนิกชาวอเมริกัน
- สำรวจและออกแบบการบูรณะอาคาร: บริษัท อินเตอร-คอนซัลท์ จำกัด
- ผู้ครอบครอง โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย
- ปีที่สร้าง พุทธศักราช 2462 – 2463
ประวัติ
โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยก่อตั้งเมื่อพุทธศักราช 2417 โดยมิชชันนารีจากประเทศสหรัฐอเมริกา เดิมมีชื่อเรียกว่า โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง ตั้งอยู่ที่ท่าวังหลัง เมื่อกิจการของโรงเรียนเจริญขึ้นประกอบกับ โรงพยาบาลศิริราชต้องการซื้อที่ตั้งโรงเรียนเพื่อใช้เป็นที่พักของพยาบาล แหม่มโคล (มิสเอ็ดน่า เซร่ะ โคล) ครูใหญ่ในสมัยนั้นจึงตัดสินใจย้ายโรงเรียนแล้วมาสร้างโรงเรียนใหม่บนพื้นที่ทุ่งบางกะปิซึ่งอยู่ทางตะวันออกของพระนคร และมีคลองแสนแสบไหลผ่านทางด้านเหนือของโรงเรียน โดยมีอาคาร 1919 เป็นอาคารเรียนหลังแรก เริ่มสร้างในพุทธศักราช 2462 และการก่อสร้างแล้วเสร็จในปีถัดมา เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นได้บุกเข้ามายึดโรงเรียนและได้ใช้อาคาร 1919 เป็นโรงพยาบาลของทหาร เมื่อสิ้นสุดสงครามแล้วโรงเรียนจึงซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานเป็นอาคารเรียนตามเดิม ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาคาร 1919 ได้รับการดัดแปลงแก้ไขบางส่วนหลายครั้ง เช่น มีการเปลี่ยนบันไดขึ้นด้านหน้าจากไม้เป็นคอนกรีต เทพื้นปูนทับบนพื้นไม้บางห้อง และเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาจากกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าวเป็นกระเบื้องลอนคู่ เป็นต้น ต่อมาในพุทธศักราช 2554 คณะผู้บริหารได้ตัดสินใจปรับปรุงฟื้นฟูอาคาร 1919 เนื่องจากปัญหาความชื้นในผนัง การทรุดตัวของอาคาร และการผุกร่อนของพื้นไม้ การดำเนินการผ่านขั้นตอนการออกแบบ คัดเลือกผู้รับเหมาจนเริ่มงานได้ในเดือนเมษายน พุทธศักราช 2555 และเสร็จสมบูรณ์ส่งมอบอาคารได้ในเดือนมีนาคม พุทธศักราช 2557
อาคาร 1919 เป็นอาคารชั้นเดียวยกพื้นสูงล้อมรอบสนามรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้า อาคารกว้าง 40.4 เมตร ยาว 56.8 เมตร มีห้อง 18 ห้อง และห้องโถง 1 ห้อง ผนังก่ออิฐรับน้ำหนัก โครงสร้างพื้นภายในเป็นคอนกรีตปูทับด้วยพื้นไม้ โครงสร้างพื้นระเบียงทางเดินและชานด้านหน้าเป็นคอนกรีต ปูด้วยกระเบื้องลายไม้ตลอดระเบียงทางเดินภายใน ส่วนชานด้านหน้าปูด้วยกระเบื้องโบราณแบบเดียวกับที่นิยมใช้ในสมัยสร้างอาคาร โครงสร้างหลังคาเป็นไม้มุงด้วยกระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์ไอยร่า จุดเด่นของอาคารคือ บันไดทางขึ้นและชานด้านหน้าเชื่อมมุขปลายทั้งสองข้าง เสาชานด้านหน้าเป็นเสาลอยตัวเรียงเป็นแถวรับจั่วมุขกลางอาคารทำให้อาคารดูโปร่งโล่ง หลังคามุขปลายทั้งสองข้างเป็นหลังคาจั่ว
อาคาร 1919 ได้รับการปรับปรุงฟื้นฟูโดยสามารถรักษารูปแบบทางสถาปัตยกรรมเดิมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนของอาคารเพื่อให้การใช้งานสะดวกขึ้น เช่น ลดระดับพื้นระเบียงและชานด้านหน้าอาคารลงต่ำกว่าพื้นภายในอาคารเพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าอาคาร รวมทั้งเพิ่มทางลาดด้านหน้าอาคารเพื่อให้ผู้นั่งรถเข็นใช้เข้าอาคารได้สะดวกสบายขึ้น เป็นต้น



























อาคารคีตราชนครินทร์ สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา
อ่านเพิ่มเติม
อาคารคีตราชนครินทร์ สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา
- ที่ตั้ง เลขที่ 2010 ถนนอรุณอมรินทร์ 36 แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อ
- สถาปนิกผู้บูรณะ: ณัฐรฐนนท ์ทองสุทธิพีรภาส, บรรจงลักษณ์ กัณหาชาลี และกรมศิลปากร
- ผู้ครอบครอง สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา
- ปีที่สร้าง สมัยรัชกาลที่ 5
ประวัติ
อาคารคีตราชนครินทร์เดิมเป็นส่วนหนึ่งของโรงงานสุราบางยี่ขัน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรีเมื่อแรกสร้างอาคารถูกใช้เป็นที่ทำงานของเจ้าพนักงานที่ไปควบคุมโรงงานสุราเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บภาษีและความต้องการของทางรัฐที่จะมีโรงงานสุราเป็นของตนเอง ต่อมาระหว่างพุทธศักราช 2503 – 2538 เอกชนได้เข้ามาบริหารจัดการโรงงานสุราบางยี่ขันและได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ต่อเติมอาคารตามการใช้งานจนทำให้ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเปลี่ยนไป หลังจากนั้นโรงงานสุราบางยี่ขันได้ย้ายออกไป อาคารหลังนี้จึงถูกทิ้งร้างนานหลายปี จนกระทั่งสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาได้เข้ามาปรับปรุงฟื้นฟูอาคารเพื่อใช้เป็นอาคารเรียนสำหรับการเรียนการสอนในหลักสูตรดุริยางศาสตร์บัณฑิต สำหรับการดำเนินการนั้นมีการจัดทำแผนอนุรักษ์ตามหลักวิชาการอย่างเคร่งครัด ทำการดีดยกอาคารขึ้นมาจากระดับเดิม 1.00 เมตร เพื่อให้มีระดับที่เสมอกับพื้นที่อื่นๆ และป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนการตกแต่งภายในเป็นแบบร่วมสมัยด้วยแนวคิด “จังหวะดนตรีคลาสสิกในท่วงทำนองแห่งความเป็นไทย” เพื่อตอบรับการใช้สอยใหม่และรักษารูปแบบทางสถาปัตยกรรมเดิม
อาคารคีตราชนครินทร์เป็นอาคาร 2 ชั้น รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก โครงสร้างผนังรับน้ำหนัก ผังพื้นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบยาวแบบรูปตัวยู (U) ที่เน้นมุขปลายทั้งสองข้างโดยมีระเบียงทางเดินด้านหน้าเป็นตัวเชื่อม หลังคาจั่วมุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว จุดเด่นของอาคาร คือ ด้านหน้าอาคารที่มีเสาระเบียงลอยตัวเรียงเป็นแถวจึงดูโปร่งโล่ง และมีการประดับด้วยปูนปั้นโดยรอบอาคาร พื้นที่ใช้สอยชั้นล่างประกอบด้วยห้องทำงาน ร้านขายของที่ระลึก ห้องสมุด ร้านกาแฟ ห้องน้ำ ระเบียงทางเดิน และโถงบันได พื้นที่ใช้สอยชั้นบนประกอบด้วย ห้องเรียน 3 ห้อง ห้องประชุม ห้องนายกสภาสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ห้องเตรียมอาหาร ระเบียงภายนอก ห้องน้ำ และระเบียงทางเดิน
อาคารคีตราชนครินทร์แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาที่จะรักษาอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมด้วยการออกแบบให้มีประโยชน์ใช้สอยอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถเชื่อมดนตรี การศึกษา และชุมชนให้อยู่ร่วมกันได้ในบริบทใหม่ได้อย่างน่าชื่นชม



























อาคารสายสุธานภดล พระวิมาดาเธอ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
อ่านเพิ่มเติม
อาคารสายสุธานภดล พระวิมาดาเธอ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
- ที่ตั้ง เลขที่ 1 ถนนอู่ทองนอก เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อ
- สถาปนิกผู้บูรณะ: มนสิการ ปานิสวัสดิ์
- ผู้ครอบครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
- ปีที่สร้าง พุทธศักราช 2462
ประวัติ
อาคารสายสุทธานภดล ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นตำหนักที่ประทับของพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี เป็นส่วนหนึ่งของเขตพระราชฐานชั้นในซึ่งสงวนไว้สำหรับพระมเหสี พระชายา พระเจ้าลูกเธอ และเจ้าจอมในองค์พระมหากษัตริย์ เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง พุทธศักราช 2475 จึงถือเป็นการสิ้นสุดวิถีชีวิตและประเพณีแบบราชสำนักฝ่ายใน แม้ในปัจจุบันเขตพระราชฐานชั้นใน พระบรมมหาราชวัง จะยังคงยึดแบบแผนระเบียบปฏิบัติเช่นอดีต แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีเจ้านายฝ่ายในประทับแล้ว อาจเรียกได้ว่า สวนสุนันทา คือ ราชสำนักฝ่ายในยุคสุดท้ายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ปัจจุบัน อาคารหลังนี้ได้รับการปรับปรุงโดยยังคงสภาพเดิมของตำหนักในอดีต แบ่งพื้นที่ใช้งานออกเป็น 2 ส่วนคือ พิพิธภัณฑ์อาคารสายสุทธานภดล จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระประวัติ พระจริยวัตร และพระกรณียกิจของเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์เมื่อครั้งเสด็จประทับในสวนสุนันทา และสำนักงานสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
อาคารสายสุทธานภดล เป็นตำหนักก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่สูง 2 ชั้น มีลักษณะคล้ายเรือนพื้นฐิ่นของยุโรป จุดเด่น คือ หลังคาด้านสกัดที่เป็นจั่วยื่นออกมาจากหลังคาด้านยาวที่เป็นหลังคาปั้นหยา ทั้งหมดมุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว ผังอาคารมีลักษณะคล้ายอักษรรูปตัวแอล (L) เรียงต่อกัน 2 ตัว แบบขั้นบันไดเหมือนอาคารชุด 2 ชุด ในอดีตอาคารแต่ละชุดประกอบด้วยส่วนพักอาศัยพื้นที่ 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นที่ทำงานข้าหลวง ห้องรับแขก ห้องเสวย และบันได ชั้นบนเป็นห้องบรรทม ห้องพระ ห้องสรง และบันได โดยมีบันไดเป็นตัวคั่นส่วนพักอาศัยแต่ละชุด แต่ห้องทั้งหมดก็เชื่อมต่อกันหมดด้วยระเบียงด้านหน้า หน้าต่างเป็นบางกระทุ้งตอนกลางเป็นเกล็ดไม้เปิดถึงพื้น ภายในมีลูกกรงไม้ ใต้ถุนก่อผนังปิดโดยรอบและมีช่องระบายอากาศเป็นระยะ แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของการออกแบบและวางแผนผังอาคารอย่างเป็นระเบียบเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพอากาศในประเทศไทย
สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาได้อนุรักษ์อาคารสายสุทธานภดลตามระเบียบกฎหมาย ข้อบังคับ และพระราชบัญญัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ซึ่งเป็นหลักการในการอนุรักษ์ที่ปฏิบัติกันเป็นสากล ทำให้สามารถรักษาคุณค่าและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และศิลปกรรมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ทางทางวัฒนธรรมให้แก่ผู้สนใจได้ศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของศูนย์การราชสำนักฝ่ายใน และสถานที่ประทับของพระมเหสี พระราชธิดา ตลอดจนเจ้าจอมในรัชกาลที่ 5 อีกด้วย




































อาคารสถานีตำรวจภูธรสวรรคโลก (หลังเก่า)
อ่านเพิ่มเติม
อาคารสถานีตำรวจภูธรสวรรคโลก (หลังเก่า)
- ที่ตั้ง เลขที่ 61/16 ถนนหน้าเมือง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏชื่อผู้ออกแบบ
- ผู้ครอบครอง สถานีตำรวจภูธรสวรรคโลก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- ปีที่สร้าง พุทธศักราช 2482
ประวัติ
สถานีตำรวจภูธรสวรรคโลกเริ่มจากการก่อตั้งกองตำรวจภูธร จังหวัดสวรรคโลก เมื่อพุทธศักราช 2442 เดิมอำเภอสวรรคโลกมีชื่อเรียกว่า “อำเภอวังไม้ขอน” สถานีจึงมีชื่อเรียกว่า “สถานีตำรวจภูธรอำเภอวังไม้ขอน” ที่ตั้งเดิมของสถานีตำรวจอยู่ด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำยม บริเวณด้านทิศใต้ของวัดสวัสติการาม (วัดต้นหัด) ซึ่งใช้เป็นที่ตั้งของศาลจังหวัดสวรรคโลกในปัจจุบัน ต่อมาในพุทธศักราช 2482 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองจากจังหวัดสวรรคโลกลดฐานะเป็นอำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย สถานีตำรวจภูธรอำเภอวังไม้ขอนก็ย้ายมาอยู่ฝั่งทิศตะวันออกของแม่น้ำยมในบริเวณเดียวกันกับที่ว่าการอำเภอหลังใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น “สถานีตำรวจภูธรสวรรคโลก” พร้อมกับการก่อสร้างโรงพักไม้ทรงปั้นหยา โดยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวอาคารให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานในแต่ละยุคแต่ละสมัย จนกระทั่งพุทธศักราช 2536 ได้มีการสร้างอาคารสถานีตำรวจแห่งใหม่ที่บริเวณด้านหน้าฝั่งซ้ายของโรงพักไม้ รวมทั้งปรับพื้นที่ภายในโรงพักไม้ เป็นที่ทำงานเฉพาะส่วนงานสืบสวนและงานธุรการปราบปราม อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นอาคารไม้และมีอายุการใช้มายาวนานทำให้โรงพักไม้มีสภาพทรุดโทรมผุพังไปตามกาลเวลา ต่อมาพุทธศักราช 2556 – 2558 จึงได้มีการปรับปรุงฟื้นฟูโรงพักไม้เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม
อาคารสถานีตำรวจภูธรสวรรคโลก (หลังเก่า) เป็นอาคารเรือนไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องซีเมนต์รูปว่าว มีมุขด้านหน้าเป็นทรงจั่ว บันไดทางขึ้นยื่นออกจากมุขด้านหน้าทั้งสองด้าน โครงสร้างเสาด้านล่างเป็นเสาคอนกรีต ส่วนเสาด้านบนเป็นเสาไม้แดง ฝาผนัง ประตู หน้าต่างใช้ไม้สักทอง ฝ้าเพดานใช้ไม้ตะแบก พื้นที่ใช้สอยชั้นบนที่เป็นโถงโล่งใช้จัดแสดงข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของสถานีตำรวจและจังหวัดสวรรคโลก รวมทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ในอดีต เช่น เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องแบบตำรวจ เครื่องเรือน กำปั่นหรือตู้เซฟที่ใช้เก็บรักษาเงินของส่วนราชการในจังหวัดสวรรคโลก ภาพถ่ายเหตุการณ์และบุคคลสำคัญ เป็นต้น ด้านซ้ายมือของโถงกั้นห้องเพื่อฉายวีดีทัศน์แนะนำประวัติความเป็นมา และวีดีทัศน์เบื้องหลังการทำงานอนุรักษ์สถาปัตยกรรมที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของหลายภาคส่วน ด้านขวามือของโถงกั้นห้องเพื่อใช้เป็นที่ทำงานของแผนกงานธุรการสืบสวนและงานธุรการจราจร โดยพื้นที่ด้านหน้าห้องทำงานจัดแสดงการทำประวัติผู้ต้องหา ห้องขังผู้ต้องหาเด็ดขาดซึ่งแบ่งซอยเป็น 2 ห้อง พร้อมจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น กุญแจมือ และไหดินสำหรับให้ผู้ต้องหาใช้ขับถ่าย เป็นต้น บริเวณมุขบันไดด้านหน้าจัดแสดงระฆังที่ใช้ตีบอกเวลา อุปกรณ์ดับเพลิง “หวอ” เตือนภัยที่ใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนพื้นที่ใต้ถุนปล่อยโล่งและใช้สำหรับกิจกรรมเอนกประสงค์ ด้านหลังอาคารก่อสร้างห้องน้ำเพื่อใช้รับรองผู้มาเยี่ยมชม
อาคารสถานีตำรวจภูธรสวรรคโลก (หลังเก่า) เกิดจากการตระหนักรู้ถึงคุณค่าความสำคัญด้านประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมของคนในเมืองสวรรคโลกและจังหวัดสุโขทัย ทำให้การปรับปรุงฟื้นฟูอาคารครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนจนการดำเนินการประสบผลความสำเร็จ เป็นคุณค่าเชิงสังคมที่สามารถส่งผลต่อเนื่องไปถึงการอนุรักษ์คุณค่าเมืองสวรรคโลก และสถาปัตยกรรมอื่นๆ เช่น อาคารที่ว่าการอำเภอเมืองสวรรคโลก อาคารสถานีรถไฟสวรรคโลก และเรือนร้านค้า เป็นต้น




























อาคารที่หยุดรถไฟแม่พวก
อ่านเพิ่มเติม
อาคารที่หยุดรถไฟแม่พวก
- ที่ตั้ง หมู่บ้านแม่พวก ตำบลห้วยไร่ อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่
- สถาปนิก / ผู้ออกแบบ ไม่ปรากฏหลักฐาน
- ผู้ครอบครอง การรถไฟแห่งประเทศไทย
- ดูแลโดย: ชาวบ้านแม่พวก
- ปีที่สร้าง พุทธศักราช 2462
ประวัติ
สถานีรถไฟแม่พวกสร้างขึ้นในพุทธศักราช 2454 โดยอาคารสถานีรถไฟแม่พวกเมื่อแรกสร้างเป็นอาคารไม้ชั่วคราว จนกระทั่งพุทธศักราช 2460 กรมรถไฟหลวงได้รื้ออาคารสถานีรถไฟชั่วคราวลงและเริ่มสร้างอาคารสถานีรถไฟแม่พวกหลังปัจจุบัน และมีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการในพุทธศักราช 2462 หลังจากนั้นสถานีรถไฟแม่พวกได้รองรับการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้าเรื่อยมา จนกระทั่งในพุทธศักราช 2511 มีการทำถนนเชื่อมระหว่างอำเภอเด่นชัยและอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ และชาวบ้านเริ่มมีการใช้รถไฟในการเดินทางลดน้อยลง ทำให้รายได้ของสถานีรถไฟแม่พวกลดน้อยลงตามไปด้วย หลังจากนั้นในพุทธศักราช 2524 มีการขยายถนนเส้นนี้ทำให้การเดินทางไปยังที่ต่างๆ มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณผู้โดยสารที่สถานีรถไฟแม่พวกลดลงอย่างมาก ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม พุทธศักราช 2546 การรถไฟแห่งประเทศไทยได้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้ยุบสถานีรถไฟแม่พวกแล้วเปิดเป็นที่หยุดรถแทน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและต้นทุนลง ทำให้ไม่มีนายสถานีและพนักงานการรถไฟประจำ และไม่มีการใช้สอยพื้นที่ภายในอาคารสถานีรถไฟแม่พวกแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีการรื้อถอนบ้านพัก โรงชั่งของ และยกเลิกประแจทั้งหมดเหลือแต่ทางประธาน ต่อมาในพุทธศักราช 2549 องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไร่ได้ทำสัญญาขออนุญาตการรถไฟแห่งประเทศไทยใช้อาคารที่หยุดรถไฟแม่พวกเป็นเวลา 5 ปี เพื่อทำเป็นสำนักงานชมรมกีฬา ดนตรี และที่ทำการสาธารณสุขพื้นฐาน นอกจากนี้ยังได้สร้างห้องสุขาและสนามฟุตบอลเล็กจำนวน 2 สนาม บริเวณด้านหน้าอาคารอีกด้วย หลังจากหมดสัญญาแล้วก็ไม่ได้มีการใช้ประโยชน์แต่อย่างใด ยกเว้นบริเวณส่วนโถงพักคอยที่ชาวบ้านยังคงใช้ในการรอรถไฟซึ่งมีขบวนรถหยุดรับส่ง 2 ขบวนต่อวัน ต่อมาระหว่างวันที่ 1 – 8 มิถุนายน พุทธศักราช 2557 อาจารย์ และนักศึกษาสาขาสถาปัตยกรรมจากหลายมหาวิทยาลัยได้ร่วมกันสำรวจสถาปัตยกรรมแบบพื้นถิ่น (Vernacular Documentation) ของอาคารที่หยุดรถไฟแม่พวกโดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแพร่ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการทำงานจากผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านแม่พวก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการปรับปรุงฟื้นฟูแบบมีส่วนร่วมจนถึงปัจจุบัน
อาคารที่หยุดรถไฟแม่พวก มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบผสมผสานรูปแบบจากตะวันตก ตัวอาคารวางขนานไปกับทางรถไฟในแนวเหนือใต้ ผังพื้นอาคารเป็นรูปตัวเอช (H) ประกอบด้วยอาคารไม้ 2 ชั้น จำนวน 2 หลัง ระหว่างกลางของอาคาร 2 หลังนี้เชื่อมต่อกันด้วยโถงพักคอยชั้นเดียว และส่วนชานชาลาคอนกรีตเสริมเหล็กไม่มีหลังคาคลุม โครงสร้างอาคารทั้งหมดเป็นไม้ตั้งอยู่บนฐานรากคอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นและผนังอาคารเป็นไม้ หลังคาปั้นหยามุงด้วยกระเบื้องลอนคู่ พื้นที่ใช้สอยชั้นล่างจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นและศูนย์เรียนรู้หมู่บ้านแม่พวก ส่วนพื้นที่ใช้สอยชั้นบนเป็นห้องนอนสำหรับผู้ดูแลอาคารและห้องเก็บของ
อาคารที่หยุดรถไฟแม่พวกแสดงให้เห็นถึงความพยายามและตั้งใจของชาวบ้านแม่พวกและเครือข่ายในการปรับปรุงฟื้นฟูอาคารตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้สามารถรักษาคุณค่าความสำคัญในด้านประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมเอาไว้ได้ และเป็นต้นแบบของการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นโดยภาคประชาชนที่น่ายกย่อง


















ตึกสตางค์ มงคลสุข คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
อ่านเพิ่มเติม
ตึกสตางค์ มงคลสุข คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- ที่ตั้ง เลขที่ 15 ถนน กาญจนวณิชย์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
- สถาปนิก/ออกแบบ นายอมร ศรีวงศ์
- ผู้ครอบครอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
- ปีที่สร้างเสร็จ พุทธศักราช 2510
ประวัติ
ตึกสตางค์เป็นชื่อเรียกที่รู้จักกันดีของอาคารเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ซึ่งเป็นคณะแรกที่ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในพุทธศักราช 2510 แต่เดิมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มีวิทยาเขตที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เพียงแห่งเดียว แต่เนื่องจากเป็นสถานที่ติดทะเลจึงไม่เหมาะที่จะจัดตั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ เพราะไอเค็มทะเลสามารถทำลายอุปกรณ์และเครื่องมือทางด้านวิศวกรรมต่างๆ
ให้เสียหายได้โดยง่าย คณะทำงานมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์นำโดย ศ. ดร. สตางค์ มงคลสุข จึงได้ดำเนินการจัดหาสถานที่ตั้งใหม่โดยได้พื้นที่บริเวณ ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากการบริจาคของคุณหญิงหลง อรรถกระวีสุนทร ช่วงแรกของการก่อตั้ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ประกอบด้วย3 สาขาวิชา คือ วิศวกรรมโยธา วิศวกรรมไฟฟ้า และวิศวกรรมเครื่องกล ต่อมาจึงขยายตัวเพิ่มเติมสาขาอื่นๆได้แก่ วิศวกรรมเคมี วิศวกรรมอุตสาหการ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และวิศวกรรมเหมืองแร่และวัสดุ
ตึกสตางค์ครอบคลุมพื้นที่กว่า 15 ไร่ โดยพื้นที่ทั้งหมดอยู่ภายใต้หลังคาขนาดมหึมาต่อเนื่องกันการสร้างอาคารขนาดใหญ่ในช่วงเวลานั้นถือเป็นเรื่องที่ท้าทายทั้งในด้านการออกแบบและการก่อสร้างเป็นอย่างยิ่ง ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สามารถก่อสร้างได้สำเร็จ คือ จากการใช้ ระบบ modular system เป็นหลักในการออกแบบ โดยโครงสร้างในแต่ละส่วนของอาคารรับน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอเท่า ๆ กัน เสาโครงสร้างคอนกรีตแต่ละต้นที่ตั้งขึ้นไปรับหลังคามีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสทำมุมเอียง 45 องศากับแนวอาคาร โดยเมื่อเสายืดตัวสูงขึ้น ขนาดจะค่อย ๆ สอบขึ้นพร้อม ๆ กับบิดตัวกลับมาตั้งฉากกับแนวอาคารพอดีที่ปลายเสาจากนั้นระบบโครงสร้างจะเปลี่ยนจากเสาคอนกรีตเป็นโครงหลังคาเหล็กแบบ spaceframe ที่แผ่กิ่งก้านขึ้นไปรับหลังคาโดมคอนกรีตจำนวน 9 ลูก หลังคารูปโดมที่มีขนาดเท่า ๆ กันที่ 2.5 x 2.5 เมตรนี้ เป็นหน่วยที่เป็นอิสระต่อกัน ทำให้สามารถผลิตด้วยระบบชิ้นส่วนสำเร็จรูปพร้อมติดตั้ง จึงทำให้ประหยัดเวลาการก่อสร้างหน้างานได้เป็นอย่างมาก
ความน่าสนใจของตึกสตางค์ยังมีอีกหลายประการ เช่น โครงสร้างบันไดเวียนที่ห้อยตัวจากหลังคาของหอส่งสัญญาณวิทยุ และโครงสร้างบันไดแบบพับผ้าปราศจากคานของอาคารเรียนรวม เป็นต้น จึงนับเป็นสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์และสุนทรียภาพทางโครงสร้างอาคารอย่างน่าชมที่สุดหลังหนึ่งในประเทศไทย


























